AUDI : CAR OF THE YEAR 2024
BEST HYBRID SEDAN UNDER 3,000 c.c.
Audi A8 L 60 TFSI e quattro Prestige S line
สำหรับความลงตัวรถ BEST HYBRID SEDAN UNDER 3,000 c.c. ในปีนี้คงต้องยกความเป็นสุดยอดให้กับ Audi A8 L 60 TFSI e quattro Prestige S line รถซีดานหรูระดับแฟลกชิพที่มาพร้อมขุมพลัง Plug-in Hybrid V6 3.0 ลิตร และขับเคลื่อนในโหมด ไฟฟ้าล้วน ไกลสุด 52 กิโลเมตร ด้วยความโดดเด่นเหนือใคร ทำให้ได้รับการโหวตจากคณะกรรมการว่าเป็นรถที่คุ้มค่ามากที่สุดในคลาสนี้
มุมมองจากคณะกรรมการ
การออกแบบที่เรียบหรูลงตัว
Audi A8 L 60 TFSI e quattro Prestige S line ได้รับการออกแบบให้เป็นรถสปอร์ตพรีเมียม เน้นเรียบหรูสไตล์ผู้บริหาร แต่ดุดัน โฉบเฉี่ยว ด้วยล้อ S Design ขนาด 20 นิ้ว คู่กับชุดแต่ง S line ที่โดดเด่นมีสไตล์ ภายในเน้นการใช้งานที่สะดวก สามารถควบคุมการใช้งานภายในรถได้จากด้านหลัง ด้วยหน้าจอส่วนตัว พร้อมจอ OLED แบบสัมผัส ขนาด 5.7 นิ้ว เบาะหลังแยกซ้าย-ขวาออก จากกัน ให้ความเป็นส่วนตัว พร้อมที่พักเท้าแบบอุ่นร้อนและฟังก์ชันนวดเท้า หลังคาพาโนรามิก เลื่อนเปิด-ปิด ด้วยระบบไฟฟ้า ม่านบังแดดปรับไฟฟ้า สำหรับกระจกด้านหลังและกระจกข้างด้านหลัง เพื่อเพิ่มความเป็น ส่วนตัว ไฟอ่านหนังสือภายในแบบ Matrix LED เพื่อความสะดวกสบายในการมองเห็นภายในรถ
ขุมพลัง Plug-in Hybrid V6 3.0 ลิตร ตอบสนองอัตราเร่งและความประหยัด
Audi A8 L 60 TFSI e quattro Prestige S line ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% ให้ความเร็วสูงสุด 135 กิโลเมตร/ชั่วโมง และระยะการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 52 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน WLTP) รองรับการชาร์จไฟได้ สูงสุด 7.4 กิโลวัตต์ ใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมง สำหรับการชาร์จด้วยไฟ 3.7 kW ก็สามารถชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มได้ภายในเวลาไม่เกิน
4 ชั่วโมง
เครื่อง V6 3.0 TFSI ให้กำลังสูงสุดถึง 340 แรงม้า ทำงานคู่กับระบบขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีกำลังสูงสุดถึง 136 แรงม้า ระบบเกียร์ Tiptronic 8 จังหวะ ส่งกำลังไปยังล้อทั้งสี่ ผ่านระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ quattro ให้กำลังสูงสุด 462 แรงม้า เร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 4.7 วินาที และทำความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเพียง 2.3 ลิตร/100 กิโลเมตร
สามารถ Regenerative power เมื่อรถมีการเคลื่อนที่แบบลอยตัว ตัวรถจะทำการชาร์จไฟกลับสู่แบตเตอรี่ด้วยระบบ Coasting Recuperation โดยระบบนี้จะสามารถคืน
พลังงานไฟฟ้าให้กับรถได้มากถึง 25 กิโลวัตต์ ขณะทำการเบรกจะสามารถคืนพลังงานเข้าแบตเตอรี่ได้สูงสุดถึง 80 กิโลวัตต์ ด้วยระบบ Brake recuperation โดยมีหน้าจอ Virtual Cockpit และระบบ MMI หน้าจอระบบสัมผัส ที่ทำให้ผู้ขับขี่สามารถดูข้อมูลการขับขี่ได้อย่างหลากหลาย เช่น มาตรวัดกำลัง ระยะทาง หรือพลังงานในปัจจุบันของระบบเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า เป็นต้น เพื่อจะได้เลือกการขับขี่ได้อย่างถูกต้อง
Driving modes
Audi A8 L 60 TFSI e quattro Prestige S line มาพร้อมระบบปลั๊กอินไฮบริด ที่สามารถขับขี่ทั้งหมด 4 โหมด ได้แก่ EV Mode, Battery Hold, Battery Charge และ Hybrid รถจะทำงานแบบคาดการณ์ล่วงหน้าและถูกเปิดใช้งานโดยอัตโนมัติ เมื่อมีการเริ่มการใช้ระบบนำทาง MMI Navigation plus with MMI touch response การชาร์จแบตเตอรี่ทำได้อย่างชาญฉลาดและปรับให้เหมาะสมต่อการขับขี่ตลอดเส้นทาง รถจะใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นหลักเมื่ออยู่ในตัวเมืองและในการจราจรที่แน่นหนา โดยทั่วไปแล้วระบบจะคำนวณการขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าให้ได้มากที่สุด และใช้แบตเตอรี่ที่มีอยู่ให้หมด เมื่อถึงจุดหมายปลายทาง
EV Mode รถจะขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ตราบใดที่คนขับไม่เหยียบคันเร่งเกินที่กำหนดไว้ Battery Hold ระบบจัดการการขับขี่จะรักษาความจุของแบตเตอรี่ไว้ที่ระดับปัจจุบัน ที่คงเหลือ เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถครอบคลุมระยะทางที่กำหนดในภายหลัง ด้วยระบบไฟฟ้าเต็มรูปแบบ
Battery Charge ระบบจะจัดการการขับขี่โดยสร้างพลังงานไฟฟ้ากลับเข้าสู่แบตเตอรี่ เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถวางแผนการใช้งานด้วยระบบไฟฟ้าเต็มรูปแบบในพื้นที่ที่ต้องการได้ Hybrid จะถูกเปิดใช้งานโดยอัตโนมัติ พร้อมกับระบบนำทาง หรือคนขับสามารถเลือกใช้ปุ่มโหมดการทำงาน โดยในโหมดนี้จะทำงานร่วมกันระหว่างมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์สันดาปอย่างลงตัว เพื่อลดอัตราการสิ้นเปลืองพลังงานเชื้อเพลิงให้ได้น้อยที่สุด โดยรถจะเน้นการใช้พลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นหลัก เช่น การจราจรที่ติดขัด ระบบไฟฟ้าจะทำงานเป็นส่วนใหญ่ โดยจะทำงานร่วมกับระบบ Recuperation ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสภาวะการขับขี่ สถานการณ์ สภาพถนน และการขับขี่
ระบบความปลอดภัยเต็มรูปแบบ
Audi A8 L 60 TFSI e quattro Prestige S line มาพร้อมกับระบบความปลอดภัย ป้องกันก่อนเกิดเหตุ (Audi pre sense basic) ระบบจะประเมินสถานการณ์การขับขี่จากการทำงานของเซ็นเซอร์ภายใต้ระบบควบคุมการทรงตัว ESC เรดาร์เซ็นเซอร์บริเวณด้านท้ายรถ หรือการเหยียบแป้นเบรกอย่างรุนแรง ในกรณีที่ประเมินว่ามีแนวโน้มที่อาจเกิดอันตรายได้ ระบบจะดึงรั้งสายเข็มขัดนิรภัยของเบาะนั่งคู่หน้าให้กระชับ นอกจากนั้นแล้ว หากกระจกหรือหลังคาพาโนรามิกถูกเปิดค้างไว้ ระบบจะปิดให้โดยอัตโนมัติ พร้อมทั้งเปิดการทำงานของสัญญาณไฟฉุกเฉิน
ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุด้านหลัง (Audi pre sense rear) เรดาร์เซ็นเซอร์ที่อยู่ด้านท้ายรถจะประเมินสภาพการจราจรที่อยู่ด้านหลัง ในกรณีที่ประเมินว่ามีแนวโน้มที่
อาจเกิดอันตรายได้ ระบบจะดึงรั้งสายเข็มขัดนิรภัยของเบาะนั่งคู่หน้าให้กระชับ หากกระจกหรือหลังคาพาโนรามิกถูกเปิดค้างไว้ ระบบจะปิดให้โดยอัตโนมัติ พร้อมทั้งเปิดการทำงานของสัญญาณไฟฉุกเฉิน
ระบบแจ้งเตือนจุดอับสายตาเมื่อเปลี่ยนเลน (Lane change assist) เมื่อระบบประเมินว่ารถอยู่ภายใต้ความเสี่ยงที่อาจจะเกิดอันตรายได้ หากผู้ขับขี่เปลี่ยนเลน ระบบจะแสดงสัญญาณเตือนขึ้นที่กระจกมองข้าง
ระบบแจ้งเตือนสภาพแวดล้อมด้านข้างและด้านท้ายรถ เมื่อเปิดประตูลงจากรถ (Exit warning) ขณะที่รถจอดหยุดนิ่ง ระบบจะตรวจสอบสภาพแวดล้อมทั้งด้านข้างและด้านหลัง ทั้งนี้ ในกรณีที่ตรวจพบยานพาหนะที่เคลื่อนเข้ามาในระยะที่อาจเกิดอันตราย ในขณะที่ผู้โดยสารภายในรถกำลังเปิดประตู
จากด้านใน สัญญาณไฟเตือนจะปรากฏขึ้น
ระบบแจ้งเตือนสภาพแวดล้อมด้านข้างและด้านท้ายรถ เมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง (Rear cross traffic assist) ระบบสามารถแจ้งเตือนผู้ขับขี่ขณะถอยรถออก หากตรวจสอบสภาพแวดล้อมแล้วพบว่ามีรถเคลื่อนเข้ามาในระยะที่อาจเกิดอันตราย ระบบจะส่งสัญญาณเตือน และหากอยู่ในสถานการณ์คับขัน ระบบจะช่วยเบรกเพื่อลดทอนการเกิดอุบัติเหตุ
และนี่คือความโดดเด่นเหนือใคร ที่ทำให้ Audi A8 L 60 TFSI e quattro Prestige S line ได้รับการคัดเลือกให้เป็น BEST HYBRID SEDAN UNDER 3,000 c.c. ประจำปี 2024 จากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
BEST HYBRID HATCHBACK UNDER 3,000 c.c.
Audi A7 Sportback 55 TFSI e quattro S line
นับเป็นหนึ่งในรถซีดานสุดหรู ที่มาพร้อมความแรงและประหยัดอย่างลงตัว สำหรับ Audi A7 Sportback 55 TFSI e quattro S line ที่ทรงพลังด้วยขุมพลัง Plug-in Hybrid 2.0 ลิตร ให้กำลังรวมสูงสุด 367 แรงม้า และสามารถขับขี่ในโหมดไฟฟ้าสูงสุด 69 กิโลเมตร ด้วยความครบเครื่องที่ตอบสนองได้ทุกความต้องการในการใช้งาน ทำให้รถคันนี้ได้รับผลโหวตมากที่สุดจากคณะกรรมการ จนได้รับรางวัล BEST HYBRID HATCHBACK UNDER 3,000 c.c. มาครองได้สำเร็จ
มุมมองจากคณะกรรมการ
การออกแบบที่ลงตัว
ภายนอกของรุ่น Audi A7 Sportback 55 TFSI e quattro S line ถูกตกแต่งด้วยแพ็กเกจ S line และล้อขนาด 20 นิ้ว ติดตั้งไฟหน้าแบบ HD Matrix LED พร้อมเอฟเฟกต์ไฟด้านหน้า-หลัง (Light Staging) พร้อมไฟ Projector LED สัญลักษณ์ S ที่ประตูหน้า
ภายในห้องโดยสารติดตั้งเบาะนั่งคู่หน้าแบบ Sports หุ้มหนัง Valcona พร้อมสัญลักษณ์ S line มาพร้อมพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันแบบสปอร์ตท้ายตัด ตกแต่งด้วยหนัง Perforated พร้อมสัญลักษณ์ S line ขณะที่แผงคอนโซลตกแต่งด้วยลาย Dark Matte Brushed Aluminium ติดตั้งหลังคากระจกพาโนรามิก เลื่อนเปิด-ปิด ด้วยไฟฟ้า พร้อมแป้นคันเร่งและเบรกแบบ Stainless steel
ภายในยังมีการติดตั้งอุปกรณ์มาตรฐานอื่นๆ เช่น ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติแยกอิสระ 4 โซน, ระบบช่วยปรับอุณหภูมิในห้องโดยสารก่อนเริ่มการขับขี่ (Stationary air conditioning), ช่องจ่ายไฟ USB-C สำหรับผู้โดยสารด้านหน้า 2 ตำแหน่ง ด้านหลัง 2 ตำแหน่ง, ระบบเครื่องเสียง Bang & Olufsen พร้อมระบบเสียง 3 มิติ และไฟเรืองแสงในห้องโดยสารมากถึง 30 สี (Contour/ambient lighting)
ระบบ Plug-in Hybrid
ที่ลงตัวทั้งความแรงและประหยัด
Audi A7 Sportback 55 TFSI e quattro S line ได้รับการออกแบบที่ลงตัวด้วยระบบการขับเคลื่อนแบบ Plug-in Hybrid ที่ทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ เทอร์โบ 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 265 แรงม้า และมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 143 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร เมื่อทำงานร่วมกันจะให้กำลังสูงสุด 367 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ S tronic 7 จังหวะ พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ quattro with ultra technology
ซึ่งสามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 5.7 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ 250 กม./ชม. พร้อมแบตเตอรี่ขนาดความจุ 17.9 kWh พร้อมระบบ Recuperation ที่สามารถสร้างพลังงานไฟฟ้ากลับไปยังแบตเตอรี่ขณะขับขี่ สามารถขับเคลื่อนในโหมดไฟฟ้าล้วนด้วยความเร็วสูงสุด 135 กม./ชม. และทำระยะทางขับขี่ในโหมดไฟฟ้าสูงสุด 69 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP
สำหรับระบบชาร์จของ A7 Sportback 55 TFSI e quattro เป็นมาตรฐานหัวชาร์จแบบ Type 2 รองรับการชาร์จกับเครื่องชาร์จสาธารณะ สามารถชาร์จด้วยกำลังไฟสูงสุด 7.4 กิโลวัตต์ โดยใช้ระยะเวลาชาร์จประมาณ 2 ชั่วโมง อีกทั้งยังสามารถชาร์จด้วยปลั๊กไฟบ้านขนาด 3.7 kW ซึ่งใช้ระยะเวลาชาร์จสูงสุดไม่เกิน 4 ชั่วโมง
…และนี่คือความโดดเด่นเหนือใคร ที่ทำให้ Audi A7 Sportback 55 TFSI e quattro S line ได้รับการคัดเลือกให้เป็น BEST HYBRID HATCHBACK UNDER
3,000 c.c. ประจำปี 2024 จากคณะกรรมการผู้เข้าทดสอบ
BEST EV SUV
Audi Q8 Sportback e-tron 55 quattro S line Black Edition
ถือว่าเป็นรถ SUV EV ที่เพียบพร้อมที่สุดในชั่วโมงนี้ สำหรับ Audi Q8 Sportback e-tron 55 quattro S line Black Edition ด้วยรูปลักษณ์ที่ล้ำสมัย เทคโนโลยีการขับขี่อัจฉริยะและสมรรถนะอันยอดเยี่ยม สร้างความแตกต่างเหนือระดับกว่า EV ทั่วไป ซึ่งเป็นเหตุผลให้ AUDI Q8 Sportback 55 e-tron quattro สามารถคว้ารางวัล BEST EV SUV มาครองได้สำเร็จ ซึ่งความยอดเยี่ยมจะมีอะไรบ้าง สามารถติดตามได้ใน Car of The Year 2024
มุมมองจากคณะกรรมการ
การดีไซน์สุดล้ำสมัย
Audi Q8 Sportback e-tron 55 quattro S line Black Edition สะท้อนยนตรกรรมไฟฟ้าอย่างสมบูรณ์แบบ ดีไซน์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Concept car ในตระกูล Sphere ดีไซน์ New Grille design และ 2D logo มาพร้อมกับไฟ Projector lighting พร้อมเอฟเฟกต์ไฟแบบ Light staging กระจังหน้าดีไซน์ใหม่ ที่ไม่ได้
ตอบโจทย์แค่เพียงความสวยงาม แต่ยังช่วยในเรื่อง Aerodynamics ของตัวรถ
ส่วนห้องโดยสารที่ถูกออกแบบด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย ผสานดีไซน์ความสปอร์ตและความพรีเมียมเข้าด้วยกัน เบาะนั่งหุ้มหนัง Valcona พร้อมเบาะนั่งคู่หน้าแบบ Sports plus โปร่งสบายด้วย Panoramic glass sunroof จอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ Virtual cockpit plus ขนาด 12.3 นิ้ว ระบบ MMI Navigation plus ขนาด 10.1 นิ้ว เครื่องเสียงระดับพรีเมียม Bang & Olufsen พร้อมระบบเสียง 3 มิติ แอร์เป็นแบบอัตโนมัติ แยกปรับได้อิสระ 4 โซน คือ หน้า 2 หลัง 2
ขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตำแหน่ง
408 แรงม้า ขับสนุกทุกย่านความเร็ว
Audi Q8 Sportback e-tron 55 quattro S line Black Edition ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตำแหน่ง ให้กำลังสูงสุด 408 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 664 นิวตันเมตร ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ quattro แบตเตอรี่ลิเทียมไอออนขนาด 114 kWh อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง 5.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ระยะทางวิ่งสูงสุด 636 กิโลเมตร ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง (NEDC)
– รองรับการชาร์ไฟ DC 170 kWh
– รองรับการชาร์จไฟ AC 22 kWh
ระบบความปลอดภัยเต็มรูปแบบ
Audi Q8 Sportback e-tron 55 quattro S line Black Edition มาพร้อมกับระบบความปลอดภัย ป้องกันก่อนเกิดเหตุ (Audi pre sense basic) ระบบจะประเมินสถานการณ์การขับขี่ จากการทำงานของเซ็นเซอร์ภายใต้ระบบควบคุมการทรงตัว ESC เรดาร์เซ็นเซอร์บริเวณด้านท้ายรถ หรือการเหยียบแป้นเบรกอย่างรุนแรง ในกรณีที่ประเมินว่ามีแนวโน้มที่อาจเกิดอันตรายได้ ระบบจะดึงรั้งสายเข็มขัดนิรภัยของเบาะนั่งคู่หน้าให้กระชับ นอกจากนั้น หากกระจกหรือหลังคาพาโนรามิกถูกเปิดค้างไว้ ระบบจะปิดให้โดยอัตโนมัติ พร้อมทั้งเปิดการทำงานของสัญญาณไฟฉุกเฉิน
ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุด้านหลัง (Audi pre sense rear) เรดาร์เซ็นเซอร์ที่อยู่ด้านท้ายรถจะประเมินสภาพการจราจรที่อยู่ด้านหลัง ในกรณีที่ประเมินว่ามีแนวโน้มที่
อาจเกิดอันตรายได้ ระบบจะดึงรั้งสายเข็มขัดนิรภัยของเบาะนั่งคู่หน้าให้กระชับ หากกระจกหรือหลังคาพาโนรามิกถูกเปิดค้างไว้ ระบบจะปิดให้โดยอัตโนมัติ พร้อมทั้งเปิดการทำงานของสัญญาณไฟฉุกเฉิน
ระบบแจ้งเตือนจุดอับสายตาเมื่อเปลี่ยนเลน (Lane change assist) เมื่อระบบประเมินว่ารถอยู่ภายใต้ความเสี่ยงที่อาจจะเกิดอันตรายได้หากผู้ขับขี่เปลี่ยนเลน ระบบจะแสดงสัญญาณเตือนขึ้นที่กระจกมองข้าง
ระบบแจ้งเตือนสภาพแวดล้อมด้านข้างและด้านท้ายรถ เมื่อเปิดประตูลงจากรถ (Exit warning) ขณะที่รถจอดหยุดนิ่ง ระบบจะตรวจสอบสภาพแวดล้อมทั้งด้านข้างและด้านหลัง ทั้งนี้ ในกรณีที่ตรวจพบยานพาหนะที่เคลื่อนเข้ามาในระยะที่อาจเกิดอันตราย ในขณะที่ผู้โดยสารภายในรถกำลังเปิดประตูจากด้านใน สัญญาณไฟเตือนจะปรากฏขึ้น
ระบบแจ้งเตือนสภาพแวดล้อมด้านข้างและด้านท้ายรถเมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง (Rear cross traffic assist) ระบบสามารถแจ้งเตือนผู้ขับขี่ขณะถอยรถออก หากตรวจสอบสภาพแวดล้อมแล้วพบว่ามีรถเคลื่อนเข้ามาในระยะที่อาจเกิดอันตราย ระบบจะส่งสัญญาณเตือน และหากอยู่ในสถานการณ์คับขัน ระบบจะช่วยเบรกเพื่อลดทอนการเกิดอุบัติเหตุ
ด้วยเหตุผลข้างต้น ทำให้ Audi Q8 Sportback e-tron 55 quattro S line Black Edition เป็นรถที่ดีที่สุดในเซ็กเมนต์ EV SUV ใน Thailand Car of The Year 2024
BEST EV SUPERCAR
Audi RS e-tron GT quattro
ชั่วโมงนี้ต้องบอกว่า Audi RS e-tron GT quattro คือรถไฟฟ้า SUPERCAR ที่คนต้องการมากที่สุด เพราะรถรุ่นนี้คือนวัตกรรมยานยนต์แห่งโลกอนาคตที่มีเอกลักษณ์ และความประหยัดคุ้มค่า กลายเป็นรถ SUPERCAR พลังงานไฟฟ้าที่ตอบโจทย์การใช้งานได้ดีที่สุด ซึ่งทำให้เหล่าคณะกรรมการต่างลงคะแนนอย่างท่วมท้นว่า นี่คือ BEST EV SUPERCAR ใน Thailand Car of The Year 2024
มุมมองจากคณะกรรมการ
การออกแบบ
Audi RS e-tron GT quattro รถยนต์จากสายการผลิตปกติ (Production Car) คันแรกของโลก ที่ได้รับการออกแบบในสไตล์คูเป้ 4 ประตู ที่เน้นความเรียบหรูแต่แฝงไปด้วยสมรรถนะสปอร์ต กระจกมองข้าง แถบด้านข้างตัวรถ ช่อง Air Inlets ด้านหน้า ขอบ Diffuser ด้านท้าย และหลังคา ตกแต่งด้วย Carbon เสริมด้วยเทคโนโลยีอากาศพลศาสตร์ (Aerodynamic) รูปทรงของรถที่มีความลู่ลม ช่องลมทั้งคันออกแบบเพื่อลดแรงต้านอากาศ ทำให้นำพลังงานไฟฟ้าไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ
เพิ่มความปลอดภัยด้วยเทคโนโลยีไฟหน้าแบบ Matrix LED with Laser light ช่วยให้แสงสว่างที่คมชัด แม่นยำ ทั้งยังสามารถลดการกระจายแสงรบกวนแก่เพื่อนร่วมทาง ชุดไฟท้ายแบบ LED พร้อมฟังก์ชัน Light staging เมื่อปลดล็อกรถ หลังคาพาโนรามิกพร้อมเทคโนโลยีกรองแสง ช่วยป้องกันความร้อนจากแสงแดดเข้าสู่ภายในห้องโดยสาร ล้ออัลลอยขนาด 21 นิ้ว
ภายในห้องโดยสารตกแต่งภายในด้วยลาย Matte Carbon Twill เบาะนั่งคู่หน้าแบบ Sports Pro ปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง พร้อมฟังก์ชันนวดเพื่อการผ่อนคลาย หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ Virtual cockpit plus ขนาด 12.3 นิ้ว บอกข้อมูลการขับขี่ครบครัน หน้าจอมัลติมีเดียขนาด 10.1 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay / Andriod Auto โดยหน้าจอกลางจะเป็นตำแหน่งสำหรับใช้ปรับแต่งการตั้งค่าต่างๆ ของตัวรถ ระบบเครื่องเสียงระดับพรีเมียม Bang & Olufsen พร้อมระบบเสียง 3 มิติ
แรงสุดด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ 646 แรงม้า
Audi RS e-tron GT quattro มาพร้อมกับขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ ให้กำลังรวมเพิ่มเป็น 598 แรงม้า และเพิ่มด้วย Boost Mode ได้เป็น 646 แรงม้า ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 3.3 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แบตเตอรี่ไฟฟ้าแรงสูงลิเธียมไอออน ความจุ 93.4 กิโลวัตต์ จำนวน 33 โมดูล ทำให้ขับได้กว่า 504 กม./ชาร์จ รองรับการชาร์จ 11 kW เป็นมาตรฐาน หรือ 22 kW (optional) นอกจากนี้ยังรองรับการชาร์จได้สูงสุดถึง 270 kW สำหรับการชาร์จแบบ DC กระแสตรง
ระบบเกียร์อัตโนมัติ 2 จังหวะ ติดตั้งบริเวณเพลาหลัง เกียร์ 1 จะเป็นเกียร์ที่มีช่วงสั้นให้แรงบิดสูง ในการขับขี่แบบ Dynamic หรือเมื่อต้องการอัตราเร่งสูงสุด เช่น การเปิดใช้งานฟังก์ชัน Launch Control ในขณะที่เกียร์ 2 ซึ่งเป็นเกียร์ช่วงยาวให้ความเร็วสูง จะใช้ในการขับขี่แบบ Efficiency หรือ Comfort ช่วงล่างระบบถุงลมแบบอากาศ 3 ส่วน จะมีการกักเก็บอากาศแบ่งแยกออกเป็น 3 ส่วนออกจากกัน ซึ่งสามารถเปิดหรือปิดการทำงานในแต่ละส่วนแยกอิสระตามสถานการณ์การขับขี่ในแต่ละรูปแบบได้ ในกรณีที่ขับขี่ด้วยความเร็วสูง และยังช่วยเพิ่มเสถียรภาพในการขับขี่เมื่อเข้าโค้ง เร่งแซง หรือเบรกอีกด้วย
ปลอดภัยทุกการขับขี่
Audi RS e-tron GT quattro มาพร้อมกับระบบความปลอดภัย ป้องกันก่อนเกิดเหตุ (Audi pre sense basic) ระบบจะประเมินสถานการณ์การขับขี่ จากการทำงานของ
เซ็นเซอร์ภายใต้ระบบควบคุมการทรงตัว ESC เรดาร์เซ็นเซอร์บริเวณด้านท้ายรถ หรือการเหยียบแป้นเบรกอย่างรุนแรง ในกรณีที่ประเมินว่ามีแนวโน้มที่อาจเกิดอันตรายได้ ระบบจะดึงรั้งสายเข็มขัดนิรภัยของเบาะนั่งคู่หน้าให้กระชับ นอกจากนั้น หากกระจกหรือหลังคาพาโนรามิกถูกเปิดค้างไว้ ระบบจะปิดให้โดยอัตโนมัติ พร้อมทั้งเปิดการทำงานของสัญญาณไฟฉุกเฉิน
นอกจากนี้ยังเติมเต็มความปลอดภัยด้วย
ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุด้านหน้า (Audi Pre Sense Front) และระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุด้านหลัง (Audi pre sense rear) เรดาร์เซ็นเซอร์ที่อยู่ด้านหน้าและท้ายรถจะประเมินสภาพการจราจร ในกรณีที่ประเมินว่ามีแนวโน้มที่อาจเกิดอันตรายได้ ระบบจะดึงรั้งสายเข็มขัดนิรภัยของเบาะนั่งคู่หน้าให้กระชับ หากกระจกหรือหลังคาพาโนรามิกถูกเปิดค้างไว้ ระบบจะปิดให้โดยอัตโนมัติ พร้อมทั้งเปิดการทำงานของสัญญาณไฟฉุกเฉิน
ระบบแจ้งเตือนเมื่อรถออกนอกเลน (Lane Departure Warning) และระบบแจ้งเตือนจุดอับสายตาเมื่อเปลี่ยนเลน (Lane change assist) เมื่อระบบประเมินว่ารถอยู่
ภายใต้ความเสี่ยงที่อาจจะเกิดอันตรายได้หากผู้ขับขี่เปลี่ยนเลน ระบบจะแสดงสัญญาณเตือนขึ้นที่กระจกมองข้าง และควบคุมพวงมาลัยให้รถอยู่ในเลน
ระบบแจ้งเตือนสภาพแวดล้อมด้านหน้ารถ เมื่ออยู่ทางแยก (Front Cross Traffic Assist) โดยจะตรวจจับสถานการณ์วิกฤติที่เกี่ยวข้องกับคนเดินถนน คนปั่นจักรยาน และยานพาหนะอื่นๆ โดยใช้เรดาร์ หากพบว่ามีรถเคลื่อนเข้ามาในระยะที่อาจเกิดอันตราย ระบบจะส่งสัญญาณเตือน และหากอยู่ในสถานการณ์คับขัน ระบบจะช่วยเบรกเพื่อลดทอนการเกิดอุบัติเหตุ
ระบบแจ้งเตือนสภาพแวดล้อมด้านข้างและด้านท้ายรถ เมื่อเปิดประตูลงจากรถ (Exit warning) ขณะที่รถจอดหยุดนิ่ง ระบบจะตรวจสอบสภาพแวดล้อมทั้งด้านข้างและด้านหลัง ทั้งนี้ ในกรณีที่ตรวจพบยานพาหนะที่เคลื่อนเข้ามาในระยะที่อาจเกิดอันตราย ในขณะที่ผู้โดยสารภายในรถกำลังเปิดประตูจากด้านใน สัญญาณไฟเตือนจะปรากฏขึ้น
ระบบแจ้งเตือนสภาพแวดล้อมด้านข้างและด้านท้ายรถเมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง (Rear cross traffic assist) ระบบสามารถแจ้งเตือนผู้ขับขี่ขณะถอยรถออก หากตรวจสอบสภาพแวดล้อมแล้วพบว่ามีรถเคลื่อนเข้ามาในระยะที่อาจเกิดอันตราย ระบบจะส่งสัญญาณเตือน และหากอยู่ในสถานการณ์คับขัน ระบบจะช่วยเบรกเพื่อลดทอนการเกิดอุบัติเหตุ
ซึ่งทั้งหมดนี้คือความสุดยอดของ Audi RS e-tron GT quattro ที่เหล่าคณะกรรมการเทคะแนนให้ จนทำให้สามารถคว้ารางวัล BEST EV SUPERCAR ใน Thailand Car of The Year 2024
BEST SPORT ROADSTER
Audi TT Coupé Final Icon Black
ปิดท้ายความยอดเยี่ยมด้วย
BEST SPORT ROADSTER ซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่ Audi TT Coupé Final Icon Black รถ SPORT ROADSTER รุ่นพิเศษแถมยังพ่วงความแรง 245 แรงม้า และระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะ quattro มาเต็มรูปแบบ จึงทำให้ Audi TT Coupé Final Icon Black เป็นรถที่ขับสนุกและใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างลงตัว
มุมมองจากคณะกรรมการ
Audi TT Coupé Final Icon Black ได้รับการออกแบบโดยยึดตามแนวความคิดต้นฉบับของ Audi TT Coupé สปอร์ตคูเป้ ด้วยลุคเข้มขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อ quattro มาพร้อมชุดตกแต่งภายนอกแบบ S line และอัปเกรดลุคกับชุดแต่ง Black Edition รอบคัน ทำให้ดูดุดันมากขึ้น มาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว ยางขนาด 245/35 R19 พร้อมดีไซน์ใหม่แบบ 5 ก้านคู่
การออกแบบภายในห้องโดยสารเน้นโทนสีดำเข้มขรึม เบาะนั่งคู่หน้าแบบสปอร์ตหุ้มหนังสลับ Alcantara ระบบข้อมูลและความบันเทิงครบครัน หน้าปัดแบบ Virtual Cockpit ขนาด 12.3 นิ้ว MMI Navigation Plus เชื่อมต่อ smartphone ได้ง่ายเพียงปลายนิ้ว
ในด้านชุดขุมพลัง Audi TT Coupé Final Icon Black มากับเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบแถวเรียง ขนาด 2.0 ลิตร Direct Injection และ Turbocharge ให้กำลังสูงสุด 245 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 370 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ S-Tronic 7 จังหวะ สามารถปรับโหมดแบบเกียร์ธรรมดาได้ พร้อมกับ Paddle shift สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลา 5.2 วินาที และทำความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ส่วนระบบความปลอดภัยใน Audi TT Coupé Final Icon Black มาพร้อมกับถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง, ระบบป้องกันล้อล็อก ABS, เบรกมือไฟฟ้า, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี, ระบบควบคุมการทรงตัว, ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน, ระบบเตือนจุดอับสายตา, กล้องแสดงภาพด้านหลังขณะถอย เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
และนี่คือความโดดเด่นเหนือใคร ที่ทำให้ Audi TT Coupé Final Icon Black ได้รับการคัดเลือกให้เป็น BEST SPORT ROADSTER ประจำปี 2024 จากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ