รอลุ้น! เบนซ์ เตรียมเปิดตัว รถไฟฟ้า EQE ซาลูน และเอสยูวี ภายในเดือนก.ย.นี้
เบนซ์ เปิดตัว รถไฟฟ้า EQE ซาลูน และเอสยูวี เดือนก.ย.นี้
เมอร์เซเดส- เบนซ์ ค่ายรถหรูสัญชาติเยอรมัน คอนเฟิร์มเตรียมนำรถยนต์ไฟฟ้าอีก 2 รุ่น เข้ามา เปิดตัว ในประเทศไทย ภายในเดือนกันยายนนี้ โดยคาดว่าจะเป็น EQE ทั้งรุ่นซาลูน และเอสยูวี ที่มีระยะการขับเกือบ 500 กม./ชาร์จ
ในงานแถลงข่าวเปิดตัว The New GLC คอมแพ็กต์เอสยูวี เจเนอเรชั่นใหม่ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 10 สิงหาคมที่ผ่านมา มาร์ทิน ชเวงค์ ประธานบริหาร บริษัทเมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ระบุในเอกสารข่าวที่แจกกับสื่อมวลชนว่า “โดยในปีนี้นับเป็นก้าวสำคัญของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ในการเดินหน้าสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้าด้วยการเติมเต็ม EV Portfolio ในประเทศไทย ต่อเนื่องจาก 2 รุ่นแรกอย่าง EQS และ EQB เรามีแผนที่จะเปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% พร้อมกัน 2 รุ่นในอีก 6 สัปดาห์นับจากนี้ (ภายในเดือนกันยายนนี้)”
อย่างไรก็ตามระหว่างการตอบคำถามสื่อมวลชน ชเวงค์ และผู้บริหารเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ไม่ได้ให้ข้อมูลว่าจะนำรถยนต์ไฟฟ้า Mercedes-EQ รุ่นใดเข้ามาเปิดตัว แต่จากการวิเคราะห์ของทีมงาน Grand Prix Online เชื่อว่าโมเดลรถยนต์ไฟฟ้าใหม่ของค่ายดาวสามแฉกที่จะเปิดตัวขายในบ้านเรา คงหนีไม่พ้น EQE ที่เริ่มต้นขายในแถบยุโรป ตั้งแต่ต้นปี 2022
นอกจากนี้คาดว่า EQE จะไม่ได้มาแค่รุ่นตัวถังซาลูนที่ขายความลักชัวรี่ แต่จะมี EQE SUV ที่เพิ่มความอเนกประสงค์ในการใช้งาน ตามออกมาอีกหนึ่งโมเดลในช่วงเดือนกันยายนนี้ หากเป็นไปตามข้อมูลที่เมอร์เซเดส เปิดเผยออกมา
Mercedes-EQE AMG LINE เตรียมขายไทยเป็นรุ่นแรก
สำหรับ EQE Saloon ในปัจจุบันมีทั้งหมด 5 รุ่นย่อย (300, 350, 350+, 350 4MATIC, 500 4MATIC) ติดตั้งแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 90 KWh ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Permanent Magnet AC Synchronous ให้กำลังสูงสุดระหว่าง 245-288 แรงม้า ในรุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง และ 288-402 แรงม้า ในรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ มีระยะการขับต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ระหว่าง 550-660 กิโลเมตร ตามมาตรฐานทดสอบ WLTP
ขณะที่รุ่น SUV จะมี 3 รุ่นย่อย (350+, 350 4MATIC, 500) แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 90 KWh เท่ากับรุ่นซาลูน แต่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Permanently Excited Synchronous ทำให้มีกำลังสูงสุดตั้งแต่ 386-516 แรงม้า ระยะการขับต่อการชาร์จจะอยู่ระหว่าง 547-590 กิโลเมตร
นอกจากนี้ EQE ยังกลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกที่ได้รับการเพิ่มสมรรถนะจากทีมงาน Mercedes-AMG ที่อัฟฟ์อัลเตอร์บาช ทั้งตัวถังซาลูน และเอสยูวี โดยมีกำลังมหาศาลถึง 677 แรงม้า
รอลุ้น NEW GLC เพิ่มทางเลือกขุมกำลังดีเซลปลายปีนี้
ในการเปิดตัว New Mercedes-Benz GLC เจเนอเรชั่นที่ 2 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย เลือกนำรุ่นปลั๊ก-อิน ไฮบริด GLC 350 e 4MATIC เข้ามาทำตลาดในช่วงแรก แต่ทางผู้บริหารของพวกเขายืนยันว่าจะมีขุมพลังอื่นมาเป็นทางเลือกในอีกไม่นานนี้อย่างแน่นอน
“ผมไม่สามารถตอบได้ แต่ New GLC จะมีตัวเลือกเครื่องยนต์อื่นเปิดตัวในประเทศไทยแน่นอน นั่นคือทั้งหมดที่ผมคอนเฟิร์มได้ตอนนี้” บีเยิร์น กุซเทรา รองประธานบริหารฝ่ายขาย และการตลาดของเมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ยืนยันระหว่างการให้สัมภาษณ์
สำหรับตลาดต่างประเทศ New GLC ยังคงมีเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตรจำหน่าย ภายใต้รหัส 220 d และ 300 d รวมทั้งดีเซลปลั๊ก-อิน ไฮบริด 300 de ที่มีระยะการขับด้วยไฟฟ้าไกลถึง 112-128 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน WLTP)
ทีมผู้บริหารเมอร์เซเดส ประเทศไทย ให้ความเห็นระหว่างตอบคำถามสื่อมวลชนเพิ่มเติมว่า “กลยุทธ์ที่ชัดเจนของเมอร์เซเดส คือการก้าวไปสู่การเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ โดยเทคโนโลยีปลั๊ก-อิน ไฮบริด เป็นเหมือนการเชื่อมต่อที่จะช่วยทำให้ลูกค้าสัมผัสประสบการณ์รถยนต์ไฟฟ้า จากการที่มีระยะการขับด้วยพลังงานไฟฟ้าที่มากกว่า 100 กิโลเมตร ซึ่งเพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน”
“ทำให้ในอนาคตจะมีการเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ปลั๊ก-อิน ไฮบริด มากขึ้น และทำให้สัดส่วนการขายของรถยนต์ปลั๊ก-อิน ไฮบริด เพิ่มขึ้นในเวลาเดียวกัน ก่อนที่จะเปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ”
นอกจากนี้ ชเวงค์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมในเอกสารประชาสัมพันธ์ว่า “นอกจากการนำเสนอรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100 เปอร์เซ็นต์ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยังให้ความสำคัญกับรถยนต์พลังงานทางเลือกในรูปแบบปลั๊กอินไฮบริด ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนผ่านที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่ยังไม่พร้อมเปลี่ยนจากรถยนต์สันดาปภายในมาใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100 เปอร์เซ็นต์”
“โดยรถปลั๊ก-อิน ไฮบริด เจเนอเรชั่นใหม่ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่ทำตลาดในประเทศไทย สามารถมอบระยะทางการขับขี่ด้วยไฟฟ้าได้มากกว่า 100 กิโลเมตร ซึ่งเป็นระยะทางที่เพียงพอสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันของคนไทย และสำหรับผู้ที่ขับขี่ระยะทางไกลก็ยังสามารถขับขี่ต่อเนื่องได้ด้วยเครื่องยนต์สันดาปโดยไม่ต้องกังวลในเรื่องระยะทางและการหาจุดชาร์จไฟฟ้าระหว่างทาง เช่นเดียวกับ The new GLC ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันนี้”
กระแสตอบรับดี-เพิ่มระยะเวลาประกันแบตฯ
ในขณะเดียวกันผู้บริหารเมอร์เซเดส แสดงความพอใจกับกระแสตอบรับของลูกค้าชาวไทย หลังจากประกาศขยายระยะเวลารับประกันแบตไฮบริด Hybrid Battery High-Voltage เพิ่มเป็น 10 ปี ไม่จำกัดระยะทาง สำหรับโมเดล PHEV ในรุ่น C 350e (รหัสตัวถัง W206), E 300e (W213), E 300e Facelift (W213), GLC 300e (X253), GLC 300e Coupe (C253), GLE 350de(V167), S 580e (V223) และ Maybach S 580e (Z223) เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
กุซเทรา เปิดเผยว่า “เท่าที่เรารับรู้ผ่านความเห็นจากลูกค้าชาวไทยบนโซเชียลมีเดีย นับว่ามีกระแสตอบรับในแง่บวกกับการขยายระยะเวลารับประกันแบตเตอรี่ High-Voltage ทำให้พวกเขามีความเชื่อมั่นในรถยนต์เมอร์เซเดส มากยิ่งขึ้น”
“การเพิ่มระยะเวลารับประกันเป็น 10 ปี ยังทำให้มูลค่าในการขายต่อรถยนต์กลุ่มปลั๊ก-อิน ไฮบริดที่ผ่านการใช้งานมา 4-5 ปี เพิ่มสูงขึ้น และขายต่อง่ายกว่าที่ผ่านมา โดยระยะเวลาในการเปลี่ยนรถคันใหม่เร็วขึ้นยังเป็นผลดีต่อทางบริษัทเช่นกัน”
สำหรับ New GLC 350 e 4MATIC AMG Dynamic จะขึ้นไลน์ผลิตทำตลาดในประเทศไทยแบบ Local Production นำเสนอคอนเซ็ปต์ “READY FOR IT” ชูภาพยนตรกรรมเหนือระดับที่เหมาะกับคนรุ่นใหม่ในยุคดิจิทัล โดดเด่นด้วยขุมพลังปลั๊กอินไฮบริดที่พัฒนาให้มีประสิทธิภาพสูงยิ่งขึ้นทั้งในด้านของสมรรถนะและระยะทางการขับขี่ด้วยไฟฟ้าทำระยะทางได้มากถึง 120 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง (มาตรฐาน WLTP) พร้อมติดตั้งเทคโนโลยี และนวัตกรรมที่ล้ำสมัยมากมาย เสริมฟังก์ชั่นความปลอดภัยต่อยอดจุดแข็งด้านการเป็นยนตรกรรมรูปแบบเอสยูวีที่เหมาะกับการใช้งานและการขับขี่ทั้งในรูปแบบ On-Road และ Off-Road ในราคาจำหน่าย 4,180,000 บาท
เรื่อง: พูนทวี สุวัตถิกุล
ขอบคุณข้อมูล: เมอร์เซเดส-เบนซ์ประเทศไทย
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th
เบนซ์ เปิดตัว รถไฟฟ้า EQE