Audi Strike Back – จัดรถทดสอบ 6 รุ่นครั้งแรกในรอบกว่าทศวรรษ
แบรนด์รถยนต์หัวแถวของเยอรมนี Audi กลับมาลุยตลาดเมืองไทยอีกครั้งกับตัวแทนจำหน่ายใหม่ พร้อมเริ่มต้นด้วยการเทสต์ไดร์ฟครั้งแรกในรอบกว่าทศวรรษ!!!
นับตั้งแต่แถลงข่าวเปิดตัว Meister Technik ในฐานะผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการรายใหม่ของ Audi ในประเทศไทย เมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา บรรดาผู้ที่หลงใหลสัญลักษณ์ 4 ห่วง แสดงตัวออกมาจนทำให้ตอนนี้พวกเขามียอดจองสูงถึง 200 คัน ในเวลาเพียง 2 เดือนเศษๆ
อย่างที่รู้กันว่า Audi ห่างหายจากความสนใจของคนไทยไปนานหลายปี เช่นเดียวกับสื่อมวลชนที่ต้องทำงานระดับ 10 ปีขึ้นไปถึงจะเคยมีโอกาสสัมผัสแบรนด์รถยนต์พรีเมียมจากเยอรมนีรายนี้ ทำให้การรี-สตาร์ทครั้งนี้มาพร้อมการจัดเทสต์ไดร์ฟอย่างรวดเร็ว โดยคัดสรรมาถึง 6 รุ่น (Q2, Q3, Q7, A4, A5 Coupe และ TT) เพื่อให้ได้สัมผัสประสบการณ์ที่เปี่ยมด้วยคุณภาพ และความเชื่อมั่นบนนวัตกรรมที่ทันสมัยตามแนวทางที่พวกเขานิยามว่า “Trustworthy Innovation”
เราออกสตาร์ทจากโชว์รูมแห่งใหม่ของ Audi บนถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ด้วยรถที่เป็นไฮไลท์ประจำทริป Audi TT สปอร์ตคูเป้ที่หลายคนชื่นชอบ และเป็นรถที่ลูกค้าเข้ามาจับจองกับ Meister Technik มากที่สุดอีกด้วย
ความรู้สึกแรกที่นั่งลงใน Audi TT คือความกว้าง และสบายของเบาะนั่งสำหรับคนสูงระดับ 180 เซนติเมตร หากเทียบกับรถเยอรมนีแบรนด์อื่นทั้งในรุ่นสปอร์ตหรือซีดาน รวมทั้งดีไซน์ภายในน่าจะเรียกว่าใช้หลัก Minimalist ก็คงจะได้กับการใส่ปุ่มควบคุมอุณหภูมิไว้ตรงแกนช่องแอร์ และหน้าจอคนขับแบบ Virtual Cockpit เพื่อแสดงข้อมูลการขับทำให้รถ และใช้งานระบบนำทาง Navigation ทำให้ไม่ต้องติดตั้งจอบริเวณคอนโซลกลางให้รกสายตา
แม้ว่าทันทีที่กดปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ Audi TT สายฝนจะกระหน่ำลงมาทันที แต่ระบบ Quattro เทคโนโลยีขับเคลื่อนสี่ล้อของ Audi เพิ่มความมั่นใจกับประสิทธิภาพในการเกาะถนน จนแทบไม่รู้สึกว่ากำลังขับอยู่บนพื้นถนนที่มีน้ำท่วมขังตลอดทาง
พอหลุดออกมาสู่เส้นพระรามที่ 2 เริ่มใช้ความเร็วได้มากขึ้น ลองเปลี่ยนโหมดการขับจาก Comfort มาเป็น Dynamic ที่เพิ่มอารมณ์สปอร์ต การตอบสนองคันเร่งรวดเร็ว และลากรอบเครื่องยนต์ได้ยาวขึ้น เรียกได้ว่าสัมผัสกำลังของเครื่องยนต์ 2.0 L TFSI I4 กับการทำงานของเกียร์ S-Tronic 6 จังหวะ ได้อย่างเต็มที่ และอีกความพิเศษคือหากขับถึงความเร็วระดับ 120 กม./ชม. สปอยเลอร์ท้ายจะยกขึ้นมาช่วยควบคุมการทรงตัว แต่ความจริงมีปุ่มควบคุมให้ยกสปอยเลอร์ขึ้นในความเร็วที่ต่ำกว่าได้อีกด้วย
สนุกสนานกับ Audi TT พอหอมปากหอมคอ เมื่อมาถึงจุดแวะพักแรกมีการสลับรถ โดยเราย้ายมาอยู่ใน Audi Q2 คอมแพ็กต์เอสยูวีที่เพิ่งเริ่มต้นขายในยุโรป เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีก่อน และถูกนำเข้ามาเปิดตัวในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 38 เรียกว่าเป็นโมเดลใหม่สุดของทริปนี้
ก่อนจะเริ่มต้นการขับอีกครั้งมีการเปลี่ยนแผนเล็กน้อย สภาพอากาศหลังออกจากกรุงเทพฯ ค่อนข้างปลอดโปร่งทำให้มีการเพิ่มระยะทางอีกราว 80 กิโลเมตร เดินทางไปอุทยานราชภักดิ์ กลายเป็นโอกาสดีที่ทำให้เราได้รู้จัก Q2 นานขึ้น
ห้องโดยสารภายในของ Audi ไม่แตกต่างจากแบรนด์ระดับพรีเมียมที่หากเป็นโมเดลที่อยู่ในเจเนอเรชั่นใกล้เคียงกันจะมีความใกล้เคียงกันทั้งตำแหน่งปุ่มหรืออารมณ์ในการขับ แต่ที่หายไปสำหรับรถเอสยูวีรุ่นนี้เป็น Virtual Cockpit โดยแทนที่ด้วยจอแสดงผลบริเวณคอนโซลกลาง เพื่อการตั้งค่าต่างๆ รวมทั้งเลือกโหมดการขับ
เส้นทางที่ขับใช้ถนนบายพาสเลี่ยงอำเภอหัวหิน ทำให้มีโอกาสลองอัตราเร่งที่เรียกได้ว่าเกินตัวจริงๆ สำหรับเครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จ 1.4 ลิตรทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ S tronic 7 จังหวะ ผลิตกำลังได้มากถึง 150 แรงม้า โดยรุ่นที่นำเข้ามาขายในบ้านเราถึงจะไม่มีระบบ Quattro แต่การเกาะถนน และความนิ่มนวลมีสูงมาก ด้วยการที่สร้างจากแพล็ตฟอร์ม Volkswagen Group MQB ร่วมกับ Audi TT ทำให้ไม่น่าแปลกใจที่ความคล่องตัวกลายเป็นอีกความโดดเด่น
อย่างไรก็ตาม Q2 ไม่เพียงขับสนุก แต่มีการใส่เทคโนโลยี Cylinder on Demand (CoD) เพื่อลดอัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน หากวิ่งด้วยความเร็วต่ำระบบจะประมวลผลเพื่อตัดการทำงานของกระบอกสูบอัตโนมัติจาก 4 สูบเหลือ 2 สูบ พร้อมขึ้นข้อความ “2-Cylinder Mode” บนหน้าจอคนขับ โดยข้อมูลจากการทดสอบตามมาตรฐานอีโค สติกเกอร์ สำหรับรถยนต์ที่ขายในประเทศไทย Q2 มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน 16.7 กม./ลิตร ในการทดสอบสภาวะรวม และปล่อยค่าไอเสีย (CO2) 136 กรัม/กม.
ในช่วงสุดท้ายของการขับวันแรกจากอุทยานราชภักดิ์สู่โรงแรมที่พัก สลับมาอยู่ใน A4 40 TFSI S Line รถซาลูนที่สร้างความสำเร็จให้ Audi มาตั้งแต่กลางทศวรรษ 1990 ที่เพิ่งเข้าสู่เจเนอเรชั่นที่ 5 เมื่อ 2 ปีก่อน โดยการขายในตลาดต่างประเทศ Audi พยายามโปรโมตขนาดตัวถังที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม แต่น้ำหนักรวมเบากว่า 120 กิโลกรัม
จากที่ได้ทั้งลองสลับบทบาทเป็นคนนั่ง และคนขับต้องยอมรับว่าการออกแบบห้องโดยสารของ Audi แตกต่างจากแบรนด์อื่นที่ทำให้ไม่รู้สึกอึดอัด และสนุกกับการขับได้อย่างเต็มที่ถึงจะเป็นรุ่นรองแต่เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จ 190 แรงม้า และเกียร์ S tronic 7 จังหวะ ทำให้การขับมีความลื่นไหลไม่มีอาการสะดุดเวลาปรับเปลี่ยนเกียร์
ช่วงเช้าวันที่ 2 ทีมงานจัดช่วงเวลาให้เลือกรถออกไปขับทดสอบแบบอิสระ ทำให้มีโอกาสลอง Q7 40 TFSI Quattro ที่เปรียบเสมือนเรือธงของ Audi ในรถกลุ่มเอสยูวี และเป็นรุ่นที่ลูกค้าชาวไทยจับจองมากพอๆ กับ Audi TT จากข้อมูลที่ผู้บริหารของ Meister Technik ให้สัมภาษณ์
ในฐานะเอสยูวีที่เป็นเหมือนหน้าตาของแบรนด์ Q7 ต้องให้ความรู้สึกเลิศหรูหรือ Luxury ที่สุด ถึงจะมีสัดส่วนความสูง 1741 มม. และความกว้าง 2212 มม. (นับรวมกระจกมองข้าง) แต่น้ำหนักของพวงมาลัยไฟฟ้า และรัศมีวงเลี้ยวที่แคบไม่แตกต่างจากรถซีดาน ลองได้จากที่เริ่มต้นขับออกจากหน้าโรงแรมที่เป็นถนน 2 เลน การหักออกมาไม่ต้องลุ้นว่าจะเฉี่ยวหรือต้องถอยเพื่อตั้งหลักใหม่
เพียงไม่กี่นาทีอีกความประทบใจในรุ่นนี้เพิ่มมากขึ้น เมื่อลองวิ่งออกสู่ถนนหลัก แบบค่อยๆ ไต่ความเร็วขึ้นไปเรื่อยๆ เครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร และเกียร์ Tiptronic 8 จังหวะ ทำงานร่วมกันได้อย่างลื่นไหล ไม่ทำให้เกิดอาการสะดุด และเงียบมากจนต้องลองเปิดกระจกเพื่อฟังเสียงเครื่อง
ในส่วนของระบบความปลอดภัยใน Q7 40 TFSI Quattro เป็นแพ็คเก็จเดียวกับรุ่นท็อป 45 TFSI Quattro S Line ที่ใช้เครื่องยนต์ 3.0 ลิตร แต่ช่วงล่างจะแตกต่างกันตรงที่ 45 TFSI เพิ่มความนุ่มนวลด้วยระบบถุงลม (Adaptive Air Suspension)
อีกเหตุผลที่ทำให้ Q7 เป็นรถที่คุ้มค่ากับเงิน 4.49 ล้านบาท (4.99 ล้านบาท ในรุ่นท็อป) คงจะเป็นการใช้แพล็ตฟอร์ม MLBevo ร่วมกับเอสยูวีตัวท็อปในเครือทั้ง Lamborghini Urus และ Porsche Cayenne เจเนอเรชั่นหน้าที่คาดว่าจะเผยโฉมในอีกไม่นานนี้ เรียกว่าใครตัดสินใจซื้อ Audi Q7 คุณก็จะได้ขับรถยนต์ที่มีมาตรฐานเดียวกับซูเปอร์คาร์เลยทีเดียว
มาถึงคันสุดท้ายที่ขับกลับสู่กรุงเทพฯ A5 Coupe 45 TFSI Quattro S Line เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่เปิดตัวในงานบางกอก มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 38 ด้วยการกำหนดให้เป็นรถที่มีส่วนผสมระหว่างสมรรถนะที่ยอดเยี่ยมกับความหรูหราตามนิยม “Performance meets Elegance” ที่ทำได้อย่างที่พวกเขาพูดจริงๆ โดยเฉพาะรุ่นท็อปที่ลองขับกำลังเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรถูกเพิ่มกำลังขึ้นไปสูงถึง 252 แรงม้า ทำให้เหยียบคันเร่งเพียง 5.8 วินาทีสามารถขึ้นไปแตะ 100 กม./ชม. เสริมด้วยระบบขับเคลื่อน Quattro ทำให้การเข้าโค้งมีความแม่นยำ และความคล่องตัวที่สูงในการขับ
แต่ออปชั่นเสริมที่อยู่ใน A5 Coupe ทั้งในรุ่นท็อป และรุ่นรอง แต่ไม่ได้รับการพูดถึงจากทีมงานของ Meister Technik กลายเป็นระบบช่วยจอด (Parking Assist) ที่สามารถปล่อยให้ระบบควบคุมนำรถเข้าจอดทั้งแบบเทียบข้างหรือถอยเข้าซอง แต่คนขับยังต้องควบคุมระบบเบรกอยู่ด้วย
เรื่องเดียวที่น่าเสียดายในทริปนี้คงเป็นการที่ไม่มีโอกาสลองได้ครบทุกโมเดลที่ Audi นำมาให้ทดสอบ ด้วยข้อจำกัดเรื่องเวลา ทำให้ไม่มีโอกาสลอง Q3 หรือ Q7 ในรุ่นท็อป รวมทั้ง A4 45 TFSI Quattro S Line แต่หลังจากนี้ทาง Meister Technik เตรียมจัดรถทดสอบให้สื่อมวลชนได้สัมผัสประสบการณ์การขับ Audi ที่เราจะนำรายละเอียดแบบเจาะลึกมานำเสนอต่อไป
เรื่อง: พูนทวี สุวัตถิกุล
ขอบคุณข้อมูล: Audi Thailand
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th