New Bentley Continental GT ความคลาสสิกในปี 2020

ความลงตัวของดีไซน์คลาสสิกสไตล์อังกฤษกับเทคโนโลยีล้ำสมัยของขุมกำลังเทอร์โบคู่ 6.0 ลิตร ทำให้ New Bentley Continental GT เป็นเหมือนงานศิลป์ที่เคลื่อนไหวอย่างงดงามท่ามกลางท้องถนนที่วุ่นวายของเมืองฟ้าอมร

New Continental GT นับเป็นรถสปอร์ตสไตล์ Grand Tourer (GT) เจเนอเรชั่นที่ 3 ของค่าย Bentley ยุคใหม่ภายใต้การบริหารของ Volkswagen AG โดยมีต้นแบบการพัฒนาจากคอนเซ็ปต์คาร์ EXP 10 Speed 6 ที่เคยโชว์ตัวบนเวทีเจนีวา มอเตอร์โชว์ 2015 และเปิดตัวขายจริงในอีกราว 3 ปีต่อมา

มองจากภายนอก Bentley ยังคงเอกลักษณ์การดีไซน์จาก 2 เจเนอเรชั่นก่อนหน้า แต่ความจริงมีการนำเทคโนโลยีใหม่มากมายเข้ามาใช้ในการผลิต โดยตัวถังอลูมิเนียมของ New Continental GT ใช้วิธีการขึ้นรูปแบบ Super Formed ที่มีความแม่นยำสูง ในอุณหภูมิความร้อนกว่า 500 องศาเซลเซียส นับเป็นโมเดลแรกของแบรนด์ที่ใช้กระบวนการผลิตนี้ รวมทั้งโครงสร้างที่ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ทำให้ลดน้ำหนักลงจากรุ่นก่อนมากถึง 80 กิโลกรัม ช่วยให้มีประสิทธิภาพการขับที่ยอดเยี่ยมกว่าเดิม

รูปทรงของตัวถังแบบ Grand Tourer อาจทำให้คนที่ไม่เคยขับรู้สึกว่าต้องระวังเป็นพิเศษด้วยขนาดกระโปรงหน้าที่ยาวกว่าปกติ ให้น้ำหนักในการควบคุมที่เหมาะสม การตอบสนองที่ยอดเยี่ยม และลดแรงสั่นสะเทือนจากพื้นผิวถนนด้วยการใส่ระบบแปรผัน Variable Ratio ทำให้การควบคุมทิศทางพวงมาลัยมีความแม่นยำ โดยเฉพาะช่วงที่ขับจากถนนสาทรเข้าซอยงามดูพลีที่เป็นสองเลนสวนเพื่อจะไปเก็บภาพที่โรงแรม U Sathorn Bangkok ที่เปิดโอกาสให้ทีมงาน Grand Prix ใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำในวันนี้

พูดถึงความนุ่มนวลของ Bentley ในการขับใช้งานจริงบนถนนเมืองไทยถือว่าให้ความรู้สึกหรูหราไม่แตกต่างจากรถลักชัวรี่-ไฮเอนด์ระดับเดียวกัน โดยมีการพัฒนาระบบช่วงล่างถุงลมแบบ Three-chamber Air Suspension ให้เพิ่มปริมาณการกักเก็บอากาศมากขึ้นจากเดิม 60 เปอร์เซ็นต์ แต่หากสลับฝั่งเป็นคนขับที่ต้องการความสนุก ระบบปรับการทำงานชุดโช๊คอัพ Continuous Damping Control (CDC) จะปรับค่าตามรูปแบบการขับขี่จริงให้เหมาะสมกับการขับมากที่สุด

มาถึงขุมกำลัง W12 TSI นับเป็นเครื่องยนต์ 12 สูบที่ Bentley ประกาศว่ามีความล้ำสมัยที่สุดในโลก โดยวางตำแหน่งกระบอกสูบเป็นรูปทรง W ของทีมช่างเทคนิคของโรงงานในเมืองครูว์ ทำให้ตำแหน่งความยาวเครื่องยนต์ลดลงจากแบบ 12 สูบปกติ 24 เปอร์เซ็นต์ และเพิ่มข้อได้เปรียบในการกระจายน้ำหนักที่เหมาะสม รวมถึงเพิ่มพื้นที่ภายในห้องโดยสารมากกว่าเดิม

จากที่มีโอกาสลองกดคันเร่งช่วงถนนโล่งๆ ต้องยอมรับว่า New Continental GT ดุดันมากกว่ารุ่นที่แล้วหลายเท่า เครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จ 6.0 ลิตร ให้ความรู้สึกเหมือนคุณกำลังนั่งอยู่บนเครื่องบินที่กำลังเทคออฟขึ้นสู่ท้องฟ้า ด้วยกำลังมหาศาล 635 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที เสริมด้วยแรงบิด 900 นิวตันเมตรที่มาตั้งแต่รอบต่ำ 1,350 จนถึง 4,500 รอบ/นาที ทำให้ความเร็วทะลุ 100 กม./ชม. ในเวลาแค่ 3.7 วินาที และไม่มีข้อสงสัยว่าจะทำได้ถึง 333 กม./ชม. ที่เป็นความเร็วสูงสุดที่ระบุบนโบรชัวร์หรือไม่

นอกจากนี้จะมีระบบ Drive Dynamics Control เพื่อให้คนขับปรับเลือกรูปแบบการขับขี่ทั้ง Sport, Comfort และปรับแต่งเอง Custom โดยระบบช่วงล่าง, เครื่องยนต์, ระบบส่งกำลัง และระบบรองรับอื่นๆ จะปรับค่าการทำให้สอดคล้องกับรูปแบบที่เลือกใช้ เสริมด้วยระบบ Active Anti-roll Bar แรงดันไฟฟ้า 48 โวลต์ ช่วยเพิ่มเสถียรภาพในการควบคุมหากใช้ความเร็วหรือเข้าโค้ง

สำหรับภายในห้องโดยสาร ทีมออกแบบ Bentley สามารถนำความคลาสสิกสไตล์ผู้ดีอังกฤษด้วยการใช้วัสดุไม้โคอะ (Koa) ตบแต่งแผงคอนโซล ผสมผสานกับยุคสมัยใหม่ด้วยการใช้งานโครเมียมปัดเงาด้วยมือเสริมความหรูหรา แสดงให้เห็นถึงความประณีตแบบ Craftsmanship ที่พวกเขาภาคภูมิใจ โดยตามข้อมูลทีมงานใช้เวลาติดตั้งครบทุกชิ้นมากกว่า 9 ชั่วโมงเลยทีเดียว

อีกลูกเล่นที่ผู้เขียนประทับใจเป็นการส่วนตัวอยู่ตรงคอนโซลกลางที่ติดตั้งมาตรวัดวงกลมแบบเข็มแสดงข้อมูลอุณหภูมิอากาศ, เข็มทิศ และนาฬิกาจับเวลาที่ติดตั้งเรียงเป็นแถวเดียวกันบนแผงลายไม้สีน้ำตาลหรูหรา โดย Bentley มีคำเรียกเฉพาะว่า Rotation Display หมายความว่าคนขับสามารถกดปุ่มพลิกอีกด้านออกมากลายเป็นหน้าจอควบคุมระบบความบันเทิงแบบสัมผัสขนาด 12.3 นิ้ว ความคมชัดระดับ Retina-quality Digital MMI สามารถเรียกเลือกเพลง, ระบบนำทางผ่านดาวเทียม หรือเชื่อมต่อโทรศัพท์

เรียกว่าถึงจะเป็นรถสไตล์คลาสสิก แต่ New Bentley Continental GT เพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีล่าสุดเหมือนคู่แข่งรายอื่น รวมถึงเป็นรถยนต์ที่มีความเป็นตัวคุณเองมากที่สุด โดยสามารถเลือกสีตัวถังได้มากถึง 17 โทนสีหลัก (แบ่งย่อยเป็น 70 เฉดสี), ลวดลายไม้ตบแต่งภายในห้องโดยสาร 8 ลาย หรือการตบแต่งภายใน 15 แบบ รวมทั้งอุปกรณ์เสริมพิเศษ และชุดเพิ่มสมรรถนะอีกมากมายให้คู่ควรกับที่มีราคาเริ่มต้น 22.1 ล้านบาท

*ขอบคุณสถานที่ถ่ายทำโรงแรม U Sathorn Bangkok