ย้อนความสำเร็จ 4 ทศวรรษ รถกระบะ Mitsubishi ก่อนเปิดตัว All-new Triton ครั้งแรกของโลก 26 ก.ค.นี้
All-New Mitsubishi Triton รถกระบะ รุ่นใหม่ เจเนอเรชั่นที่ 6 ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส เตรียม เปิดตัว ครั้งแรกของโลก ที่กรุงเทพฯ ประเทศไทย ในวันพุธที่ 26 กรกฎาคม ทีมงาน Grand Prix Online ขอพาย้อนความสำเร็จของผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นรายนี้ที่สร้างรถกระบะให้ผู้คนทั่วโลกใช้งานมายาวนานกว่า 4 ทศวรรษ
ในปี 1978 เป็นยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง อุตสาหกรรมวีดีโอเกมได้ถือกำเนิดขึ้น เครือข่ายโทรศัพท์มือถือกำลังถูกพัฒนาขึ้นในประเทศญี่ปุ่น และซูเปอร์แมนเริ่มเป็นที่โด่งดังในโลกภาพยนตร์ โดยช่วงเวลาเดียวกันรถกระบะมิตซูบิชิขนาด 1 ตัน ถูกเผยโฉมขึ้นเป็นครั้งแรก และในอีก 4 ทศวรรษต่อมารถรุ่นดังกล่าวได้กลายเป็นยานพาหนะสำหรับผู้คนทั่วโลกมากกว่า 5.6 ล้านคัน
รถกระบะ Mitsubishi โดดเด่นด้วยความสามารถในการขับเคลื่อนบนทุกสภาพถนนและภูมิประเทศ ด้วยการพัฒนาและออกแบบเพื่อมุ่งตอบสนองทุกความปรารถนาของลูกค้าผู้ชื่นชอบรถกระบะ ทั้งในด้านความแข็งแกร่ง, ทนทาน และการบรรทุกสัมภาระ รวมถึงความอเนกประสงค์และความสะดวกสบายในการโดยสารที่ไม่ต่างไปจากรถยนต์นั่งแบบซีดาน
มิตซูบิชิ เปิดตัวรถกระบะรุ่นแรก Forte หรือ L200 ในบางประเทศ โดยรถกระบะเจเนอเรชั่นแรกของพวกเขาได้รับการพัฒนาให้มีความแข็งแกร่ง, ขับขี่ง่าย, ทนทานต่องานบรรทุกทั้งผู้โดยสาร และสัมภาระ ทำให้ได้รับความนิยมไปทั่วโลกในเวลาอันสั้น ทั้งในประเทศที่มีสภาพภูมิอากาศแบบหนาวจัด และทะเลทรายที่ร้อนระอุ
กระนั้น Mitsubishi Motors ยังคงมุ่งมั่นพัฒนารถกระบะให้แก่ลูกค้า เพื่อให้สามารถฝ่าฟันทุกอุปสรรคและไปได้ไกลกว่าเดิม ด้วยการคิดค้นระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ 4×4 ระดับตำนานมาใช้ในรถกระบะ Forte รุ่นปี 1980 ซึ่งต่อมาได้กลายต้นแบบของยนตรกรรมขับเคลื่อนสี่ล้อยุคใหม่ 4WD ของพวกเขาในเอสยูวี Pajero/Montero และ Delica
ในเวลาต่อมารถกระบะมิตซูบิชิ ถูกส่งไปจำหน่ายในอีกหลายประเทศภายใต้ชื่อ Triton ซึ่งประสบความสำเร็จ และได้กลายเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนธุรกิจที่สำคัญของบริษัทอีกด้วย
ทั้งนี้แพลตฟอร์มของ Triton เจเนอเรชั่นที่ 1 และ 2 ได้รับการพัฒนาขึ้นที่ศูนย์การผลิตยานยนต์ของ Mitsubishi Motors ที่เขตโอเอะ เมืองนาโกย่า โดยเจเนอเรชั่นที่ 3 ถูกผลิต และส่งออกไปยังตลาดทั่วโลกจากศูนย์การผลิตยานยนต์ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส แหลมฉบัง ประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันยังเป็นศูนย์การผลิตยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดของบริษัทด้วยกำลังการผลิตประมาณ 400,000 คัน
ก่อนงานเวิลด์พรีเมียร์ All-New Mitsubishi Triton ในวันพุธที่ 26 กรกฎาคมนี้ ย้อนเส้นทางของรถกระบะ Mitsubishi ตลอดเวลากว่า 4 ทศวรรษจากรุ่นสู่รุ่นตั้งแต่ Forte จนมาสู่ Triton/L200 ที่พร้อมจะสานต่อความสำเร็จในอนาคต
1st Generation: Mitsubishi Forte/L200 (1978-1986)
Mitsubishi Forte/L200 รถกระบะรุ่นแรกได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในทวีปอเมริกาเหนือ ซึ่งมักใช้รถกระบะขนาดเล็กสำหรับการเดินทางไปโรงเรียนหรือทำงาน และใช้สำหรับออกเดินทางทำกิจกรรมยามว่าง
มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ได้เผยโฉมรถกระบะขนาด 1 ตันครั้งแรกโดยใช้ชื่อ ฟอร์เต้ (Forte) เมื่อเดือนกันยายน 1978 และเริ่มการส่งออกสู่อเมริกาเหนือ ในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน โดยชื่อ “ฟอร์เต้” มีความหมายในภาษาอิตาลีว่า “แข็งแกร่ง” หลังจากยานยนต์ต้นแบบได้รับการทดสอบอย่างหนักทั้งในทวีปอเมริกาเหนือ, ประเทศไทย และซาอุดิอาระเบีย เพื่อให้มั่นใจในสมรรถนะ และความแข็งแกร่ง โดย Forte จำนวนกว่า 657,000 คัน ได้รับการผลิตที่ศูนย์การผลิตยานยนต์ในเขตโอเอะ เมืองนาโกย่า ประเทศญี่ปุ่น และบางส่วนผลิตขึ้นที่ศูนย์การผลิตแหลมฉบังในประเทศไทย
ทั้งนี้แนวทางการของออกแบบของรถกระบะ มิตซูบิชิ ฟอร์เต้ เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับรถยนต์นั่งขนาดคอมแพกต์ซีดาน กาแลนท์ ซิกม่า (Galent Σ) ด้วยดีไซน์ด้านหน้าเสมือนจมูกที่ยาวเป็นเอกลักษณ์ และการติดตั้งสเกิร์ตบนรถกระบะเป็นครั้งแรก รวมถึงโคมไฟหน้าแบบกลมสี่ดวง
Fact File Mitsubishi Forte
- Forte รถกระบะขนาด 1 ตัน เผยโฉมในประเทศญี่ปุ่น และส่งออกภายใต้ชื่อ รถกระบะมิตซูบิชิ (Mitsubishi Truck) และ L200 โดยเริ่มทำการส่งออกไปยังอเมริกาเหนือ ในเดือนตุลาคม 1978
- มีจำหน่ายเฉพาะรุ่นซิงเกิ้ลแค็บ โดยมีเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.0 ลิตร และเครื่องยนต์ขนาด 2.6 ลิตร ให้เลือกสำหรับตลาดอเมริกาเหนือ ขณะที่เครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร พัฒนาขึ้นสำหรับตลาดประเทศญี่ปุ่นและภูมิภาคอื่นๆ ทั้งนี้ เครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.3 ลิตร ก็มีให้เลือกสำหรับตลาดส่งออกโดยทั่วไป
- ตุลาคม 1980 – เปิดตัวพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบพาร์ทไทม์ครั้งแรก (Part-time 4WD System)
ทั้งนี้ มิตซูบิชิ ฟอร์เต้ ยังขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.0 ลิตร และ 2.6 ลิตร สำหรับตลาดอเมริกาเหนือ โดยประเทศญี่ปุ่น และภูมิภาคอื่นๆ จะเป็นเครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร ขณะที่เครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.3 ลิตร ผลิตขึ้นสำหรับตลาดส่งออก ด้วยตัวถังที่กว้างถึง 1,360 มม. และระยะฐานล้อยาวถึง 2,780 มม. มิตซูบิชิ ฟอร์เต้ จึงโดดเด่นด้วยเสถียรภาพการขับขี่ที่เหนือกว่า
นอกจากนี้ มิตซูบิชิ ฟอร์เต้ ยังเหนือกว่าด้วยแชสซีคุณภาพสูงที่นับว่าเป็นการยกระดับรถเชิงพาณิชย์อีกด้วย มั่นใจด้วยระบบดิสก์เบรกล้อหน้า ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบดับเบิลวิชโบนคอยล์สปริง และแหนบลดการสั่นสะเทือนพร้อมเพลาท้ายรถที่แข็งแกร่ง
เทคโนโลยีภายในห้องโดยสารส่งผลให้ช่วยลดเสียงรบกวน ลดความกระด้าง และลดอาการสั่นสะเทือนของตัวรถ โดยการใช้เพลากลางแบบสองชิ้น และวัสดุปิดซีลที่ติดตั้งไว้เป็นจำนวนมาก
มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ได้นำเอาความเชี่ยวชาญที่ได้จากประสบการณ์นานหลายปีในการผลิตรถจี๊ปมาพัฒนาต่อยอดเป็นกระบะขับเคลื่อนสี่ล้อแบบพาร์ทไทม์ ที่มาพร้อมโซ่ราวลิ้นซับเสียง ช่วยลดเสียงดังจากการทำงานของระบบส่งกำลัง และเสริมประสิทธิภาพให้รถสามารถขับเคลื่อนและเร่งอัตราความเร็วได้อย่างเต็มกำลัง
2nd Generation: Mitsubishi Strada/L200 (1986-1995)
ในเดือนมีนาคม 1986 Mitsubishi Motors ทำการพลิกโฉมรถกระบะของพวกเขาอย่างเต็มรูปแบบ โดยมาพร้อมการออกแบบที่โดดเด่นด้วยกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ รวมถึงการยกระดับรายละเอียดด้านการออกแบบอื่นๆ อีกมากมาย รวมถึงเส้นสายที่ทำให้ Mitsubishi Strada/L200 มีรูปทรงแกร่งทันสมัย และเสริมประสิทธิภาพตามหลักอากาศพลศาสตร์
สำหรับเจเนอเรชั่นที่ 2 ของรถกระบะมิตซูบิชิ ครบครันด้วยประเภทตัวถังทั้ง 3 รุ่น ได้แก่ ซิงเกิ้ลแค็บ, คลับแค็บ และดับเบิ้ลแค็บ โดยสไตล์ตัวถังทั้งแบบสั้น และยาวมีให้เลือกเป็นออปชั่นสำหรับรุ่นซิงเกิ้ลแค็บ พร้อมระบบขับเคลื่อนทั้งแบบสองล้อ และสี่ล้อ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.0 ลิตร และ 2.6 ลิตร รวมถึงเครื่องยนต์ดีเซล 2.5 ลิตร
รถกระบะมิตซูบิชิยุคนี้ได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น Strada (สตราด้า) โดยรุ่นดับเบิ้ลแค็บเปิดตัวครั้งแรกที่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี 1991 แต่ยังคงมีการใช้ชื่ออื่นในภูมิภาคที่แตกต่างกัน เช่น Mighty Max ในอเมริกาเหนือ และ Triton ในออสเตรเลีย รวมถึงยังคงใช้ชื่อ L200 ในประเทศอื่นๆ โดยตลาดอเมริกาเหนือมีการจำหน่ายภายใต้แบรนด์ Dodge ในชื่อรุ่น RAM 50 อีกด้วย
รถกระบะมิตซูบิชิ เจเนอเรชั่นที่ 2 ได้รับการผลิตขึ้นกว่า 1,146,000 คัน ที่ศูนย์การผลิตยานยนต์ ที่เขตโอเอะ เมืองนาโกย่า ประเทศญี่ปุ่น และที่ศูนย์การผลิตยานยนต์แหลมฉบัง ประเทศไทย
3rd Generation: Mitsubishi Strada/L200 (1995-2005)
ในเจเนอเรชั่น 3 Mitsubishi Motors ยังคงเลือกใช้ชื่อ Strada/L200 ในการทำตลาด โดยเริ่มผลิตในเดือนพฤศจิกายน 1995 ด้วยดีไซน์ใหม่ทั้งภายนอก-ภายใน ทำให้มีสไตล์โดดเด่นโฉบเฉี่ยวตรงกับความต้องการของลูกค้าที่ต้องการใช้งานรถกระบะในชีวิตประจำวันแทนรถซีดาน ด้วยความได้เปรียบจากความกว้างขวางสามารถรองรับการโดยสาร 5 ที่นั่ง รองรับการใช้งานทั้งในชีวิตประจำวัน และเชิงพาณิชย์
พละกำลัง และสมรรถนะในการขับเคลื่อนแบบออฟโรด ได้รับการยกระดับด้วยเครื่องยนต์อินเตอร์คูลเลอร์ เทอร์โบดีเซล ขนาด 2.5 ลิตร มาพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Easy Select 4WD ครบครันด้วยระบบความปลอดภัย และอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อมอบความสะดวกสบายในการใช้งานระดับเดียวกับรถซีดาน
Fact Mitsubishi Strada/L200 (1995)
- รถกระบะมิตซูบิชิ Mitsubishi Strada/L200 เปิดตัวในประเทศไทยเป็นที่แรกของโลก
- ผลิต และส่งออกจากศูนย์การผลิตยานยนต์แหลมฉบัง ประเทศไทย
- มีให้เลือกในรุ่น ซิงเกิ้ลแค็บ และคลับแค็บ ส่วนรุ่นดับเบิ้ลแค็บได้รับการผลิตขึ้นสำหรับการส่งออก ทั้งนี้ Strada/L200 ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.5 ลิตร และ 2.8 ลิตร พร้อมนวัตกรรมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อเทคโนโลยี Easy Select 4WD
Mitsubishi Strada/L200 นอกจากจะจำหน่ายในประเทศไทยแล้ว ยังส่งออกไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั้งในทวีปยุโรป, โอเชียเนีย, ละตินอเมริกา, ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ด้วยยอดผลิตรวมทั้งสิ้นกว่า 1,046,000 คัน ทั้งนี้ความโดดเด่นของรถกระบะมิตซูบิชิ ในเจเนอเรชั่นที่ 3 ประกอบด้วย:
- ดีไซน์ใหม่ ผสานด้วยความแข็งแกร่งในแบบรถกระบะ ผสานความล้ำสมัยในแบบรถซีดาน
- ภายในห้องโดยสารมอบความรู้สึกเช่นเดียวกันกับรถซีดาน ด้วยความประณีตในรายละเอียดของขอบประตูห้องโดยสาร และการบุเสริมด้วยวัสดุนุ่มเพื่อเพิ่มความสบายตลอดการเดินทาง
- พื้นที่บรรทุกสัมภาระขนาดใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบกับรถกระบะในระดับเดียวกัน
- สมรรถนะการขับขี่ที่เหนือกว่าจากขุมพลังเทอร์โบดีเซลอินเตอร์คูลเลอร์ 2.5 ลิตร
- ยกระดับระบบความปลอดภัยทั้งเชิงปกป้อง และป้องกัน เช่น ถุงลมนิรภัยด้านข้างคนขับ, กระจกหน้าต่างไฟฟ้าปรับขึ้น-ลงอัตโนมัติป้องกันการหนีบ และไฟเบรกดวงที่ 3
- ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Easy Select 4WD ของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกตำแหน่งการขับเคลื่อนให้เหมาะสมกับสภาพถนนได้สะดวกและรวดเร็ว
- ในบางรุ่นยังติดตั้งระบบ ABS ช่วยป้องกันล้อล็อกขณะเบรกพร้อมรักษาสมดุลและการควบคุมตัวรถ และระบบเฟืองท้ายลิมิเต็ด Hybrid LSD เพิ่มเสถียรภาพในการขับขี่
4th Generation: Mitsubishi Triton/L200 (2005-2014)
ในเดือนสิงหาคม 2005 มีการพลิกโฉมรถกระบะมิตซูบิชิอย่างเต็มรูปแบบอีกครั้ง และหลังจากการเปิดตัวในประเทศไทยได้มีการส่งออกไปยังกว่า 150 ประเทศทั่วโลก ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นหนึ่งกลยุทธ์ที่สำคัญระดับโลกของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส
Mitsubishi Triton/L200 ได้รับการพัฒนาขึ้นบน 3 แนวคิดสำคัญ เพื่อบุกตลาดกระบะโลก เริ่มจากการพัฒนาสมรรถนะให้เหนือกว่าระดับมาตรฐาน ทั้งด้านความประหยัด, ความแข็งแกร่ง และความทนทาน แนวคิดที่ 2 คือการมอบคุณภาพระดับมาตรฐานสูงสุดเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ในระดับโลก
สุดท้ายคือการตอบสนองความต้องการอันหลากหลายของลูกค้าที่ไม่เพียงจำกัดเฉพาะการใช้งานในเชิงพาณิชย์ โดยรถกระบะเจเนอเรชั่นที่ 4 ภายใต้ชื่อ Triton/L200 ผลิตขึ้นรวมทั้งสิ้นกว่า 1,423,000 คัน
ความโดดเด่นของ Triton/L200 คือนวัตกรรมภายในห้องโดยสาร และดีไซน์ภายนอกที่สปอร์ตโฉบเฉี่ยวล้ำสมัย นับว่าเป็นรถกระบะที่มีห้องโดยสารภายในที่กว้างขวางที่สุดในบรรดารถกระบะระดับเดียวกัน
ในขณะที่ช่วงล่าง และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกภายในห้องโดยสารยังได้รับการพัฒนา และติดตั้งเพื่อมอบความสะดวกสบายสูงสุดในการเดินทางเช่นเดียวกับรถยนต์ประเภทซีดาน
จากความโดดเด่นดังกล่าวไม่เพียงทำให้ Triton/L200 เป็นที่ยอมรับในด้านนวัตกรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นการยกระดับภาพลักษณ์ของรถกระบะโดยรวมที่ไม่จำกัดการใช้งานแค่ในเชิงพาณิชย์อีกต่อไป ความโดดเด่นดังกล่าวยังส่งผลให้รถกระบะของ Mitsubishi สามารถช่วยขยายฐานลูกค้าเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยยะ
นอกจากนี้รถกระบะมิตซูบิชิ เจเนอเรชั่นที่ 4 ยังมาพร้อมกับเครื่องยนต์ดีเซลใหม่ ระบบไดเรกอินเจคชั่น คอมมอนเรล (Direct Injection Common Rail) ที่มีพละกำลัง และสมรรถนะมากขึ้น พร้อมอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงต่ำ อีกทั้งยังช่วยลดไอเสียและเสียงรบกวนจากเครื่องยนต์
รวมทั้งมั่นใจยิ่งขึ้นด้วยโครงสร้างตัวถังที่ได้รับการออกแบบใหม่ ที่สามารถปกป้องผู้โดยสารเมื่อเกิดการปะทะได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับรถกระบะรุ่นอื่นในระดับเดียวกัน
Triton/L200 ยังได้รับการยอมรับในวงกว้างในด้านความแข็งแกร่งและสมรรถนะของระบบขับเคลื่อนแบบสี่ล้อ โดยมีบทพิสูจน์จากการเข้าร่วมแข่งขันในรายการดาการ์แรลลี่ รวมถึงการแข่งขันระดับโลกต่างๆ
5th Generation: Mitsubishi Triton/L200 (2014-2023)
ในปี 2014 รถกระบะมิตซูบิชิ เจเนอเรชั่นที่ 5 ภายใต้ชื่อ Triton/L200 ได้รับการยกระดับอีกขั้น เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลายได้ดียิ่งขึ้น ทั้งในด้านความอเนกประสงค์, ความแข็งแกร่ง และความทนทาน สำหรับการใช้งานในเชิงพาณิชย์ อีกทั้งยังขับขี่ง่าย, สะดวกสบาย และสนุกสนานเปี่ยมด้วยอารมณ์สปอร์ต ด้วยมาตรฐานคุณภาพที่สร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าทุกคนจึงส่งผลให้ Triton/L200 ได้รับการยอมรับว่าเป็น “กระบะพันธุ์เข้ม แรงจัด ประหยัดจริง” มีให้เลือกทั้งแบบซิงเกิ้ลแค็บ, ดับเบิ้ลแค็บ และคลับแค็บ
Mitsubishi Triton/L200 มีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 2.5 ลิตร และเครื่องยนต์เบนซิน 2.4 ลิตร ที่ได้รับการพัฒนาให้ทรงประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมถึงเครื่องยนต์ MIVEC คลีนเทอร์โบดีเซล 2.4 ลิตร ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาใหม่เพื่อสมรรถนะเหนือชั้น และมีประสิทธิภาพในการใช้เชื้อเพลิงในระดับสูงสุดจึงช่วยลดไอเสีย มาพร้อมระบบส่งกำลังแบบธรรมดา 6 จังหวะ และระบบส่งกำลังอัตโนมัติ 5 จังหวะ พร้อมโหมดการขับขี่แบบสปอร์ต ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรถกระบะมิตซูบิชิFact Mitsubishi Strada/L200 (2014)
- รถกระบะมิตซูบิชิ เจเนอเรชั่นที่ 5 เปิดตัวในประเทศไทยเป็นแห่งแรก ก่อนจะเปิดตัวในประเทศอื่นๆ หลังจากนั้น
- ครบครันทั้งรุ่นซิงเกิ้ลแค็บ, คลับแค็บ และดับเบิ้ลแค็บ มาพร้อมนวัตกรรมเครื่องยนต์ MIVEC เทอร์โบดีเซล 2.4 ลิตร, ดีเซลเทอร์โบ 2.5 ลิตร และเครื่องยนต์เบนซิน 2.4 ลิตร มีให้เลือกทั้งระบบขับเคลื่อนแบบสองล้อ และสี่ล้อพร้อมเทคโนโลยี Super Select 4WD-II ควบคุมการเปลี่ยนโหมดขับขี่ด้วยระบบไฟฟ้า
พร้อมกันนี้ระบบขับเคลื่อนแบบสี่ล้อ ยังได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน โดยระบบ Easy Select 4WD ประกอบด้วย 3 โหมดการขับขี่ ได้แก่ โหมดขับเคลื่อนสองล้อหลัง (2H), โหมดขับเคลื่อนสี่ล้อความเร็วสูง (4H) และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อความเร็วต่ำ (4L) เพื่อสร้างแรงฉุดที่เหมาะสมกับถนนสภาพต่างๆ ในขณะที่การขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ Super Select 4WD-II มีการควบคุมการเปลี่ยนโหมดขับขี่ด้วยระบบไฟฟ้า
ทั้งนี้ Triton/L200 มีระบบขับเคลื่อนแบบสองล้อในรุ่นมาตรฐาน และในรุ่นยกสูงซึ่งมีระยะความสูงจากพื้นเทียบเท่ากับรุ่นระบบขับเคลื่อนแบบสี่ล้อ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการฝ่าทุกอุปสรรคบนเส้นทางที่ทุรกันดาร
»» 5th Gen Triton ไมเนอร์เชนจ์ และรุ่นพิเศษ
นับตั้งแต่เปิดตัวรอบเวิลด์พรีเมียร์ ในประเทศไทย เมื่อเดือนกรกฎาคม 2014 มิตซูบิชิ มอเตอร์ส มีการส่งรุ่นพิเศษของรถกระบะ Triton เจเนอเรชั่นนี้ ออกขายในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยมีทั้ง Triton Athlete เพิ่มความสปอร์ตทั้งภายใน-ภายนอก ด้วยโทนสีดำ-ส้ม ตามด้วยรุ่นเพิ่มออปชั่น และอุปกรณ์พิเศษ Triton Absolute และเพิ่มทางเลือกด้วยรุ่น Triton Athlete GT 2 WD
ในช่วงเวลาเดียวกัน มิตซูบิชิ มอเตอร์ส มีการไมเนอร์เชนจ์ New Triton ในเดือนพฤศจิกายน 2018 ภายใต้คอนเซปต์ ‘แกร่ง ลุยทุกอุปสรรค’ โดยความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือนำแนวทางการดีไซน์ “Dynamic Shield” มาใช้งานในรถกระบะหนึ่งเดียวของพวกเขา พร้อมทั้งอัพเกรดระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Super-Select 4WD II และ Easy-Select 4WD เพิ่มโหมดรองรับการขับขี่หลากหลายรูปแบบ
นอกจากนี้ยังมีรุ่นพิเศษ Triton ‘รักกิจ เอดิชั่น’ Rukkit Edition เป็นการร่วมงานกับศิลปินชาวไทย รักกิจ ควรหาเวช โดยเผยโฉมสู่สายตาสาธารณชนครั้งแรกที่งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล ครั้งที่ 42 และ Triton Passion Red Edition เพื่อฉลองการเข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทยครบรอบ 60 ปีของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส
จนมาสู่ช่วงปลายอายุโมเดลของ Triton เจเนอเรชั่นที่ 5 มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประกาศกลับมาสู่วงการแข่งขันแรลลี่ และการคืนชีพของทีมแข่ง Ralliart ทำให้พวกเขานำดีเอ็นเอจากสนามแข่งมาถ่ายทอดสู่ Triton ทั้งรุ่นยกสูง Doublecab และตัวเตี้ย Megacab ที่จะเพิ่มอุปกรณ์ตบแต่งพิเศษทั้งบนตัวรถ และภายในห้องโดยสารด้วยโทนสีแดง-ดำ พร้อมโลโก้ Ralliart ช่วยเพิ่มความโดดเด่น
นับถอยหลัง All-new Mitsubishi Triton เจเนอเรชั่นที่ 6
เปิดตัวครั้งแรกของโลก วันที่ 26 ก.ค.นี้ !!!
Mitsubishi XRT Concept รถกระบะต้นแบบของ Triton เจเนอเรชั่น 6 ถูกเปิดผ้าคลุมครั้งแรกของโลกที่งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 44 เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยนำเสนอดีไซน์ดุดันสะดุดตาตั้งแต่ด้านหน้าจรดท้าย เสริมอารมณ์แกร่งด้วยเส้นนำสายตาจากกระโปรงหน้าสู่ด้านข้างตัวถังในสไตล์แนวราบ พร้อมการตกแต่งเหนือซุ้มล้อหน้า-หลัง และติดตั้งยางลุยโคลน (Mud-terrain) ช่วยเพิ่มพลังขับเคลื่อนเต็มสปีด ปราดเปรียวพร้อมพุ่งทะยานในทุกเส้นทางสุดหฤโหดของการแข่งขันแรลลี่
การเป็นรถต้นแบบทำให้ตัวถังของ XRT Concept ถูกห่อหุ้มด้วยลายพราง ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจาก “ลาวา” หินภูเขาไฟที่อัดแน่นด้วยพลังงาน อันทรงพลัง พร้อมด้วยกราฟฟิกเส้นขนานแนวเฉียง 10 เส้น ในแบบฉบับของโลโก้ Ralliart ที่สะท้อนถึงจิตวิญญาณที่ขับเคลื่อนไปข้างหน้าของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ได้อย่างโดดเด่น
หลังจากนั้นเข้าสู่ต้นเดือนมิถุนายน มิตซูบิชิ มอเตอร์ส เริ่มต้นแผนเปิดตัว All-new Triton อย่างเป็นทางการด้วยการส่งจดหมายเชิญสื่อมวลชนไทย และรวมถึงสื่อรถยนต์ต่างประเทศ เพื่อเตรียมมาร่วมงาน World Premiere การเปิดตัวครั้งแรกของโลก ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร ในวันพุธที่ 26 กรกฎาคม 2023
ในช่วงก่อนการเปิดตัว มิตซูบิชิ มอเตอร์ส เปิดเผยข้อมูลอย่างเป็นทางการของ All-new Triton ที่หลอมรวมความเป็นที่สุดแห่งดีเอ็นเอของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ที่มุ่งสร้างสรรค์ยานยนต์ที่มีความปลอดภัย อุ่นใจในสมรรถนะการขับขี่บนสภาพถนน และสภาพอากาศทุกรูปแบบ ซึ่งมาพร้อมกับความสะดวกสบายสูงสุดในทุกที่นั่งด้วยแพล็ตฟอร์มใหม่
แพล็ตฟอร์มนี้พัฒนาขึ้นเพื่อ All-new Triton โดยเฉพาะ ประกอบด้วยเฟรมหรือโครงรถแบบขั้นบันไดใหม่สุดแกร่ง และช่วงล่างที่ปฏิวัติดีไซน์ใหม่ยกชุดจากด้านหน้าจรดท้าย โดยด้านหน้าเป็นช่วงล่างอิสระแบบปีกนกคู่ดีไซน์ใหม่เสริมด้วยช่วงล่างด้านหลังแบบแหนบแผ่นซ้อนนวัตกรรมใหม่ เติมความนุ่มนวลขณะขับขี่ให้ All-new Triton เกาะถนน และทรงตัวมั่นคงสูงสุด
ในส่วนของขุมกำลังจะเป็นเครื่องยนต์ใหม่อันทรงพลังด้วยเทคโนโลยีคลีนดีเซล ให้กำลังแรงสมรรถนะสูงกว่าเดิม แต่มีมลภาวะต่ำ ใช้เชื้อเพลิงได้อย่างคุ้มค่า ตอบโจทย์ความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่ทั่วโลกล้วนให้ความสำคัญ
การเปิดตัวออล-นิว ไทรทัน รอบเวิลด์พรีเมียร์ จะมีขึ้นใน วันพุธที่ 26 กรกฎาคม โดยจะมีการถ่ายทอดสด
ไลฟ์สตรีมทางออนไลน์ที่เฟสบุ๊คแฟนเพจของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ตั้งแต่เวลา 10.00 น. ที่ www.facebook.com/MitsubishiMotorsTH All-new Mitsubishi Triton เปิดตัว
เรื่อง: พูนทวี สุวัตถิกุล
ขอบคุณข้อมูล: มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th
All-new Mitsubishi Triton เปิดตัว