Bentley Flying Spur Hybrid รุ่นเรือธงใส่หัวใจไฮบริด
หลังจากที่ Bentley ยก Flying Spur ขึ้นมาเป็นรถรุ่นเรือธงของตนแทน Mulsanne ที่เลิกผลิตไป ทางผู้ผลิตรถยนต์หรูจากสหราชอาณาจักรก็พยายามขยายทางเลือกให้กับรถซีดานหรูรุ่นนี้ โดยนอกจากการเดินทางด้วยเครื่องยนต์ V8 และ W12 ที่เป็นหัวใจในการขับเคลื่อนแล้ว ล่าสุดยังเพิ่มทางเลือกในแบบไฮบริดเข้ามาด้วย ซึ่งทำให้ Flying Spur เป็นรถรุ่นที่ 2 ของ Bentley ต่อจาก Bentayga ที่มีทางเลือกในแบบปลั๊กอินไฮบริด
หัวใจการขับเคลื่อนของ Bentley Flying Spur Hybrid ใช้เครื่องยนต์ V6 2.9 ลิตรที่มีกำลัง 416 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 550 นิวตัน-เมตรทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลัง 136 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร ทำให้กำลังขับเคลื่อนรวมที่ออกมาจากระบบไฮบริดอยู่ที่ 544 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 750 นิวตัน-เมตร ซึ่งด้วยกำลังขับเคลื่อนนี้ทำให้รถซีดานหรูใช้เวลา 4.3 วินาทีในการทำความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. และทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 285 กม./ชม.
ทาง Bentley ระบุว่าด้วยแอโรไดนามิกของรถและการปรับปรุงเครื่องยนต์ V6 ที่ใช้ในรถ ทำให้ Flying Spur Hybrid เป็นรถที่ใช้เชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดเท่าที่เคยทำออกมา ด้วยการให้ระยะการเดินทาง 700 กิโลเมตรจากการใช้เชื้อเพลิงร่วมทั้งน้ำมันและไฟฟ้า ในขณะที่แบตเตอรีลิเธียมไอออน 14.1 kWh ของรถช่วยให้เดินทางได้ 40 กิโลเมตรโดยไม่ปล่อยมลพิษ สำหรับระยะเวลาในการชาร์จไฟให้กับแบตเตอรีอยู่ที่ 2 ชั่วโมงครึ่ง
ภายนอกของ Flying Spur Hybrid แทบไม่แสดงความแตกต่างจากรุ่นอื่นที่ใช้เฉพาะเครื่องยนต์ ยกเว้นป้ายระบุรุ่นไฮบริดที่หลังซุ้มล้อหน้า ช่องชาร์จพลังงานที่บริเวณซุ้มล้อหลังฝั่งซ้ายของรถ และ 4 ปลายท่อไอเสียทรงรีที่ด้านหลัง ส่วนการเพิ่มความโดดเด่นให้กับรถ นอกจาก 7 สีมาตรฐานที่มีให้เลือกแล้วยังมีสีพิเศษให้เลือกอีกมาจนเมื่อรวมสีมาตรฐานแล้วมีถึง 60 สีให้เลือก และยังสามารถเลือก Blackline Specification ที่จะเปลี่ยนส่วนที่เป็นโครเมียมเป็นวัสดุสีดำได้ รวมไปถึงออฟชั่นโลโก้ Flying B เหนือฝากระโปรงที่เป็นไฟสว่าง ในขณะที่ล้อมาตรฐานขนาด 20 นิ้วก็สามารถเลือกเปลี่ยนเป็นล้อดีไซน์จาก Mulliner ขนาด 21 หรือ 22 นิ้วได้
แน่นอนว่าภายในห้องโดยสารของ Flying Spur Hybrid มาพร้อมการใช้วัสดุคุณภาพสูง และทางเลือกต่างๆ ในการแต่งตามต้องการเพื่อความหรูและความสบาย โดยมีสิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือปุ่ม E Mode แทนสวิตช์ Start-Stop สำหรับการเลือกขับโดยใช้เฉพาะพลังงานไฟฟ้าในโหมด EV การขับในโหมดไฮบริด หรือโหมด Hold ที่จะรักษาพลังงานในแบตเตอรีไว้ให้มากที่สุด
นอกจากนี้จอระบบ Infotainment และจอแสดงข้อมูลผู้ขับยังมาพร้อมกับกราฟฟิกใหม่ โดยมีการแสดงข้อมูลเกี่ยวกับการใช้พลังงานและระบบไฮบริด อย่างระดับพลังงานในแบตเตอรีและระยะการเดินทาง รวมทั้งเจ้าของรถยังสามารถเชื่อมต่อเพื่อควบคุมบางการทำงานได้ผ่านสมาร์ทโฟน เช่นตรวจสอบการชาร์จพลังงาน รวมทั้งปรับตั้งระบบเพื่อความสบายต่างๆ
Bentley จะผลิต Flying Spur Hybrid ที่โรงงานใน Crew โดยรับจองรถตั้งแต่ช่วงฤดูร้อนนี้และคาดว่าจะเริ่มส่งมอบรถได้ในช่วงปลายปี ส่วนราคาของรถยังไม่มีการระบุออกมา
เรื่อง : กองบรรณาธิการ
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th