Mercedes-Benz GLE / GLE Coupe ปรับโฉมพร้อมเพิ่มทางเลือกปลั๊กอินไฮบริดใหม่
รถเอสยูวีหรูขนาดกลางค่ายดาว 3 แฉก Mercedes-Benz GLE ได้รับการปรับโฉมทั้งรุ่นเอสยูวีปกติและGLE Coupe ทำให้มาพร้อมการปรับดีไซน์ด้านหน้าใหม่ เพิ่มความหรูในห้องโดยสาร รวมทั้งมีรุ่นปลั๊กอินไฮบริดใหม่เพิ่มเข้ามาให้เลือก
การอัพเดตภายนอกของ Mercedes-Benz GLE ทั้ง 2 ตัวถังจะเน้นที่ด้านหน้าซึ่งมาพร้อมกับกันชนหน้าใหม่ กระจังหน้าใหม่ที่ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนด้วยแถบโครเมียมแนวนอน รวมทั้งมีครีบโครเมียมที่ช่องดักอากาศด้านล่าง ส่วนด้านหลังของรถมีการออกแบบภายในของไฟท้ายใหม่ ให้มี 2 บล็อกแนวนอนกับรถเอสยูวีตัวถังปกติ และมี 2 แถบไฟในรถเอสยูวีคูเป้
นอกจากนี้ยังมีการแต่ง AMG Line มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรถเอสยูวีคูเป้ทำให้รถมาพร้อมกับกระจังหน้ากระจังหน้า Diamond Grille พร้อมลายMercedes-Benz โครเมียม มีกันชนหน้าในแบบ AMG พร้อมแต่งด้วยโครเมียม บันไดข้าง AMG และคิ้วซุ้มล้อสีเดียวกับตัวรถ ส่วนด้านหลังมีกันชนหลัง AMG พร้อม Diffuser
ห้องโดยสารของรถเอสยูวีหรูที่ได้รับการปรับโฉมมาพร้อมกับพวงมาลัยเจเนเรชันใหม่ล่าสุดพร้อมเซ็นเซอร์บนพื้นผิวก้านแนวนอนของพวงมาลัยสำหรับควบคุมการทำงานต่างๆ บนจอตรงกลาง และเพิ่มความสะดุดตาด้วยกรอบโครเมียมรอบช่องระบบปรับอากาศทั้งตรงกลางและด้านข้างซึ่งเป็นโลหะจริงเหมือนกับใน Mercedes-Maybach GLS ส่วนสีที่ใช้ในห้องโดยสารจะเป็นสีเบจ Catalana Beige ร่วมกับสีดำในตัวถังปกติ รวมทั้งมีสีน้ำตาล Bahia Brown กับสีดำทั้งในGLE และGLE Coupe ขณะที่สไตล์การแต่งมีให้เลือกระหว่าง Classic หรือ Progressive นอกจากนี้ยังมีการแต่งสีดำเงา Manufaktur Piano Black ให้เลือก หรือเลือกใช้หนัง Nappa สีดำ
ส่วนระบบ Infotainment MBUX เจเนเรชันที่ 2 ที่มาพร้อมกับรถได้รับการอัพเดตให้มีความทันสมัยขึ้น รวมทั้งรองรับทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto ไร้สาย และสามารถอัพเดต Over-the-Air ได้ นอกจากนี้ยังมีการแสดงข้อมูลใน Off-Road Mode ที่จอตรงกลางมากขึ้น
รถเอสยูวีหรูขนาดกลางรุ่นใหม่จากค่ายดาว 3 แฉกทั้งตัวถังปกติและเอสยูวีคูเป้มีทางเลือกในการขับเคลื่อนแบบปลั๊กอินไฮบริดใหม่เพิ่มเข้ามาคือ 400e 4Matic ซึ่งใช้เครื่องยนต์ 20 ลิตร 252 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตรทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลัง 100 kW แรงบิดสูงสุด 440 นิวตัน-เมตร ให้กำลังขับเคลื่อนรวม 375 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 600 นิวตัน-เมตร พร้อมกับมีแบตเตอรี 31.2 kWh ที่ให้ระยะการเดินทางได้ถึง 107 กิโลเมตรโดยใช้เฉพาะพลังงานไฟฟ้า
ส่วนทางเลือกอื่นในการขับเคลื่อนหากเป็นรุ่นสำหรับขายในยุโรปมีทั้งรุ่นปลั๊กอินไฮบริด 350e 4Matic รวมทั้ง 450 4Matic, 300 d 4Matic และ 450 d 4Matic ซึ่งเป็นเครื่องยนต์พร้อมระบบไมลด์ไฮบริด ซึ่งทางผู้ผลิตรถยนต์หรูจากเยอรมนีระบุว่ารถเกือบทุกรุ่นมาพร้อมกับกำลังขับเคลื่อนที่มากขึ้นกว่ารุ่นก่อน
ในส่วนของรุ่นแรงจาก AMG จะมี 2 ทางเลือกระหว่าง 53 4Matic+ ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ 6 สูบ 3.0 ลิตร เทอร์โบ มีกำลัง 435 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 560 นิวตัน-เมตร ใช้เวลา 5.0 วินาทีเพื่อทำความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. และ 63 S 4Matic+ ที่มีขุมกำลังเป็นเครื่องยนต์ V8 4.0 ลิตร เทอร์โบคู่ กำลัง 612 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 850 นิวตัน-เมตร ใช้เวลา 3.9 วินาทีเพื่อทำความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ทำความเร็วสูงสุดได้ 280 กม./ชม.
โดยรถเอสยูวีรุ่นแรงทั้ง 2 รุ่นใช้ระบบส่งกำลัง AMG Speedshift TCT 9G ส่งกำลังสู่ล้อทั้ง 4 ของรถ และมี Integrated Starter Generator ช่วยเสริมทั้งแรงม้าและแรงบิดในการขับเคลื่อน นอกจากนี้ยังมีการปรับดีไซน์ภายนอกรถทั้งที่กันชนหน้า ไฟ Daytime Running Light และกันชนหลัง มีสีภายนอกและล้อใหม่ รวมทั้งมีสีและการแต่งใหม่ในห้องโดยสาร พร้อมกับอัพเดตซอฟต์แวร์ในส่วนช่วงล่าง Air Suspension และระบบควบคุมการทรงตัวของรถใหม่
สำหรับเรื่องช่วงเวลาที่จะเริ่มขายรถและราคาของรถทางค่ายดาว 3 แฉกไม่ได้ระบุออกมา
เรื่อง: กองบรรณาธิการ
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th