BMW พาสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษ The Ultimate BMW M Track Experience 2018
The Ultimate Joy Experience โปรแกรมสิทธิประโยชน์สำหรับเจ้าของรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู โดย บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย จัดทริปพิเศษ International Experience พาลูกค้าบินตรงสู่ยุโรปเพื่อไปสัมผัสประสบการณ์แห่งความสุขในทุกด้านของชีวิตกันที่ประเทศเยอรมนีและโปรตุเกส ซึ่งมีไฮไลท์ของทริปด้วยการเข้าฝึกอบรมการขับขี่ BMW Driving Experience ที่เมือง Maisach ประเทศเยอรมนี รวมทั้งสัมผัสความแรงของ M5 รุ่นใหม่ล่าสุด บนสนามแข่งระดับโลก Circuito Estoril ประเทศโปรตุเกส
สำหรับทริป The Ultimate BMW M Track Experience 2018 เริ่มต้นด้วยการพาสมาชิกบินตรงสู่เมืองมิวนิค เพื่อเข้าชม BMW Welt อาณาจักรที่คนรัก BMW อยากไปสัมผัสสักครั้งในชีวิต บนพื้นที่กว่า 25,000 ตารางเมตร ซึ่งที่นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่โชว์รูมขนาดใหญ่เท่านั้น ยังเป็นศูนย์กลางในการสื่อสารระหว่างลูกค้าและบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป อีกด้วย ส่วนอาคารถูกแบ่งออกเป็น 2 ชั้น โดยชั้น 1 จัดแสดงรถยนต์ BMW, MINI และ Rolls Royce ครบทุกไลน์ผลิต และร้านจำหน่ายของที่ระลึกที่ห้ามใจไม่ได้จริงๆ ส่วนชั้น 2 จัดแสดงรถจักรยานยนต์ BMW Motorrad และจุดรับรถสำหรับลูกค้าที่สั่งจองรถ รวมถึงเป็นโซนที่สามารถรับรถและทดลองขับออกด้านนอกอาคารได้ทันที
จากนั้นจึงขยับเดินข้ามสะพานเชื่อมอาคารมายังฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นอาคาร BMW Museum และโรงงานประกอบรถยนต์ BMW หรือที่เรียกว่า BMW Plant แม้ว่าวันที่ไปจะเป็นวันที่พิพิธภัณฑ์ปิด แต่ทีมงานได้จัดให้ได้เข้าไปเยี่ยมชมภายในโรงงานประกอบรถยนต์กันแบบจุใจ ได้เห็นในทุกขั้นตอนการประกอบและผลิตเครื่องยนต์ จนถึงขั้นตอนที่ผลิตรถออกมาสำเร็จพร้อมส่งมอบ ซึ่งโรงงานแห่งนี้ติดตั้งหุ่นยนต์สำหรับประกอบรถยนต์มากกว่า 600 ตัว และยังผลิตเครื่องยนต์ รวมถึงชิ้นส่วนสำคัญๆ เพื่อส่งมายังโรงงานประกอบของบีเอ็มดับเบิลยู จ.ระยอง
เมื่อเดินสำรวจทั่วบริเวณแล้วได้เวลาชมบรรยากาศของเมืองพร้อมกับทานเมนูชั้นเลิศที่ Restaurant181 ที่มีความสูงถึง 181 เมตร แถมยังเป็นห้องอาหารที่หมุนได้ทำให้สามารถชมบรรยากาศของเมืองมิวนิคได้แบบ 360 องศา อิ่มอร่อยกันแบบพรีเมียมจริงๆ
ส่วนจุดหมายปลายทางของวันนี้คือการเดินชมความสวยงามของจตุรัสมาเรียนพลัทซ์ (Marieanplatz) และช้อปปิ้งกันอย่างจุใจ โดยที่จตุรัสแห่งนี้ในอดีตเป็นตลาดค้าขายขนาดใหญ่ที่สำคัญของเมืองมิวนิค ซึ่งปัจจุบันหลายเป็นสัญลักษณ์ของเมือง เป็นจุดนัดพบ และเป็นสถานที่จัดแสดงงานทางวัฒนธรรม ทั้งยังเป็นที่ตั้งของศาลาหลักเมืองหลังใหม่ (Nuese Rathaus) ที่สร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบโกธิค และไฮไลท์ที่พลาดไม่ได้คือ การรอเวลาที่นาฬิกาตุ๊กตากลจะออกมาเต้นระบำพร้อมกับเสียงระฆังที่ตีก้องกังวาลในเวลา 11.00 น. และ 17.00 น.ของทุกวัน
ปิดท้ายด้วยลิ้มลองรสชาติแบบต้นตำรับของขาหมูเยอรมันและเมนูแบบท้องถิ่นดั้งเดิมที่ Zum Franziskaner ใกล้กับโรงละครแห่งชาติ Bavarian State Theater ซึ่งร้านแห่งนี้ตั้งอยู่ในตัวอาคารที่ได้รับการปรับปรุงใหม่แต่ยังคงกลิ่นอายของความเป็นยุโรปเอาไว้อย่างชัดเจน ส่วนภายในเป็นโถงกว้าง แบ่งโต๊ะนั่งสไตล์โรงเบียร์เยอรมันที่ตกแต่งด้วยภาพวาดและให้บรรยากาศของการสังสรรค์ได้อย่างน่าดูชม และเข้าพักผ่อนที่ Sofitel Munich Bayerpost
ในวันถัดมาถึงเวลาฝึกการขับขี่ที่ถูกต้องและปลอดภัยกับโปรแกรม BMW Driving Experience ที่ BMW Driving Academy Maisach ซึ่งถือเป็นสถาบันที่สร้างผู้ฝึกสอนมืออาชีพ รวมทั้งสอนการขับให้กับลูกค้าและบุคคลภายนอกตั้งแต่ขั้นพื้นฐานถึงขึ้นสูงสุด โดยศูนย์ฝึกอบรมแห่งนี้ เปิดอบรมและทดสอบการขับขี่ตามหลักสูตรมาตรฐานของ BMW ตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2012 ซึ่งมีจุดกำเนิดมาจากหลักสูตรสำหรับฝึกนักแข่งรถ แต่ไม่ใช่แค่เพียงมีรถ BMW ทุกรุ่นให้ได้เรียนรู้เท่านั้น ยังมี mini และ Rolls Royce เอาไว้ให้ลองกันอีกด้วย
โดยจุดเด่นของ BMW Driving Academy Maisach นอกเหนือจากหลักสูตรที่เข้มข้นและเน้นให้ผู้ฝึกสอนฝึกฝนผู้เข้าเรียนกันแบบตัวต่อตัวแล้ว ยังเป็น Driving Center แห่งแรกในเยอรมนี ส่วนแห่งที่สองอยู่ในเมือง Spartanburg รัฐเซาท์แคโรไลนา ประเทศสหรัฐอเมริกา และแห่งที่สามที่เกาะอึนชอน ประเทศเกาหลีใต้ โดยสถานที่ฝึกอบรมแห่งนี้ถูกดัดแปลงจากสนามบินเก่าในเขตทหาร มีระยะทางตรงมากถึง 1.8 กิโลเมตร บนพื้นที่รวมกว่า 700 ไร่ เป็นสถานที่ฝึกอบรมการขับขี่ของ BMW ที่ใหญ่ที่สุดของเยอรมนี และมีพื้นที่สำหรับจอดรถสำหรับฝึกสอนมากถึง 400 คัน ถือเป็นสถานที่ที่มีอุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวก ทันสมัยและกว้างขวาง เหมาะกับการจัดกิจกรรมฝึกอบรมการขับขี่เป็นที่สุด
งานนี้สมาชิกก่อนที่จะลงไปขับบนสนามต้องการการเรียนทักษะการขับในห้องเรียนกันก่อน ซึ่งสมาชิกได้รับเกียรติจาก Mr.Marcus Willhardt ระดับหัวหน้าผู้ฝึกสอน มาให้ความรู้กันอย่างสนุกสนาน ก่อนที่จะรับกุญแจรถ BMW 4Series เพื่อเข้าอบรมการขับทั้งแบบสลาลอม, การเปลี่ยนเลนกะทันหัน, เบรกฉุกเฉิน, เบรกและเปลี่ยนเลนกะทันหัน การเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงบนทางเปียกชุ่ม โดยที่สมาชิกทุกคนสามารถผ่านการฝึกและรับประกาศณียบัตรมาได้ด้วยความภาคภูมิใจ จากนั้นจึงบินลัดฟ้าสู่เมืองลิสบอน ประเทศโปรตุเกส เข้าพักผ่อนที่ Sofitel Lisbon Liberdade
เช้าวันรุ่งขึ้นได้เวลาของการออกเดินทางไปชมความสวยงามของวิหารเจโรนิโม (Jeronimos Monastry) ซึ่งเป็นวิหารเก่าแก่ที่เป็นสัญลักษณ์ของความเจริญรุ่งเรืองของโปรตุเกส โดยภายในวิหารตกแต่งอย่างหรูหราด้วยศิลปะมานูเอลไลน์ (Manuelline) มีลวดลายของซุ้มประตูแกะสลักที่สวยงาม ซึ่งใช้เวลาสร้างถึง 70 ปี ทั้งยังถูกประกาศให้เป็นมรดกโลก โดยองค์การยูเนสโก และภายในวิหารที่เป็นโบสถ์ Santa Maria de Belem ยังเป็นที่ฝังศพของ วาสโก ดากามา (Vasco da Gama) นักเดินเรือสำรวจผู้ยิ่งใหญ่ชาวโปรตุเกส ที่ได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการค้นพบเส้นทางเดินเรือจากเมืองลิสบอน สู่มหาสมุทรอินเดีย เริ่มเดินทางสู่มหาสมุทรเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม ค.ศ. 1497 ผ่านแหลมกู๊ดโฮป (Cape of Good Hope) แอฟริกาใต้ แล้วล่องเรือขึ้นเหนือสู่มหาสมุทรอินเดีย และเสียชีวิตที่เมืองโคชิ (Kochi) ประเทศอินเดีย เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม ค.ศ. 1524 ถือว่ามีช่วงชีวิตอยู่ในสมัยอยุธยาตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถและสมเด็จพระรามาธิบดีที่2 นั่นเอง
จากนั้นได้ลิ้มลองความหวานหอมของขนมทาร์ตไข่ต้นตำรับร้าน Pasteis de belem ที่เป็นร้านเก่าแก่ของลิสบอน เปิดขายมาตั้งแต่ ค.ศ. 1837 ถือว่าเป็นร้านขนมทาร์ตไข่เจ้าแรกในโลกก็ว่าได้ แป้งพายกรุบกรอบ ไส้ที่ทำจากไข่แดง เนย นมและน้ำตาล นุ่มละมุนลิ้น ทั้งยังมีกลิ่นหอมจากผิวหน้าทาร์ตที่ไหม้เกรียมเล็กน้อย ดูสวยงามและอร่อยสมชื่อจริงๆ และเจ้าขนมทาร์ตไข่จากลิสบอนนี่เองที่อร่อยข้ามน้ำข้ามทะเลมาสู่แผ่นดินจีนและกลายเป็นขนมประจำถิ่นของมาเก๊าในปัจจุบันอีกด้วย
เดินขยับข้ามฝั่งมาอีกหน่อยที่ริมแม่น้ำเทกัส (Tagus) จะพบกับหอคอยบีเล็ม (Torre de Belem) ป้อมปราการปกป้องเขตบีเล็ม เป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คของเมืองลิสบอน สร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1515 โดย Francisco de Arruda สถาปนิกคนสำคัญในยุคนั้น ตัวหอคอยสร้างขึ้นด้วยหินอ่อนมีความสูงกว่า 30 เมตร ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เมื่อ ค.ศ. 1983 เดิมเป็นหอคอยเล็กๆ กลางแม่น้ำ แต่ปัจจุบันกลายสภาพเป็นเกาะติดริมชายฝั่ง และที่ใกล้ๆ กัน จะพบกับอนุสาวรีย์แห่งการค้นพบ (Padro dos Descobrimentos) ที่ตั้งตระหง่านสู่ท้องทะเล เป็นอนุสาวรีย์ที่ตั้งอยู่ทางเข้าท่าเรือลิสบอน มีความสูงถึง 65 เมตร สร้างเมื่อ ค.ศ.1960 เพื่อเป็นเกียรติแก่นักสำรวจชาวโปรตุเกส ที่ออกแบบให้เหมือนกับเป็นเรือกำปั่นที่บรรทุกวีรบุรุษนักสำรวจมุ่งหน้าสู่ท้องทะเล
เพลินตากันพักใหญ่ได้เวลาเดินทางสู่เมืองซินทรา (Sintra) ที่แสนโรแมนติก เข้าชมปราสาท Quinta da Regaleira อีกหนึ่งมรดกโลก ที่ออกแบบโดย Antonio Augusto Carvalho Monteiro และ Luigi Manni สถาปนิกผู้ออกแบบ La Scala ที่โด่งดังในเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี โดยที่แห่งนี้เปิดให้เข้าชมความงามของตัวปราสาทและพื้นที่สวนโดยรอบ มีทั้งโบสถ์ ทะเลสาบ ป้อมปราการ บันไดวนที่เป็นเส้นทางลับสู่อุโมงค์ใต้ดิน เป็นปราสาทที่มีทั้งความสวยงามและลึกลับมากทีเดียว
จากนั้นนั่งรถบัสขึ้นสู่ยอดเขาเพื่อชมความมหัศจรรย์ของปราสาทพีน่า (Pena Castle) หรือ พระราชวังแห่งชาติพีน่า อีกหนึ่งมรดกโลก 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์แห่งโปรตุเกส เป็นปราสาทที่ตั้งสง่าโดดเด่นอยู่บนหน้าผาสูงชัน มองเห็นเมืองด้านล่างได้โดยรอบ ตัวปราสาทตกแต่งด้วยศิลปะแบบ Romanticism หรือศิลปะแบบจินตนาการนิยม เน้นการใช้ เส้น แสง สี ที่เร้าใจ สะท้อนอารมณ์ ยิ่งมองดูในวันที่ฝนตกโปรยปรายและมีหมอกลงหนาแบบครั้งนี้ ให้ความรู้สึกเหมือนปราสาทในเทพนิยายจริงๆ
เมื่อถึงเวลาเย็นย่ำก็ได้เวลามื้อเย็นสุดพิเศษที่ร้าน O Mercado do Peixe ร้านอาหารแนวซีฟู๊ดชื่อดัง เน้นความสด คัดสรรวัตถุดิบจากท้องทะเลอย่างพิถีพิถัน และปิ้งย่างกันกลางร้าน สร้างบรรยากาศการทานอาหารค่ำได้อย่างยอดเยี่ยม แม้ว่าราคาจะสูงหน่อย แต่ระดับความพรีเมียมนั้นพิเศษสุด
รุ่งเช้าวันต่อมาได้เวลาสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษกับ BMW M5 รุ่นใหม่ล่าสุด บนสนามแข่งระดับตำนานอย่าง Circuito Estoril ที่จารึกประวัติศาสตร์การแข่งขันระดับโลกมาแล้วหลายรายการ แต่ก่อนจะได้ลองขับกันแบบเต็มรอบสนาม ต้องมีการวอร์มอัพกันพอสมควร ด้วยการฝึกทักษะกับรถยนต์รหัส M ตัวแรงในหลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็น M1, M3, M6 และ M X5 เพื่อสร้างความคุ้นชินกับแรงบิดระดับสูง ซึ่งสมาชิกต้องฝึกเทคนิคการเบรก การเข้าโค้ง การขับแบบสลาลอม และสัมผัสกับอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับรถที่มีแรงบิดระดับสูง จากนั้นจึงได้เวลาระเบิดความแรงสู่ล้อทั้งสี่ สัมผัสความแรงระดับ 600 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 750 นิวตันเมตร ที่เทียบชั้นรถยนต์ระดับซูเปอร์คาร์แต่อยู่ในร่างของรถสปอร์ตซีดานตัวถังใหญ่ แบบเต็มรอบสนาม Estoril ซึ่งรับรู้ได้ถึงการควบคุมที่มั่นคงและปลอดภัย ผ่านการเร่งความเร็วสูงบนทางตรง เข้าโค้งแบบมั่นใจ และเบรกให้หยุดนิ่งได้อย่างไร้ที่ติ โดยอยู่ภายใต้การดูแลของผู้ฝึกสอนอาวุโสที่ได้รับการรับรองจาก BMW International Racing Experience และทีมงานที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีเพื่อความปลอดภัยสูงสุด
ปิดท้ายด้วยเซอร์ไพรส์ที่ทีมงานผู้ฝึกสอนจัดให้กับกิจกรรม Pace Car Laps ที่ผู้ฝึกสอนชั้นครูจะขับให้ลูกศิษย์ได้นั่งไปด้วย แต่ไม่ได้ขับแบบธรรมดา เพราะกดคันเร่งแบบเต็มแรง ออกตัวล้อฟรี แล้วดริฟท์เข้าโค้งด้วยความเร็วสูงในทุกโค้งของสนาม เป็นการสัมผัสความแรงแบบมืออาชีพจัดให้ สร้างความสนุกและเร้าใจให้กับสมาชิก BMW ชาวไทยอย่างจุใจและไม่เคยสัมผัสแบบนี้มาก่อนในชีวิต เป็นการเติมเต็มประสบการณ์ความแรงได้อย่างถึงใจ พร้อมกับปิดกิจกรรมด้วยการมอบประกาศนียบัตรรับรองการผ่านกิจกรรม The Ultimate BMW M Track Experience 2018 ได้อย่างประทับใจ
https://www.facebook.com/buddhi.pharsuk/videos/2036794553003935/
โดยทั้งหมดนี้คือสุดยอดประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตที่บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย มอบให้กับสมาชิกผู้ใช้รถยนต์ BMW เท่านั้น
เรื่อง/ภาพ: พุทธิ ผาสุข
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานต์ยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th