Bentley Continental GT Speed เจเนเรชันที่ 4 พลิกดีไซน์ด้านหน้าใหม่และขับเคลื่อนด้วยไฮบริด
Bentley เผยโฉม Continental GT เจเนเรชันที่ 4 เริ่มต้นที่รุ่นสมรรถนะสูงสุด Continental GT Speed มาพร้อมกันทั้งตัวถังคูเป้และเปิดประทุนหรือContinental GTC Speed โดยรถรุ่นใหม่มากับการพลิกดีไซน์ด้านหน้ารถใหม่รวมทั้งขับเคลื่อนด้วยระบบไฮบริดที่ส่งให้เป็นรถใช้งานบนถนนสาธารณะที่มีกำลังมากที่สุดที่ผู้ผลิตรถยน์หรูรายนี้เคยทำออกมา
Bentley Continental GT Speed เจเนเรชันที่ 4 อยู่บนสถาปัตยกรรมไฟฟ้าใหม่ พร้อมมากับการเปลี่ยนดีไซน์ด้านหน้ารถ จากที่มีไฟทรงกลม 4 ดวงด้านหน้าซึ่งเป็นเอกลักษณ์ตั้งแต่เจเนเรชันแรก มาเป็นไฟหน้าทรงกลมเดี่ยวที่แต่ละฝั่งของกระจังหน้า ขณะที่กระจังหน้า 4 เหลี่ยมที่เป็นเอกลักษณ์ของรถมีขนาดเล็กลงและลาดเอียงไปด้านหลังมากกว่ารุ่นก่อนหน้า
อย่างไรก็ตามรถรุ่นใหม่ยังคงรักษาสัดส่วนและรูปทรงที่เป็นเอกลักษณ์ของรถจากเจเนเรชันแรกเอาไว้ ส่วนไฟท้ายของรถซึ่งมีกราฟฟิก Jewel-like LED ยังคงมีรูปทรงรีเหมือนกับรุ่นหน้า ขณะที่รุ่นเปิดประทุนมาพร้อมกับระบหลังคาผ้า Seven-bow โดยมี 7 สีให้เลือก โดยการเปิด-ปิดหลังคาใช้เวลา 19 วินาทีขณะขับรถที่ความเร็วไม่เกิน 48 กม./ชม.
ห้องโดยสารของรถถูกระบุว่าได้รับการปรับปรุงในเรื่องการป้องกันเสียงให้ดีขึ้น มาพร้อมกับระบบ Infotainment ที่ทันสมัยมากขึ้นพร้อมรองรับการเชื่อมต่อไร้สายและการอัปเดต Over-the-air โดยมีจอขนาด 12.3 นิ้วอยู่ในด้านหน้าจาก 3 ด้านของ Rotating Display เหมือนกับรถรุ่นก่อน นอกจากนี้ยังมีการเย็บลายใหม่ที่หนัง เบาะปรับได้ 20 ทิศทาง โดยมีระบบเสียง 650 วัตต์ ลำโพง 10 ตำแหน่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานมากับรถ แต่ก็มีระบบเสียง Bang & Olufsen 1,500 วัตต์ และ Naim 2,200 วัตต์เป็นออปชันให้เลือก
แน่นอนว่ารถแกรนด์ทัวเรอร์รุ่นใหม่ไม่แตกต่างจากรถรุ่นอื่นของผู้ผลิตรถยนต์หรูจากสหราชอาณาจักรรายนี้ ที่มีวัสดุคุณภาพสูงหลากหลายสีและพื้นผิวให้เลือกใช้กับห้องโดยสาร รวมทั้งการแต่งจาก Mulliner นอกจากนี้รถยังมาพร้อมกับระบบช่วยขับล่าสุด
นอกจากดีไซน์ด้านหน้าใหม่แล้ว รถเจเนเรชันล่าสุดยังสลัดจากเครื่องยนต์ W12 ที่เคยประจำการในรุ่นก่อนมาเป็นระบบไฮบริดที่ถูกเรียกว่า Ultra Performance Hybrid ที่ใช้เครื่องยนต์ V8 4.0 ลิตร ทวิตเทอร์โบ 600 แรงม้า ร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 190 แรงม้าที่อยู่รวมกับระบบส่งกำลังดูอัลคลัตช์ ทำให้มีกำลังรวมจากระบบไฮบริด 782 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 1,000 นิวตัน-เมตร
จากกำลังขับเคลื่อนของรถทำให้ตัวถังคูเป้ใช้เวลา 3.2 วินาทีเพื่อทำความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. และสามารถทำความเร็วได้สูงสุด 335 กม./ชม. ขณะที่ตัวถังเปิดประทุนใช้เวลา 3.4 วินาทีเพื่อทำความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ส่วนความเร็วสูงสุดถูกจำกัดไว้ที่ 285 กม./ชม. นอกจากนี้ด้วยการใช้ระบบไฮบริดจึงทำให้เดินทางโดยใช้เฉพาะไฟฟ้าได้ 81 กิโลเมตร ขณะที่ระยะการเดินทางรวมจากทั้งน้ำมันและไฟฟ้าถูกระบุไว้ที่ 859 กิโลเมตร
รถยังใช้ระบบแชสซีส์ใหม่เพื่อรองรับกับสมรรถนะของระบบขับเคลื่อน ด้วยการใช้แอร์สปริง Two-chamber ใหม่ร่วมกับแดมเปอร์ดูอัลวาล์วใหม่ พร้อมมีทั้งระบบควบคุมการทรงตัวของรถแอคทีฟ 48V Bentley Dynamic Ride, Limited Slip Differential อีเล็กทรอนิก และ Torque Vectoring เพื่อให้ความสบายในการเดินทาง รวมทั้งรถยังมีการกระจายน้ำหนักหน้า-หลัง 49:51
แม้ดูเหมือนรถจะมีแค่ด้านหน้ากับระบบขับเคลื่อนใหม่ แต่ทางผู้ผลิตระบุว่ารถรุ่นใหม่ใช้ชิ้นส่วนใหม่ถึง 68 เปอร์เซ็นต์ของรถ ส่วนราคารถยังไม่มีออกมา ขณะที่การขายรถจะเริ่มในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2024 นี้
เรื่อง : กองบรรณาธิการ
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th