BMW 1 Series รุ่นใหม่เจเนเรชันที่ 4 สปอ์รตและทันสมัยขึ้น พร้อมบางส่วนจากรุ่นก่อน
BMW เผยโฉม 1 Series รุ่นใหม่เจเนเรชันที่ 4 ออกมา ซึ่งมาพร้อมกับความความสปอร์ตและทันสมัยมากขึ้นโดยยังคงหลายสิ่งมาจากเจเนเรชันก่อนหน้า รวมทั้งมีความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของแบรนด์เริ่มขึ้นกับรถแฮทช์แบ็กขนาดเล็กรุ่นนี้ คือเป็นรถรุ่นแรกที่ตัด i ออกจากท้ายชื่อรุ่นของรถที่ใช้เครื่องยนต์เบนซินตามนโยบายใหม่ของบริษัทที่จะใช้ i กับรถไฟฟ้า
BMW 1 Series ใหม่ยังคงมีบางสิ่งของรถที่เหมือนกับรุ่นก่อนหน้าอย่างระยะฐานล้อของรถที่มีความยาว 2,670 มม. เหมือนกัน แต่รถเจเนเรชันใหม่มีความยาว ความกว้าง และความสูงมากกว่าเล็กน้อยด้วยความยาว 4,361 มม. กว้าง 1,800 มม. สูง 1,459 มม. ในส่วนดีไซน์ของรถแม้จะยังคงมีรูปทรงของไฟหน้าเหมือนกับรุ่นก่อนหน้า แต่มีการออกแบบรายละเอียดของไฟและไฟ Daytime Running Light ใหม่ นอกจากนี้รถยังมีกระจังหน้าไตคู่ใหม่ที่มีความกว้างมากขึ้น รวมทั้งมีกันชนหน้าใหม่ที่มีควมสปอร์ตดุดันมากขึ้น และฝากระโปรงหน้าใหม่ที่ดูมีพลังมากขึ้น
ส่วนด้านข้างของรถแฮทช์แบ็กขนาดเล็กรุ่นใหม่แม้จะยังคงมีเส้นสายด้านข้างเหมือนกับรุ่นก่อนหน้า แต่มีกระจกหน้าต่างด้านข้างใหม่ และมีไฟท้ายใหม่รวมทั้งกันชนหลังใหม่ที่มีความสปอร์ตดุดันด้านหลังของรถ
ในห้องโดยสารของรถมีความทันสมัยตามรถรุ่นใหม่ๆ ของค่ายกังหันฟ้า-ขาวที่มีจอ Curved Display ซึ่งประกอบด้วยจอแสดงข้อมูลการขับขนาด 10.25 นิ้ว และจอ Infotainment ขนาด 10.7 นิ้ว โดยมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Operation System 9 รองรับทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto พร้อมกับที่ทางผู้ผลิตได้ลดปุ่มควบคุมที่เป็นปุ่มจริงในห้องโดยสารลงทำให้คอนโซลกลางของรถโล่งมากขึ้น
ห้องโดยสารของรถปราศจากการใช้หนังแท้ โดยใช้ผ้า Anthracite Arktur เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน พร้อมมีการแสดงข้อมูล Head-up Display หลังคากระจกพาโนรามิก และระบบเสียง Harman Kardon ที่เป็นออปชัน รวมทั้งมีที่ชาร์จสมาร์ทโฟนที่คอนโซลกลาง ระบบปรับอากาศดูอัลโซน และไฟ Ambient Lighting ส่วนเบาะหลังสามารถแบ่งพับได้ทั้งแบบ 60:40 หรือ 40:20:40 เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระได้สูงสุด 1,200 ลิตร
รถแฮทช์แบ็กพรีเมียมรุ่นใหม่มี 4 ทางเลือกของระบบขับเคลื่อน เป็นสองเครื่องยนต์เบนซินรุ่น 120 และ M135 xDrive สองเครื่องยนต์ดีเซลรุ่น 118d และ 120d โดยรุ่น 120 ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ 1.5 ลิตรเทอร์โบ และ 120d ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 2.0 ลิตร เทอร์โบ มาพร้อมระบบไมลด์ไฮบริดมีมอเตอร์ไฟฟ้าช่วยเสริมกำลังขับเคลื่อน 20 แรงม้า เพิ่มแรงบิด 55 นิ้วตัน-เมตร
สำหรับรุ่นที่มีความแรงมากที่สุด M135 xDrive มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร เทอร์โบ มีกำลัง 300 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตัน-เมตร โดยรถทั้งหมดใช้ระบบส่งกำลัง Steptronic 7 สปีดในการนำกำลังจากเครื่องยนต์สู่ล้อของรถ
ราคาของรถรุ่นใหม่ยังไม่มีออกมา ส่วนการขายจะเริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม 2024 นี้ ซึ่งมีตลาดสำคัญคือเยอรมนี ยุโรป และญี่ปุ่น
เรื่อง : กองบรรณาธิการ
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th