ขับ BR-V พาครอบครัวเที่ยวเพลินฉะเชิงเทรา
การพาครอบครัวไปท่องเที่ยว หาเมนูอร่อยๆ ทานกันพร้อมหน้าพร้อมตา ถือเป็นความสุขที่ผู้เขียนมักจะหาเวลาทำกิจกรรมแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง เมื่อมองหารถอเนกประสงค์ที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์แบบนี้ รถที่นึกถึงเป็นอันดับต้นๆ นั่นคือ ฮอนด้า BR-V แม้ว่าในตลาดจะมีรถอเนกประสงค์อยู่หลายรุ่น แต่ที่เลือก BR-V เพราะมีเหตุผลรองรับอยู่หลายเรื่อง ส่วนจะมีเรื่องใดบ้าง มาติดตามกัน
หลังจากที่ฮอนด้า BR-V เปิดตัวได้ไม่นาน ทางบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล ประเทศไทย จำกัด ได้เชิญสื่อมวลชนไปร่วมทดลองขับกับถึงจังหวัดเชียงใหม่แบบ 1 day Trip ซึ่งการทดลองขับในระยะเวลาสั้นๆ ในวันนั้น ทำให้ผู้เขียนมั่นใจและกล้าจะบอกว่า ฮอนด้า BR-V คือรถที่ดีและตอบโจทย์การใช้งานอีกรุ่นหนึ่ง เหตุผลที่รองรับการตัดสินใจ คือ เมื่อได้ทดลองขับและพิจารณาถึงความเหมาะสมในการใช้งานของกลุ่มเป้าหมายรวมถึงความคุ้มค่าคุ้มราคา Honda BR-V คือรถที่ควรรับเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของครอบครัวอย่างที่ไม่ต้องปรึกษาคนข้างบ้านกันเลยทีเดียว
สำหรับ ฮอนด้า BR-V (บีอาร์-วี) เป็นรถครอสโอเวอร์น้องเล็กในตระกูลรถ SUV ของฮอนด้า โดยมีพี่ใหญ่คือ CR-V และ พี่รอง HR-V ซึ่งหลายคนอาจมีคำถามว่า “แล้วรุ่นก่อนหน้านี้อย่าง Mobilio มันต่างจาก BR-V ยังไง” ถ้าให้ตอบตรงๆ ก็ต้องบอกว่า ฮอนด้า Mobilio เป็นรถแบบ Minivan (มินิ แวน) ส่วน BR-V อยู่ในกลุ่ม SUV (เอสยูวี) แม้ว่าภายในห้องโดยสารจะมีขนาดที่ใกล้เคียงกัน มีเบาะนั่งให้เลือกทั้งแบบ 5 และ 7 ที่นั่งเหมือนกัน แต่ความสูงใต้ท้องรถต่างกัน และด้วยการออกแบบที่เน้นการใช้งานที่ต่างกัน BR-V สามารถลุยไปตามเส้นทางต่างๆ ได้มากกว่านั่นเอง
ในส่วนของตัวถัง BR-V ออกแบบภายใต้แนวคิด Active Solid Motion ที่ต้องการสะท้อนความแข็งแกร่ง จึงออกแบบให้ด้านหน้ารถนั้นดูบึกบึนแต่แฝงด้วยความโฉบเฉี่ยวของกระจังหน้าโครเมียม ไฟหน้าโปรเจคเตอร์ ไฟหรี่แบบ LED และไฟท้ายแบบ LED ทรง C-Shape ที่มีเส้นสายที่ต่อเนื่อง ทำให้เมื่อมองรถจากด้านท้ายจะเห็นว่าตัวรถดูกว้างขวาง เส้นสายข้างตัวรถที่ให้ดูปราดเปรียวและเพรียวยาวทำให้นึกถึง Mobilio ขึ้นมาทันที และเติมความอเนกประสงค์ด้วยราวหลังคา (Roof Rail) ที่เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน อีกทั้งปรับระดับความสูงของตัวถังจากพื้นถึงใต้ท้องรถเป็น 201 มม. มาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว ที่ดูลงตัว แต่หากอยากเสริมหล่อขึ้นไปอีก ลองเพิ่มขนาดล้อไปอีกสักนิดจะดูหล่อเหลาเอาการ
ส่วนภายในห้องโดยสารให้อารมณ์รถสไตล์ SUV เน้นโทนสีดำด้าน วัสดุตกแต่งคอนโซลแบบ Piano Black พื้นที่ห้องโดยสารกว้างขวาง ผู้เขียนที่มีความสูงกว่า 180 เซนติเมตร นั่งแล้วรู้สึกสบายไม่อึดอัด มาพร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบาย เช่น มาตรวัดเรืองแสงสีขาว พร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ MID ไฟแสดงผลการขับขี่แบบประหยัด ช่องจ่ายไฟสำรอง ที่วางแก้วน้ำมากถึง 11 ตำแหน่ง ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสรองรับระบบ iOS และ Android ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ ช่องเชื่อมต่อ USB พร้อมช่องเชื่อมต่อ HDMI สวิตซ์ควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย ปุ่ม Push Start กระจกมองหลังแบบตัดแสง และมีให้เลือก 2 รุ่น คือ
รุ่น SV คอนโซลกลางมีการออกแบบที่คล้ายกับใน Honda CITY ติดตั้งระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 6.1” พร้อมระบบปรับอากาศอัตโนมัติ มีเบาะนั่ง 3 แถว 7 ที่นั่ง เบาะนั่งแถวที่ 2 ปรับพับแยก 60:40 พนักพิงปรับเอนได้ 2 ระดับ สามารถปรับเลื่อนหน้า-หลังได้ เพื่อให้ผู้โดยสารแถวที่ 3 เข้า-ออกได้สะดวก ส่วนเบาะนั่งแถวที่ 3 มีพื้นที่มากพอที่จะวางขาแล้วไม่ติดกับเบาะแถวที่2 ซึ่งเบาะนั่งแถวที่ 3 สามารถพับแยกแบบ 50:50 และพับตลบไปด้านหน้า 2 จังหวะ เพื่อเพิ่มพื้นที่บรรทุกสัมภาระด้านท้ายให้มากขึ้น รวมทั้งติดตั้งระบบปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารแถวหลังอีกด้วย ราคา 820,000 บาท
คอนโซลกลางรุ่น V จะเห็นว่าพวงมาลัยและชุดจอสัมผัสต่างกัน
ส่วนรุ่น V คอนโซลกลางต่างจากรุ่น SV พวงมาลัยเหมือนกับ Mobilio แต่ไม่มีระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัส ให้เบาะนั่ง 2 แถว 5 ที่นั่ง เบาะนั่งแถว 2 ปรับพับแยกแบบ 60:40 เช่นเดียวกับในรุ่น SV และพับตลบจังหวะเดียว เพื่อเพิ่มพื้นที่วางสัมภาระให้มากขึ้น และยังมาพร้อมถาดรองสัมภาระท้ายรถและกล่องอเนกประสงค์ใต้เบาะนั่งแถวที่ 2 ซึ่งรุ่นนี้หากใครที่หารายได้ด้วยการเปิดท้ายขายของจะค่อนข้างคุ้มค่ามากโดยมีราคาอยู่ที่ 750,000 บาท
พื้นที่เบาะหลังของรุ่น V
ด้านขุมพลังมีขนาด 1.5 ลิตร SOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว แรงม้าสูงสุด 117 แรงม้า 6,000 รอบต่อนาที และมีแรงบิดสูงสุด 146 นิวตันเมตร ที่ 4,700 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT ใหม่ เทคโนโลยีเอิร์ทดรีม มีอัตราทดเกียร์ที่กว้าง ทำให้เครื่องยนต์มีแรงบิดสูงขึ้นในรอบเครื่องที่ต่ำลง ซึ่งช่วยเพิ่มอัตราเร่งในขณะออกตัว มีการตอบสนองที่รวดเร็วขึ้นและประหยัดน้ำมันมากขึ้น อีกทั้งยังรองรับน้ำมันเชื้อเพลิง E85
เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร SOHC i-VTEC
ส่วนระบบกันสะเทือนด้านหน้าแบบแม็กเฟอร์สัน สตรัท อิสระ พร้อมเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังเป็นแบบทอร์ชั่นบีม H-Shape มีคานบิดและคานสปริงที่ทำมาสำหรับรถยกสูง ส่วนแดมเบอร์ด้านหลังปรับปรุงให้เหมาะสมกับตัวรถที่สูงขึ้น เพื่อให้มีการยึดเกาะถนน ทรงตัวดี และให้การขับที่นุ่มนวลไม่กระด้างเมื่อเจอพื้นผิวที่ขรุขระ พร้อมติดตั้งระบบความปลอดภัยแบบจัดเต็ม ไม่ว่าจะเป็น ถุงลมคู่หน้า SRS, เข็มขัดนิรภัย 3 จุดแบบดึงกลับอัตโนมัติ (Emergency Locking Retractor – ELR), ระบบป้องกันล้อล็อก (ABS) พร้อมระบบกระจายแรงเบรกควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (EBD), ระบบควบคุมการทรงตัว (Vehicle Stability Assist – VSA), ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (Hill Start Assist – HSA), กล้องมองภาพด้านหลัง (Rearview Camera) เฉพาะในรุ่น SV และเพื่อตอบโจทย์ครอบครัวยุคใหม่ที่ใส่ใจความปลอดภัยของเด็ก ด้วยจุดยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก (ISOFIX) เป็นต้น
เกริ่นเรื่องเกี่ยวกับตัวรถมาพอสมควร เข้ามาถึงเรื่องการใช้งานจริงกันบ้าง หลังจากที่ได้ยืมรถกับทางฮอนด้ามาแล้วก็จัดการเตรียมตัวเดินทาง โดยทริปนี้จะไปหาของอร่อยๆ มื้อเที่ยงแถวแปดริ้ว แล้วไปไหว้พระพิฆเนศยืนองค์ใหญ่ที่เทวสถานอุทยานพระพิฆเนศ ต่อด้วยชมความงามของอุโบสถสีทอง ที่วัดปากน้ำโจ้โล้ จ.ฉะเชิงเทรา
วันนี้สมาชิกเดินทางกัน 5 คน ใช้พื้นที่ห้องโดยสารกันครบทุกที่นั่ง และมีความรู้สึกเหมือนกันว่าพื้นที่ห้องโดยสารค่อนข้างกว้างมาก นั่งกันแล้วไม่รู้สึกอึดอัด แถมยังเย็นสบายทั้งคันเพราะมีแอร์ตอนหลังให้ด้วย ส่วนเบาะนั่งแถวสองสามารถปรับเอนเพิ่มองศาได้อีกพอสมควร ส่วนเบาะหลังแถวที่ 3 มองดูแล้วเหมือนจะมีพื้นที่ไม่มาก แต่พอนั่งลงไปแล้วกลับนั่งได้สบายๆ ซึ่งน้องชายของผู้เขียนมีความสูงถึง 180 เซนติเมตร ลองนั่งจากฉะเชิงเทรากลับมาถึงกรุงเทพ ให้ความเห็นว่าถ้าคนที่ตัวสูงอาจจะต้องขยับพื้นที่ขาพอสมควร ส่วนพื้นที่ว่าบริเวณศีรษะยังพอมี แต่ถ้าเป็นคนที่ตัวไม่ใหญ่สามารถนั่งได้สบายแน่นอน ซึ่งมีขอติอย่างเดียวคือ เมื่อเจอทางขรุขระ หรือพื้นถนนเป็นคลื่น คนนั่งแถวหลังจะรู้สึกถึงอาการกระเด้งกระดอนพอสมควร แต่โดยรวมแล้วถือว่าใช้นั่งเดินทางได้จริง
พื้นที่วางขาของเบาะนั่งแนวที่ 3 สามารถใช้งานจริงได้สบาย
ประตูที่เปิดออกได้กว้าง ทำให้ขึ้นลงได้สะดวกสบาย
ระหว่างที่ขับอยู่นั้น ลองเปรียบเทียบระหว่างตอนที่ขับคนเดียวกับแบบที่นั่งกันเกือบเต็มคัน ความรู้สึกของการขับนั้นเปลี่ยนไปพอสมควร เมื่อนั่งกันเต็มคันให้ความรู้สึกนิ่งและช่วงล่างหนึบขึ้นชัดเจนกว่าตอนที่นั่งขับคนเดียว ส่วนเรื่องอัตราสิ้นเปลืองเมื่อเติมน้ำมันแก๊สโซฮอลล์ 91 ได้อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยราว 12 กิโลเมตรต่อลิตร คิดจากการเติมน้ำมันเต็มถังแล้วเติมกลับ หารด้วยระยะทางและจำนวนลิตรที่เติมกลับไปในถัง
ส่วนการขับให้ความคล่องตัวสูง พวงมาลัยแร็ค แอนด์ พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า ให้การตอบสนองที่แม่นยำ แม้จะรู้สึกว่าเบาไปสักหน่อย ด้านอัตราเร่งไม่ได้หวือหวา และด้วยการที่เป็นเกียร์ CVT จึงค่อนข้างที่จะไม่ทันใจหากใช้งานไม่ถูกจังหวะ ซึ่งถ้าเรียนรู้และปรับตัวให้เข้าใจกันแล้วจะขับสนุกขึ้น เพราะหากรอบเครื่องยนต์อยู่ต่ำกว่า 2,500 รอบ จังหวะเร่งแซงจะทำได้เหนื่อยพอสมควร หากกดคันเร่งเติมลงไป รอบเครื่องจะกวาดขึ้นสูง แต่ความเร็วจะค่อยๆ ตามมา และถ้ารอบเครื่องอยู่ในช่วง 3,000 รอบขึ้นไป อัตราเร่งจะจัดจ้านกว่าพอสมควร ซึ่งจะใช้น้ำมันเปลืองมากขึ้นตามมา จะพูดไปแล้วรถแบบนี้ไม่เหมาะกับการใช้ความเร็วสูงอยู่แล้ว การเดินทางเป็นครอบครัวทำความเร็วอยู่ระดับ 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมงถือว่ากำลังดีกับการใช้งานรวมทั้งอัตราสิ้นเปลืองที่จะประหยัดขึ้นอีกด้วย
มาแวะพักกันบ้างดีกว่า…จุดหมายแรกคือ ร้านบ้านไม้ริมน้ำ อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา เป็นบ้านไม้ทรงดั้งเดิม ติดริมแม่น้ำบางปะกง บรรยากาศสบายๆ ขับรถมุ่งหน้าเข้าตัวเมืองฉะเชิงเทรา ทางถนนมหาจักรพรรดิ แล้วก่อนที่จะขึ้นสะพานฉะเชิงเทรา เฉลิมพระเกียรติ จะเป็นโค้งขวายาวๆ ให้ขับรถชิดซ้าย ไม่ขึ้นสะพาน ตรงนั้นจะเป็นถนนบางน้ำเปรี้ยว-ฉะเชิงเทรา ขับตามทางไม่นานจะพบตลาดบ่อบัว สังเกตทางขวาจะพบถนนพานิชขับตรงเข้าไปจนสุดทางจะพบร้านบ้านไม้ริมน้ำอยู่ทางซ้ายมือ
อาหารของที่นี่เน้นวัตถุดิบที่สดใหม่ และสำคัญที่สุดร้านนี้เจ้าของร้านอัธยาศัยดีและเสิร์ฟอาหารเร็วมาก ผู้เขียนสั่งอาหารไป 6 เมนู ทุกอย่างถูกเสิร์ฟลงโต๊ะภายในเวลาไม่ถึง 10 นาที แถมทุกเมนูยังมีรสชาติที่จัดจ้าน เป็นเอกลักษณ์ จนอยากจะกลับไปอีกสักครั้ง
เมนูเด็ดของที่นี่จัดไว้ในหน้าแรก และเป็นเมนูที่ได้รับความนิยมที่สุด
ผักบุ้งบ้านไม้ ผัดผักบุ้งที่อาจดูธรรมดา แต่มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ ผักบุ้งกรุบกรอบ ผัดโดยผ่านความร้อนอย่างรวดเร็วเพื่อคงความสดของผัก
กุ้งแช่น้ำปลา ใครชอบความจัดจ้านต้องจานนี้ ใช้กุ้งแชบ๊วยตัวโต ราดด้วยน้ำจิ้มสูตรเด็ด จานเดียวไม่พอต้องขอเบิ้ล
ทอดมันรวม มีทั้งทอดมันปลากรายและทอดมันกุ้ง เคี้ยวนุ่ม เนื้อแน่น อร่อยจนต้องแนะนำจริงๆ
แกงเลี้ยงกุ้งสุด จัดจ้านด้วยพริกไทและเครื่องเทศ อัดแน่นด้วยสมุนไพรมากมาย แถมยังใช้กุ้งไซส์ใหญ่อีกด้วย
ปลากะพงทอดน้ำปลา ความสดของปลาคือเคล็ดลับ และเลือกไซส์กลางๆ ทำให้ทอดได้ผิวกรอบ เนื้อแน่น กลิ่นหอมรัญจวนใจ
หมึกไข่ย่าง เลือกหมึกไข่ขนาดไม่ใหญ่ สด เนื้อใส ไข่แน่นทุกตัว ย่างให้สุกพอดี เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มรสแซบ
หลังจากอิ่มหนำสำราญกันแล้ว จึงเดินทางกันไปต่อที่ เทวสถานอุทยานพระพิฆเนศ อ.คลองเขื่อน ซึ่งห่างไปอีก 18 กิโลเมตร ออกจากบ้านไม้ริมน้ำขับย้อนมาตามถนนศุภกิจ (ทางหมายเลข 3200) ผ่านตลาดริมน้ำ 100 ปี ขับต่อไปอีก 2 กิโลเมตร จะพบทางแยกเลี้ยวขวา เป็นถนนเลียบคลองชลประทาน จากนั้นจะมีป้ายบอกทางอยู่ตลอดรับรองไม่หลงแน่นอน
ที่เทวสถานอุทยานพระพิฆเนศจะได้พบกับ องค์พระพิฆเนศที่มีชื่อเรียกว่า “พระพิฆเนศปางยืน องค์สำริด สำเร็จ สมปรารถนา” ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำบางปะกง ซึ่งทางผู้สร้างต้องการสร้างขึ้นเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวของ จ.ฉะเชิงเทรา และยังช่วยส่งเสริมการพัฒนาอาชีพด้านการทำไร่ผลไม้ของชาวบ้านอีกด้วย ซึ่งองค์พระพิฆเนศยืนนี้มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก สูงถึง 39 เมตร เนื้อองค์ทำจากสำริด พระหัตถ์ทั้ง 4 ถือ กล้วย, มะม่วง,ยอดอ้อย และขนุน ที่พระบาทมีหนูที่เป็นสัตว์พาหนะกอดลูกมะพร้าวเอาไว้ ซึ่งมีความหมายถึง ความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดิน เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ควรแวะไปเสริมศิริมงคลให้ชีวิตเป็นอย่างยิ่ง
จากนั้นจึงเดินทางย้อนเส้นทางเดิม แล้วเลี้ยวขวาผ่านวัดบางตลาด ขึ้นสะพานข้ามแม่น้ำบางปะกง มุ่งหน้าไปทางถนนวนะภูติอีกเพียง 4 กิโลเมตร ก็จะไปถึงวัดปากน้ำโจโล้ มีจุดเด่นที่มีโบสถ์สีทอง เป็นพระอุโบสถหนึ่งเดียวในไทยที่ทาสีทองทั้งหลัง ทั้งภายในและนอกตัวอุโบสถ มองดูแล้วตระการตาอย่างมาก ซึ่งวัดแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลาย มีอายุ 200 กว่าปีมาแล้ว แต่ไม่ปรากฏชัดเจนว่าสร้างขึ้นในปีใด ที่บริเวณปากน้ำโจ้โล้นี้เป็นเขตที่ตั้งทัพของพม่าซึ่งยกทัพบกและทัพเรือมาปะทะกับกองทัพของสมเด็จพระเจ้าตากสิน ซึ่งผลการสู้รบนั้นทางฝ่ายของพระเจ้าตากสินทรงมีชัยเหนือพม่า จึงโปรดให้สร้างเจดีย์เป็นอนุสรณ์ชื่อ “โจ้โล้” มีที่มาจากที่พระเจ้าตากสินทรงวางแผนการศึกเข้าโจมตีทหารพม่า ด้วยการโล้เรือมาตามแม่น้ำให้ทหารพม่าตายใจว่ามาเพียงลำพัง แล้วให้ทหารของพระองค์ซุ่มตีล้อมโจมตีจนได้ชัยชนะ และมีการเรียกกันต่อมาว่า “เจ้าโล้” และเพี้ยนมาเป็น “โจ้โล้” ถึงปัจจุบัน
โดยภาพรวมจากการใช้งานจริงถือว่า ฮอนดด้า BR-V เป็นรถครอบครัวที่คุ้มค่า คุ้มราคาอย่างมาก เพราะด้วยราคาจำหน่ายในช่วง 750,000 ถึง 820,000 บาท เทียบกับสิ่งที่ได้มา ทำให้รถคันนี้น่าจะเป็นรถอีกหนึ่งคันของครอบครัวจริงๆ
เรื่อง/ภาพ : พุทธิ ผาสุข
เรียบเรียงข้อมูลโดย www.gpinews.com
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานต์ รถใหม่ ได้ที่ www.gpinews.com