Bugatti เริ่มการบอกลาเครื่องยนต์ W16 ควอดเทอร์โบ (4 เทอร์โบ) ที่ใช้งานมานานเกือบ 20 ปีด้วย W16 Mistral รถโรดสเตอร์ซึ่งตั้งชื่อตามสายลมทางใต้ของประเทศฝรั่งเศสบนพื้นฐานของ Chiron จำนวน 99 คัน โดยนี่เป็นครั้งแรกของรถในแบบไม่มีหลังคาที่ใช้พื้นฐานจาก Chiron รวมทั้งเป็นรถโรดสเตอร์รุ่นแรกนับตั้งแต่ Veyron Grand Sport Vitesse ที่ทำออกมาเมื่อปี 2015

Bugatti W16 Mistral ใช้เครื่องยนต์ W16 8.0 ลิตร ควอดเทอร์โบที่มีกำลัง 1,600 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 1,180 นิวตัน-เมตรเหมือนกับที่อยู่ใน Chiron Super Sport และ Chiron Super Sport 300+ ที่เป็นรุ่นผลิตขายของรถสร้างสถิติความเร็ว 490.4 กม./ชม. ในสนามทดสอบ Ehra Lessien ของ Volkswagen เมื่อปี 2019

แม้ W16 Mistral ไม่ได้มีความเร็วไปแตะที่เกือบ 500 กม./ชม. เหมือนกับ Chiron Super Sport 300+  เนื่องจากเป็นรถที่ไม่มีหลังคา แต่ทาง Bugatti ก็ออกแบบให้ W16 Mistral เป็นรถเปิดประทุนที่มีความเร็วมากที่สุด โดยออกแบบให้รถมีเรือนไมล์ที่มองเห็นได้ง่ายจนถึงความเร็ว 420 กม./ชม.

W16 Mistral ที่ใช้ทั้งเครื่องยนต์และพื้นฐานมาจาก Chiron มาพร้อมกับการออกแบบที่แตกต่างออกไปโดยระบุว่านำแรงบันดาลใจมาจาก Type 57 Roadster Grand Raid ปี 1934 แต่ก็ไม่ได้มีกลิ่นไอย้อนยุคอย่าง Centodieci ที่นำแรงบันดาลใจมาจาก EB110 โดยสิ่งที่ปรากฏชัดที่สุดคือการนำเอาสีเหลืองและดำจากรถในอดีตมาปรากกฏในรถตัวอย่างของ W16 Mistral

ด้านหน้าของ W16 Mistral ยังคงมาพร้อมกับกระจังหน้ารูปเกือกม้าขนาดใหญ่ในสไตล์ของ Bugatti พร้อมขนาบด้วยช่องดักอากาศขนาดใหญ่ทั้ง 2 ข้าง ส่วนไฟหน้ามีความแตกต่างจาก Chiron อย่างชัดเจนด้วย 4 แถบไฟ LED แนวนอนขนาดเล็กในแต่ละฝั่งของรถ ส่วนด้านหลังมีไฟท้ายรูปตัวเอ็กซ์เหมือนกับ Bolide ซึ่งเป็นรถสำหรับสนามแข่งของ Bugatti โดยมีชื่อ Bugatti ที่แถบไฟตรงกลาง

สำหรับห้องโดยสารของ W16 Mistral แทบไม่แตกต่างด้านดีไซน์ไปจาก Chiron โดยมีการใช้วัสดุคุณภาพสูงอย่าง Billet Aluminum และไทเทเนียมในส่วนที่ปกติแล้วเป็นพลาสติกในรถที่มีราคาประหยัด รวมทั้งยังมีการใช้ไม้ในการแต่ง นอกจากนี้ทาง Bugatti ยังออกแบบให้กระจกหน้าและกระจกด้านข้างของรถมีลักษณะที่คล้ายกับกระจกบังลมของหมวกกันน็อก และมีช่องดักอากาศด้านหลังเบาะนั่งที่ทำหน้าที่ป้องกันผู้อยู่ในรถเมื่อเกิดการพลิกคว่ำด้วย

ทาง Bugatti ไม่ได้เปิดเผยถึงราคาของ W16 Mistral ออกมา แต่ระบุว่ารถเริ่มการส่งมอบได้ในช่วงต้นปี 2024