All-New Nissan Almera อิทธิฤทธิ์ อีโคคาร์ 1 ลิตร เทอร์โบ
หลังจากเปิดตัวเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย อย่างเป็นทางการกันไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2019 นิสสัน อัลเมร่า ใหม่ (All-New Nissan Almera) ที่มาพร้อมกับรูปโฉมที่สดใหม่ และขุมพลังไซส์เล็กที่สเปคไม่ธรรมดา ด้วยเครื่องยนต์ขนาด 1.0 ลิตร เทอร์โบ ก็ได้รับความสนใจมาอย่างต่อเนื่อง พูดได้ว่าจุดติดกระแสรถอีโคคาร์เครื่องยนต์ขนาดเล็กพ่วงเทอร์โบให้เป็นได้อย่างน่าตื่นเต้น และในวันนี้ได้เวลาสัมผัสกับสมรรถนะและความคุ้มค่า คุ้มราคาของ นิสสัน อัลเมร่า ใหม่ (All-New Nissan Almera) กันสักที
ก่อนจะไปที่ผลสรุปของการขับแบบ Group Test บนเส้นทางภูเก็ต-พังงา ขอย้อนกลับมาที่สเปคของ นิสสัน อัลเมร่า ใหม่ กันอีกครั้ง…สำหรับตัวถังโฉมนี้ สดใหม่ในทุกมิติ ซึ่งแตกต่างจากเดิมในทุกสัดส่วน มีความกว้างเพิ่มขึ้นจากโฉมก่อนนี้ 45 มม. ความสูงถูกปรับลดลงอีก 40 มม. นั่นทำให้ตัวถังดูแบนและเตี้ยลงอย่างเห็นได้ชัด รวมทั้งปรับขนาดหน้ายางให้กว้างขึ้น 20 มม. เป็นยางขนาด 195/65 R15 ล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้ว ในทุกรุ่น แถมยังตั้งสเปคลมยางหน้าเอาไว้ถึง 38 PSI ส่วนด้านหลัง 35 PSI ซึ่งปกติไม่ค่อยเจอสเปคลมยางตามค่าโรงงานแบบนี้
กระจังหน้าแบบ V-Motion ไฟหน้า LED พร้อม LED Signature Light ทรงบูมเมอแรง และไฟท้ายทรงบูมเมอแรงเช่นเดียวกัน ไฟเลี้ยวด้านข้างและไฟท้ายแบบ Signature Light พร้อมไฟเบรกแบบ LED ทรงบูมเมอแรง แนวเสาหลังคาหลังที่ถูกยกขึ้น (kick-up C-pillars) ในส่วนของเสาด้านหลังตัวรถถูกออกแบบให้เป็นหลังคาแบบลอยตัว (floating roof) ทำให้อัลเมร่า ใหม่ นี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างเห็นได้ชัด
ภายในห้องโดยสารถือว่าเป็นจุดเด่นสำคัญ ให้ความรู้สึกปลอดโปร่งและนั่งสบาย ออกแบบใหม่หมดไม่เหลือเค้าโครงเดิม มารพร้อมกับแผงหน้าปัดแบบใหม่ หน้าจออินโฟเทนเมนต์ พวงมาลัย เบาะที่นั่งผู้โดยสาร ถูกออกแบบและประกอบอย่างประณีต มีพื้นที่ว่างเหนือศีรษะและพื้นที่วางขาที่กว้าง ทำให้นั่งสบายไม่อึดอัด
พวงมาลัยเป็นแบบ แบบ D-Shape ปรับสูงต่ำได้ แต่ดึงเข้าหาตัวไม่ได้ โดยในรุ่น EL, V และ VL เป็นแบบมัลติฟังก์ชัน สามารถควบคุมระบบการทำงานของเครื่องเสียงและระบบเชื่อมต่ออื่นๆ ได้ ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ (Push Start Button) ติดตั้งไว้ข้างคันเกียร์ กุญแจเป็นรีโมทอัจฉริยะ (Intelligent Key – I-Key) (สำหรับรุ่น EL, V และ VL) และระบบกุญแจ Immobilizer
ส่วนเบาะในทุกรุ่นเป็นเบาะผ้าสีดำตัดขอบสีเทา (สำหรับรุ่น EL, V และ VL) ตกแต่งภายในด้วยโทนสีดำ และเสริมด้วยวัสดุสีเงิน เช่น ภายในบริเวณช่องแอร์ด้านข้าง และคอนโซลกลาง ส่วนวัสดุตกแต่งคอนโซลกลางสีเปียโน แบล็ค (สำหรับรุ่น EL, V และ VL)
ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ (สำหรับรุ่น V และ VL) กระจกไฟฟ้ารอบคัน พร้อมระบบป้องกันการหนีบ (Anti-jam Protection) เฉพาะด้านคนขับเท่านั้น ส่วนที่วางแก้วน้ำมีที่ตอนหน้า 2 ตำแหน่ง ช่องวางขวดน้ำที่แผงประตู 4 ตำแหน่ง ช่องวางของเอนกประสงค์ตอนกลาง
รวมทั้งมาพร้อมกับเทคโนโลยี นิสสัน อินเทลลิเจนต์ โมบิลิตี (Nissan Intelligent Mobility) ที่ช่วยตรวจสอบความปลอดภัยและป้องกันผู้ขับขี่และผู้โดยสายบริเวณด้านหน้า ด้านข้างและด้านหลังของรถ ที่ถือว่ามีความปลอดภัยที่ดีที่สุดในรถยนต์ระดับเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีสัญญาณเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์ด้านหน้าขณะขับขี่อัจฉริยะ (Intelligent Forward Collision Warning – IFCW) เทคโนโลยีช่วยเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ (Intelligent Emergency Braking – IEB) เทคโนโลยีเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning – BSW) และเทคโนโลยีตรวจจับวัตถุด้านหลังรถขณะถอย (Rear Cross Traffic Alert – RCTA) เทคโนโลยีกล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง (Intelligent Around View Monitor – IAVM) และเทคโนโลยีตรวจจับและส่งสัญญาณเตือนวัตถุและบุคคลที่เคลื่อนไหวจากกล้องรอบคัน (Moving Object Detection – MOD) ด้วยกล้องสี่ตัวที่ด้านหน้า ด้านหลังและด้านข้าง รอบคัน ซึ่งใส่มาให้ครบๆ กันเลยทีเดียว
ส่วนระบบอินโฟเทนเมนต์ NissanConnect (ในรุ่น V และ VL) รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay ใช้งานร่วมกับหน้าจอระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ AIVI พร้อมช่องเชื่อมต่อ Bluetooth, USB และ AUX IN สำหรับอุปกรณ์ต่อพ่วง พร้อมลำโพง 6 จุด โดยในรุ่น E และ EL เป็นเครื่องเสียง วิทยุ AM/FM พร้อมระบบเชื่อมต่อ Bluetooth, USB และ AUX-IN พร้อมลำโพง 4 ตำแหน่ง
ในส่วนของหน้าจอแสดงผล (สำหรับรุ่น V และ VL) เป็นมาตรวัดแบบเรืองแสง Fine Vision Meter แบบ Digital ผ่านหน้าจอ TFT หน้าจอสีขนาด 7 นิ้ว แสดงผลข้อมูลการขับขี่ มาตรวัดอุณหภูมิภายนอก และยังเพิ่มความปลอดภัยทั้งในเชิงการป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ (Active Safety) และ ระบบลดความรุนแรง ความเสียหายจากอุบัติเหตุ (Passive Safety) ได้แก่ โครงสร้างตัวถังเป็นแบบ Zone Body Concept เพิ่มความแข็งแรง ความยืดหยุ่น และกระจายแรงกระแทก เพื่อปกป้องห้องโดยสารและผู้โดยสารกรณีเกิดอุบัติเหตุ ถุงลมนิรภัยคู่หน้าเป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่ติดตั้งอยู่ในนิสสัน อัลเมร่า ใหม่ ทุกรุ่น ขณะที่ ด้านข้าง (side airbags) และม่านถุงลมนิรภัยด้านข้าง (curtain airbags) เป็นอุปกรณ์มาตรฐานสำหรับรุ่น VL (รุ่นทั่วไปมี 2 ตำแหน่ง ส่วนรุ่น VL มี 6 ตำแหน่ง) เข็มขัดนิรภัยคู่หน้า ปรับสูง-ต่ำ ได้ เข็มขัดนิรภัยด้านหน้าเป็นแบบ ELR 3 จุด แบบดึงกลับอัตโนมัติ และผ่อนแรงอัตโนมัติ ด้านหลังเป็นแบบ ELR 3 จุด ครบทั้ง 3 ตำแหน่ง และยังเพิ่มความปลอดภัยสำหรับผู้โดยสารที่เป็นเด็กด้วยจุดยึดเบาะนั่งเด็ก ISOFIX และระบบป้องกันเด็กเปิดประตูจากภายในรถ ระบบเบรก ABS ระบบกระจายแรงเบรก (EBD) และระบบเสริมแรงเบรก (BA) และไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED โดยระบบเบรกหน้าเป็นแบบ ดิสค์เบรก พร้อมช่องระบายความร้อน ขณะที่ด้านหลังเป็นแบบดรัมเบรก
ขุมพลังเป็นเครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 1.0 ลิตร เทอร์โบ รหัส HRA0 แบบ 3 สูบ แถวเรียง DOHC แรงม้าสูงสุด 100 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 152 นิวตันเมตร ตั้งแต่รอบเครื่องที่ 2,400 ถึง 4,000 รอบต่อนาที ส่งผ่านพละกำลังอย่างต่อเนื่องด้วยระบบเกียร์เป็นแบบ XTRONIC CVT พร้อม D-Step Logic ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์นุ่มนวล แต่ให้อัตราเร่งต่อเนื่องและทันใจ เร่งแซงได้รวดเร็วมากขึ้น และให้ความประหยัดน้ำมัน (ตามสเปค 23.3 กม.ต่อลิตร) พร้อมด้วยระบบตัดการทำงานของเครื่องยนต์อัตโนมัติ เมื่อรถหยุดนิ่ง (Idling Stop) ที่สามารถเลือกเปิด – ปิด ระบบการทำงานได้
สำหรับระบบช่วงล่างด้านหน้า เป็นแบบ อิสระ แม็คเฟอร์สัน สตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ขณะที่ด้านหลัง เป็นแบบ ทอร์ชัน บีม พร้อมเหล็กกันโคลง รองรับการใช้งานที่หลากหลายและให้ความนุ่มนวลในการขับขี่
นอกเหนือจากประสิทธิภาพของเครื่องยนต์แล้ว เครื่องยนต์เทอร์โบ 1.0 ลิตรใหม่นี้ ยังเต็มไปด้วยนวัตกรรมทางเทคนิคมากมายเช่น ลูกสูบแบบ Delta Cylinder Head, หัวฉีดแบบ Central Injector และ Turbocharger ที่การควบคุมไอเสียด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์รวมถึงเทคโนโลยีเคลือบบนกระบอกสูบแบบ Mirror Bore Coating เช่นเดียวกับที่ใช้ในรถซูเปอร์สปอร์ตอย่าง Nissan GT-R ซึ่ง เพิ่มความทนทาน ช่วยลดการสึกหรอ และน้ำหนักของกระบอกสูบ ในขณะที่ปรับปรุงเรื่องการระบายความร้อนและการเผาไหม้
ในขณะที่ประสิทธิภาพและนวัตกรรมเป็นจุดขายที่มีความโดดเด่นอย่างชัดเจน การจัดการเรื่อง เสียงรบกวน การสั่นสะเทือนและความกระด้าง (Noise, Vibration, and Harshness – NVH) ได้รับการปรับปรุง ส่งผลต่อเครื่องยนต์ และตัดเสียงรบกวนจากบนท้องถนน ทำให้ห้องโดยสารมีความเงียบยิ่งขึ้น
เสริมความโดดเด่นด้วยเทคโนโลยีของนิสสัน อินเทลลิเจนต์ โมบิลิตี (Nissan Intelligent Mobility) และเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูง Nissan Intelligent Safety Shield® ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีสัญญาณเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์ด้านหน้าขณะขับขี่อัจฉริยะ (Intelligent Forward Collision Warning – IFCW) เทคโนโลยีจะส่งสัญญาณเสียงพร้อมสัญลักษณ์เตือนหากพบความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุจากการชนด้านหน้า, เทคโนโลยีช่วยเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ (Intelligent Emergency Braking – IEB) ทำงานร่วมกับเทคโนโลยีช่วยเตือนก่อนการชนด้านหน้าอัจฉริยะ โดยระบบจะช่วยวิเคราะห์ระยะห่างและความเร็วของรถยนต์ด้านหน้า เพื่อชะลอความเร็วและหยุดรถให้ความเสียหายที่จะเกิดจากอุบัติเหตุบรรเทาลง, เทคโนโลยีเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning – BSW) เทคโนโลยีเตือนอัจฉริยะนี้จะทำให้ทุกการขับขี่มั่นใจยิ่งขึ้น เพิ่มความปลอดภัยในสถานการณ์ที่ต้องการเปลี่ยนช่องทางการขับขี่ ทันทีที่สัญญาณไฟเลี้ยวถูกเปิดระบบจะส่งเสียงสัญญาณพร้อมไฟกระพริบเตือนให้รู้ล่วงหน้าว่า ขณะนั้นกำลังมีรถคันอื่นอยู่ในช่องทางขับขี่ด้านข้างซึ่งผู้ขับขี่ไม่สามารถมองเห็น
เทคโนโลยีตรวจจับวัตถุด้านหลังรถขณะถอย (Rear Cross Traffic Alert – RCTA) จะเตือนระหว่างเข้าเกียร์ถอยหลัง เมื่อตรวจพบรถที่กำลังเคลื่อนเข้ามาทางด้านหลังทั้งซ้ายและขวา ระบบจะส่งสัญญาณเตือนพร้อมไฟกระพริบเตือนในด้านเดียวกันกับที่มีรถเคลื่อนที่เข้ามา, เทคโนโลยีกล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง (Intelligent Around View Monitor – IAVM) เทคโนโลยีอัจฉริยะที่จะช่วยให้ผู้ขับมองเห็นพื้นที่ข้างรถได้รอบทิศทางผ่านกล้อง 4 จุด รอบคัน กล้องทุกตัวจะจับภาพขณะเคลื่อนไหวจริงและนำไปประมวลผล จากนั้นแสดงผลเป็นภาพจากมุมสูงผ่านหน้าจอวิทยุ และยังทำงานร่วมกับ เทคโนโลยีตรวจจับและส่งสัญญาณเตือนวัตถุและบุคคลที่เคลื่อนไหวจากกล้องรอบคัน Moving Object Detection (MOD) ซึ่งทำหน้าที่ตรวจจับและส่งสัญญาณเตือนเมื่อตรวจพบบุคคลหรือวัตถุที่กล้องรอบคัน จับการเคลื่อนไหวได้เทคโนโลยีอัจฉริยะนี้จึงช่วยเพิ่มความปลอดภัยและให้ความมั่นใจในการขับขี่อย่างคล่องตัว
เทคโนโลยีควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ (Vehicle Dynamic Control – VDC) เทคโนโลยีช่วยรักษาเสถียรภาพการทรงตัวของรถขณะหักหลบกะทันหันหักเลี้ยวอย่างมั่นใจ และเทคโนโลยีช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน (Hill Start Assist – HSA) เมื่อขับรถขึ้นบนทางลาดชันระบบจะช่วยป้องกันไม่ไห้ไหลลงขณะออกตัว เมื่อยกเท้าออกจากแป้นเบรก ระบบจะสั่งให้เบรก ทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถเหยียบคันเร่งและออกตัวอย่างนุ่มนวล…
ในส่วนของการขับขี่บนถนนจริงเป็นอย่างไรบ้าง..ต้องบอกว่าทริปนี้ทางทีมงานนิสสันจัดให้ขับกันแบบ Free Run ไม่ได้ขับกันเป็นขบวน ให้เปิด GPS ตามที่ตั้งเอาไว้ผ่านทาง Google Map ที่เชื่อมต่อกับรถผ่าน Nissan Connect นั่นทำให้สามารถลองขับได้อย่างเต็มที่ ให้ระวังเพียงแค่อย่าทำความเร็วเกินจากที่กฎหมายกำหนดก็พอ
ด้วยตัวถังที่มีขนาดใหญ่ แต่ให้ความคล่องตัวในการใช้งานสูงมาก ห้องโดยสารกว้างขวาง เบาะนั่งตำแหน่งผู้โดยสารที่พื้นที่วางขาค่อนข้างมากถึง 13 นิ้ว องศาเบาะเอนค่อนข้างดี ขาดเพียงที่พักแขนที่เบาะหลัง ซึ่งถ้ามีมาด้วยจะดีมากๆ ส่วนเบาะนั่งฝั่งคนขับเป็นเบาะที่ขนาดไม่ใหญ่มาก ดูจะพอดีกับคนที่ตัวไม่ใหญ่นัก แต่สำหรับผู้ทดสอบที่มีขนาดตัวค่อนข้างหนารู้สึกว่ามันค่อนข้างกระชับกำลังดีไม่แน่นเกินไป ปีกเบาะโอบลำตัวได้กำลังดี แต่ถ้าใครที่รอบเอวรอบอกเกิน 48 นิ้ว จะมีความรู้สึกว่าเบาะเล็กเกินไป แต่ถึงอย่างนั้น เวลาที่ขับขี่จริงผู้ทดสอบรู้สึกถึงความโอบกระชับที่พอดีๆ เวลาที่ขับไปบนทางโค้งด้วยความเร็ว ช่วงตัวจึงไม่ไหลหลุดออกจากเบาะ
ส่วนพละกำลังของขุมพลัง 1 ลิตร เทอร์โบ 100 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 152 นิวตันเมตร ตั้งแต่รอบเครื่องที่ 2,400 ถึง 4,000 รอบต่อนาที ทำได้ประทับใจมาก ตรงนี้ต้องขออธิบายว่า “เทอร์โบ” ที่ติดตั้งมาเป็นตัวช่วยให้การเร่งแซงทำได้ฉับไวมากขึ้น ทำให้การเร่งแซงในจังหวะต่างๆ ผู้ขับมีความมั่นใจมากขึ้นกว่าเดิมที่ไม่มีเทอร์โบ เพราะจะทำให้ต้องรอรอบ บางครั้งจังหวะรอบไม่มา เร่งแซงจึงค่อนข้างอืดและไม่ปลอดภัย แต่สำหรับอัลเมร่าใหม่ มันช่างกระชับ ฉับไว และเร้าใจสุดๆ
การขับด้วยเกียร์ D ถือว่าการตอบสนองต่อคันเร่งและการส่งกำลังทำได้ดีเยี่ยม หากอยากสนุกมากขึ้นเปลี่ยนเป็นโหมดสปอร์ตก็ทำได้ไม่เลวเลยทีเดียว แต่ปุ่มปรับโหมดสปอร์ตอยู่ในตำแหน่งที่ฝืนการกดปุ่มไปหน่อย ตรงนี้ไม่ค่อยโอเค เรื่องช่วงล่างทำได้สมน้ำสมเนื้อ ให้ความนุ่มและหนึบ มีแอบกระด้างบ้างเล็กน้อยให้พอสนุก ซึ่งรู้สึกแปลกใจนิดหน่อยเพราะปกติรถของนิสสันจะออกแนวนุ่มนวล พอเปิดประตูเช็คสเปคลมยางถึงได้ร้องอ๋อ.. เพราะสเปคลมยางที่ยางหน้าให้เติม 38 PSI ส่วนยางหลัง 35 PSI ถือว่าให้เติมลมค่อนข้างแข็ง แต่ด้วยการปรับจูนช่วงล่างทำให้ทุกอย่างลงตัว ทั้งหมดนี้ถือว่าทำเพื่อให้เข้าเกณฑ์ของอีโคคาร์ เฟส 2 ที่ค่ามลพิษต้องผ่านเกณฑ์ รวมทั้งอัตราสิ้นเปลืองด้วยเช่นกัน
มีเรื่องที่รู้สึกขัดๆ อยู่นิดหน่อยเรื่องของน้ำหนักพวงมาลัยที่ค่อนข้างเบา แม้ว่าจะทำความเร็วสูงแล้วน้ำหนักพวงมาลัยเพิ่มขึ้นมาแล้ว ก็ยังรู้สึกว่าเบาไปหน่อยอยู่ดี ตรงนี้หากทำความเร็วในระดับ 120-140 กม./ชม. ไม่มีปัญหา แต่หากเร็วกว่านั้นจะเริ่มหวิวๆ ด้วยเช่นกัน ฉะนั้นอย่าลืมว่านี่เป็นรถอีโคคาร์ใช้งานแบบซิตี้คาร์ ไม่ใช่รถสปอร์ต ทุกอย่างถูกเซ็ตมาเพื่อใช้งานทั่วไป ถึงจะมีเทอร์โบมาให้ฉับไวมากขึ้นก็ตาม
โดยรวมถือว่า นิสสัน อัลเมร่า ใหม่ (All-New Nissan Almera) คุ้มค่านะ..กับสเปคต่างๆ รวมทั้งระบบความปลอดภัยที่ให้มา ถึงแม้ว่าอยากจะให้มีอะไรเพิ่มเติมมามากกว่านี้ แต่นี่เป็นรถในกลุ่มอีโคคาร์ ในระดับราคาเท่านี้ ผู้บริโภคถือว่าคุ้มจริงๆ กับการใช้งานทั่วไป ที่รถคันนี้ตอบโจทย์ทั้งเรื่องของรูปโฉม พื้นที่ห้องโดยสาร ระบบความปลอดภัย รวมทั้งความประหยัดเชื้อเพลิง ซึ่งตามสเปคเคลมเอาไว้ที่ 23.3 กม./ลิตร แต่เมื่อลองขับใช้งานจริงมีตัวเลขอยู่ราวๆ 15-17 กม./ลิตร ซึ่งหากขับแบบปกติไม่ได้ขับทดสอบด้วยความเร็วที่ไม่คงที่ และในบางครั้งทำความเร็วสูงอย่างต่อเนื่อง น่าจะสามารถทำได้ถึง 19-20 กม./ลิตร ได้อยู่เช่นกัน
ส่วนเครื่องยนต์เล็กๆ เพียง 1 ลิตร ที่พ่วงด้วยเทอร์โบ เป็นการรเปิดโลกเปิดประสบการณ์ใหม่อีกครั้งของวงการยานยนต์ ที่เครื่องเล็กกลับให้พละกำลังที่เทียบเท่าเครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร ได้อย่างสบาย การเปลี่ยนเกียร์ต่อเนื่อง การออกตัวกระฉับกระเฉงกว่าเดิมอย่างชัดเจน การทำความเร็วในช่วงกลาง 60 กม./ชม. ไปจนถึง 100 กม./ชม. ทำได้รวดเร็วขึ้น ส่วนใครสงสัยว่ารถคันนี้ทำท็อปสปีดได้ถึงเท่าไหร่ คำตอบคือ 190 กม./ชม. แต่ต้องใช้เวลาหลังจาก 140 กม./ชม. ไปอีกสักหน่อย ซึ่งนั่นไม่แนะนำอย่างยิ่ง เพราะอย่างแรกเป็นความเร็วเกินจากที่กฎหมายกำหนด และเรื่องที่สองคือ รถคันนี้ถึงจะมีเทอร์โบ แต่ไม่ได้ออกแบบให้รองรับกับการใช้งานด้วยความเร็วที่สูงมาก เพราะช่วงล่างกับระบบเบรกไม่ได้รองรับได้ขนาดนั้น ส่วนการขับแบบใช้งานทั่วไป มีเร็วแบบเร่งแซงถือว่าสอบผ่านสบายๆ อิทธิฤทธิ์ อีโคคาร์ 1 ลิตร เทอร์โบ คันนี้…คุ้มครับ สเปคและราคาแบบนี้ แถมยังเอาไปแต่งหล่อได้น้องๆ GT-R อีกด้วยนะ
ทั้งนี้ นิสสัน อัลเมร่า ใหม่ (ALL-NEW NISSAN ALMERA) มีทั้งหมด 5 รุ่นย่อย ได้แก่ S, E, EL, V และ VL มาพร้อม 6 สี ได้แก่ สีแดง เรเดียนท์ เรด (Radiant Red) สีส้ม โมนาร์ช (Monarch Orange) สีขาว สตอร์ม ไวท์ (Storm White) สีดำ แบล็ค สตาร์ (Black Star) สีเทา กัน เมทาลิค (Gun Metallic) และสีเงิน บริลเลียนท์ ซิลเวอร์ (Brilliant Silver) โดยราคาสำหรับอัลเมร่า ใหม่ ทั้ง 5 รุ่น ดังนี้ รุ่น S: 499,000 บาท, รุ่น E: 509,000 บาท, รุ่น EL: 559,000 บาท, รุ่น V: 599,000 บาท และรุ่น VL: 639,000 บาท
เรื่อง: พุทธิ ผาสุข
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th