ถึงเวลาไป Bentley Mulsanne คันสุดท้ายออกจากสายการผลิต

ในที่สุดชื่อ Mulsanne ก็ถึงเวลาพักเพื่อเปิดทางให้กับ Flying Spur ขึ้นมาเป็นรุ่นเรือธงแทนหลังจากรับหน้าที่นี้มากว่า 10 ปีนับตั้งแต่ 2010 กับการผลิตจำนวนกว่า 7,300 คัน ด้วยรถคันสุดท้าย Mulsanne Speed 6.75 Edition โดย Mulliner ซึ่งมีภายนอกเป็นสีทูโทน Rose Gold และ Tungsten ผลิตตามสั่งจากโรงงานที่ Crew สำหรับลูกค้าที่สหรัฐอเมริกา

ในช่วงเวลาสำคัญนี้ Adrian Hallmark ซีอีโอของ Bentley ได้บอกว่า “Mulsanne เป็นจุดสูงสุดของทั้งหมดซึ่งเราที่ Bentley ได้เรียนรู้ในระหว่างช่วง 100 ปีแรกของเราในการผลิตรถยนต์หรูที่ดีที่สุดในโลก ในการเป็นรุ่นเรือธงของเรามากว่า 10 ปี Mulsanne มีความมั่นคงแข็งแรงในประวัติศาสตร์ของ Bentley โดยไม่สามารถเป็นสิ่งใดน้อยไปกว่าการเป็นสัญลักษณ์หนึ่งที่แท้จริงของเรา”

จากการผลิต Mulsanne ที่ผ่านมาทั้งหมดทำให้มีการเชื่อมมากกว่า 42 ล้านจุด และใช้เวลารวมกันมากกว่าล้านชั่วโมงกับหนังที่ใช้ภายในห้องโดยสาร รวมไปถึง 90,000 เพื่อการขัดสีรถ

สำหรับ Bentley Mulsanne 6.75 Edition โดย Mulliner เป็นรถรุ่นพิเศษที่ผลิตจำกัดเพียง 30 คัน โดยใช้ขุมกำลังที่เป็นตำนานของบริษัทเครื่องยนต์ V8 6.75 ลิตรที่ยุติการผลิตในปีนี้เช่นเดียวกันหลังจากมีการใช้งานมากกว่า 60 ปี จึงมีการออกแบบบางส่วนภายในของรถเพื่อเป็นเกียรติแก่เครื่องยนต์นี้ อย่างที่ควบคุมเพื่อปิดช่องระบบปรับอากาศที่ถูกออกแบบให้เหมือนฝาปิดที่เติมน้ำมันเครื่อง หรือหน้าปัดนาฬิกาและเกจ์ขนาดเล็กมาพร้อมกับภาพวาดของเครื่องยนต์

ส่วนภายนอกของ Mulsanne คันสุดท้ายถูกเพิ่มความเด่นด้วยการใช้วัสดุรมดำทั้งสัญลักษณ์ Flying B, กระจังหน้า Serenity, ปลายท่อไอเสีย ในขณะที่ล้อลาย 5 ก้านขนาด 21 นิ้วมีผิวหน้าขัดมันพร้อมจุกล้อสีดำมัน นอกจากนี้ที่เครื่องยนต์ของรถที่ท่อร่วมไอดีจะเป็นสีดำแทนสีเงิน และแผ่นป้ายระบุหมายเลขเครื่องยนต์ยังมาพร้อมกับลายเซ็นซีอีโอของ Bentley ซึ่งได้พูดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการผลิต Mulsanne รวมทั้งอนาคตของบริษัทว่า “ผมท่วมท้นไปด้วยความภาคภูมิใจในบรรดานักออกแบบ วิศวกร และช่างฝีมือนับร้อยคนที่ให้ชีวิตแก่ Mulsanne มากกว่า 10 ปีที่ผ่านมา และตอนนี้เราได้เริ่มการเดินทางของ Bentley สู่อนาคตของการเดินทางอย่างหรูหราที่ยั่งยืนผ่านแผน Beyond 100 ของเรา ซึ่งบทบาทการเป็นรุ่นเรือธงได้ส่งผ่านไปสู่ Flying Spur ใหม่”