BYD : CAR OF THE YEAR 2024
BEST EV SUV FWD
BYD ATTO 3
BYD (Build Your Dreams) แบรนด์น้องใหม่ ภายใต้การดูแลโดย Rêver Automotive (เรเว่ ออโตโมทีฟ) ยกทัพ 3 รุ่นยนตรกรรมพลังไฟฟ้า 100% ที่จำหน่ายในเมืองไทย เข้าร่วมชิงชัยงาน Thailand Car of The Year 2024 และประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม โดยมี BYD ATTO 3 คว้ารางวัล BEST EV SUV FWD ไปครอง
ด้วยคุณสมบัติความเป็นยนตรกรรมอเนกประสงค์ Premium SUV ตั้งแต่การนำเสนอความโดดเด่นด้านงานดีไซน์จากแนวคิด Edgy Exterior โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากมังกร มอบความทรงพลังให้ทุกเส้นสาย สะกดทุกสายตา ขณะที่ภายในห้องโดยสารมากับแนวคิด Electric Interior ด้วยดีไซน์ Music Streamline Design ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเครื่องดนตรี
ขณะที่ไฮไลต์ของ BYD ATTO 3 คือขั้นสุดยอดของเทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งยานยนต์พลังงานไฟฟ้า ประกอบด้วย “BYD Blade Battery” (LFP) เอกสิทธิ์เฉพาะแบรนด์ BYD ขนาดความจุ 60.48 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ที่มีประสิทธิภาพยอดเยี่ยม ทั้งในเรื่องระบบจัดการระบายความร้อน พร้อมกับลดการสูญเสียพลังงานเสริม ผ่านการทดสอบมาตรฐานความปลอดภัย Nail Penetration Test จนขึ้นแท่นว่าเป็นแบตเตอรี่ที่ปลอดภัยที่สุดในตลาด
ตามด้วย “e-PLATFORM 3.0” แพลตฟอร์มแห่งอนาคต ที่ผ่านการออกแบบพัฒนามา เพื่อยกระดับการขับขี่ยนตรกรรมไฟฟ้าโดยเฉพาะ ก่อนปิดท้ายกับ “DiPilot” ระบบผู้ช่วยในการขับขี่ ที่มาพร้อมระบบความปลอดภัยแบบ Active Safety และ Passive Safety เพื่อสร้างความมั่นใจขั้นสุด ในทุกสถานการณ์ขับขี่
ความเร้าใจของ BYD ATTO 3 ต้องยกให้มอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 150 กิโลวัตต์ หรือ 201 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 310 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนล้อหน้า สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ใน 7.3 วินาที กับระยะทางวิ่งสูงสุดที่ 480 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน NEDC)
มากับการควบคุมที่เฉียบคมจากระบบพวงมาลัยไฟฟ้า Electric Power Assisted Steering (EPAS) และระบบช่วงล่างด้านหน้าแม็คเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังแบบมัลติลิงก์ จับคู่กับดิสก์เบรก 4 ล้อ และล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว พร้อมยางขนาด 215/55 R18
ซึ่งทั้งหมดผสมผสานกันเป็น BYD ATTO 3 ยนตรกรรมอเนกประสงค์ Premium SUV ที่โดดเด่นด้วยสไตล์ พร้อมสมรรถนะเหนือชั้นเกินคาดหมาย ที่ไม่เพียงแค่คณะกรรมการเท่านั้นที่ยอมรับ หากแต่รวมถึงผู้บริโภคชาวไทยด้วยเช่นกัน
BEST EV Hatchback FWD
BYD DOLPHIN
จาก BYD ATTO 3 ยนตรกรรมอเนกประสงค์ Premium SUV สู่ BYD DOLPHIN ยนตรกรรมแฮตช์แบ็กพลังไฟฟ้า ขนาดกะทัดรัด เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ในการขับขี่ ภายใต้แนวคิด “สุนทรียศาสตร์แห่งมหาสมุทร” ที่เต็มไปด้วยความสดใหม่ และสีสัน เริ่มจากงานดีไซน์ภายนอกในรูปทรง “ปลาโลมา” กับด้านหน้าโค้งมน ลงตัวกับไฟหน้า LED และเส้นสายด้านข้าง ที่ออกแบบให้รับกับไฟท้าย
ขณะที่ภายในห้องโดยสารมากับความกว้างขวางและรายละเอียดที่สดใส เช่น คอนโซลหน้าลายคลื่น มากับช่องแอร์และมือจับเปิดประตูทรงครีบโลมา อีกทั้งระบบสัญญาณเสียงแจ้งเตือนต่างๆ ก็ยังจำลองมาจากท้องทะเล พร้อมด้วยระบบอัจฉริยะใหม่ Automatic Emergency Braking System ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่มากยิ่งขึ้น ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยมากขึ้นหลังจากจอดรถ
BYD DOLPHIN ยังคงสืบทอดความยอดเยี่ยมมาจาก BYD ATTO 3 ผ่านนวัตกรรมการันตีระดับโลกต่างๆ เช่น “e-PLATFORM 3.0” แพลตฟอร์มแห่งอนาคต ที่ผ่านการออกแบบพัฒนามาเพื่อยกระดับการขับขี่นตรกรรมไฟฟ้าโดยเฉพาะ ช่วยสร้างการขับขี่ที่นุ่มนวล และการยึดเกาะถนนที่ดีเยี่ยม
ผสานกับเทคโนโลยี “BYD Blade Battery” เอกสิทธิ์เฉพาะของ BYD ที่มากับระบบระบายความร้อนที่ช่วยควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะสม ภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยชั้นสูง ซึ่งผ่านการทดสอบอย่างเข้มงวด แม้ในสถานการณ์ที่เกิดความเสียหายอย่างรุนแรง
สมรรถนะของ BYD DOLPHIN เริ่มต้นจากแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนฟอสเฟต (Lithium Iron Phosphate) โดยจะแบ่งออกเป็น 2 รุ่นย่อย สำหรับการจำหน่ายในประเทศไทย ประกอบด้วย รุ่น Standard Range กับแบตเตอรี่ความจุ 44.9 กิโลวัตต์ ให้กำลังสูงสุด 70 กิโลวัตต์ (95 แรงม้า) พร้อมแรงบิดสูงสุด 180 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ใน 12.3 วินาที พร้อมระยะทางสูงสุดทำได้ 410 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง (ตามมาตรฐาน NEDC)
ขณะที่รุ่น Extended Range จะมากับแบตเตอรี่ความจุ 60.48 กิโลวัตต์ สร้างกำลังสูงสุด 150 กิโลวัตต์ (201 แรงม้า) กับแรงบิดระดับ 310 นิวตันเมตร ทำอัตราเร่งเร้าใจจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ใน 7 วินาที และทำระยะทางสูงสุดได้ 490 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง (ตามมาตรฐาน NEDC)
BYD DOLPHIN ทั้งรุ่น Standard Range และรุ่น Extended Range มอบความคุ้มค่าอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ในเรื่องของระบบ
ความปลอดภัย ที่ไล่เรียงมาตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน ไปจนถึงระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูงอัจฉริยะ (ADAS) ซึ่งออกแบบมาเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ และลดความเสี่ยง
ประกอบด้วย ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง, ระบบแจ้งเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยที่นั่งด้านหน้า, จุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ ISOFIX, ระบบตรวจวัดแรงดันลมยาง (TPMS), ระบบป้องกันล้อล็อก (ABS), ระบบเบรกมือไฟฟ้า (EPB), ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวของรถ (ESP), ระบบป้องกันการลื่นไถลขณะขับขี่ (TCS), ระบบควบคุมการกระจายแรงเบรก (EBD), กล้องมองภาพรอบคัน 360 องศา พร้อมสัญญาณเตือนหน้ารถ 2 จุด และหลังรถ 3 จุด
ตลอดจนระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน Adaptive Cruise Control พร้อมฟังก์ชัน Stop and Go, ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ (AEB), ระบบเตือนการชนด้านหน้า (FCW), ระบบช่วยเตือนการชนด้านท้าย (RCW), ระบบเตือนจุดอับสายตา (BSD), ระบบเตือนก่อนเปิดประตู (DOW), ระบบเตือนเมื่อรถออกนอกเลน (LDW), ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (LKA), ระบบเตือนเมื่อมีรถผ่านในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTA), ระบบช่วยเบรกเมื่อมีรถผ่านในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTB)
นอกจากนี้ ยังมีกลไกการล็อกรถมาให้มากถึง 5 รูปแบบ ได้แก่ การล็อกและปลดล็อก ด้วยกุญแจรีโมท, บัตร NFC, BYD Application, กุญแจไข และแบบไม่มีกุญแจ (Keyless Entry)…เรียกได้ว่า ครบเครื่องขนาดนี้ สมกับรางวัล BEST EV Hatchback FWD ที่สุดแน่นอน
BEST EV Performance AWD
BYD SEAL
BYD SEAL พี่ใหญ่สุด กับรุ่นย่อย AWD Performance คว้ารางวัล BEST EV Performance AWD ไปโดยสมบูรณ์แบบในองค์ประกอบต่างๆ เริ่มตั้งแต่ “สไตล์” ความเป็นยนตรกรรมสปอร์ตซีดาน ซึ่งมีแรงบันดาลใจด้านงานดีไซน์มาจาก BYD Ocean Series ความสวยงามของศิลปะแห่งท้องทะเล ผสมผสานด้วยเส้นสายที่โฉบเฉี่ยว จากด้านหน้ารถแบบ X-Shaped Design เสริมจุดเด่นด้วยชุดไฟหน้า LED แบบ Double-U Floating และไฟท้าย LED แบบชิ้นเดียว รูปหยดน้ำ รับกับชุดกันชนหลัง และกระจกมองข้างทรงหยดน้ำ และมือจับประตูที่เก็บซ่อนไปกับตัวรถอย่างสวยงาม
เสริมด้วยรายละเอียดความสปอร์ต จากหลังคากระจกแบบ Panoramic 2 ชั้น ขนาดใหญ่ถึง 1.9 ตร.ม. เคลือบด้วย Silver-Plated เพิ่มประสิทธิภาพในการกันความร้อนจากแสงแดด ล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว พร้อมยาง 235/45 R19 และภายในห้องโดยสารที่เน้นความเร้าใจ ด้วยโทนสีดำ พร้อมเบาะนั่งทรงสปอร์ต ที่มาพร้อมกับฟังก์ชันอำนวยความสะดวกครบครัน
BYD SEAL ทุกรุ่นมากับการนำเสนอเทคโนโลยีล้ำสมัย ที่ประกอบด้วย “e-PLATFORM 3.0” ที่พัฒนามาเพื่อรถยนต์พลังงานไฟฟ้าโดยเฉพาะ ด้วยเทคโนโลยี CTB (Cell-To-Body) การจัดวางแบตเตอรี่และอุปกรณ์ โดยคำนึงถึงความแข็งแรงและปลอดภัย เน้นสมดุลของทุกการขับขี่ ทั้งการเกาะถนน และความนุ่มนวล เพื่อสร้างสมรรถนะที่ดีเยี่ยม
และ “Blade Battery” สุดยอดนวัตกรรมแบตเตอรี่ระดับโลก เอกสิทธิ์เฉพาะ BYD ที่มากับระบบระบายความร้อน เพื่อช่วยควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะสม และมีความปลอดภัยสูง ให้ความมั่นใจ แม้ในสถานการณ์ที่เกิดความเสียหายอย่างรุนแรง โดยขนาดความจุแบตเตอรี่ที่ติดตั้งมากับ BYD SEAL AWD Performance คือ 82.56 กิโลวัตต์-ชั่วโมง
สร้างความทรงพลัง ด้วยกำลังรวมทั้งหมดของมอเตอร์ไฟฟ้าทั้งคู่หน้าและคู่หลัง คือ 390 กิโลวัตต์ หรือเทียบเท่า 530 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 670 นิวตันเมตร สำหรับการขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อ ซึ่งทำอัตราเร่งดุเดือดจาก อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ในเวลาเพียง 3.8 วินาที ตลอดจนทำระยะทางวิ่งสูงสุดได้ที่ 580 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน NEDC)
ขณะเดียวกัน ส่วนประกอบอื่นๆ ก็ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับสมรรถนะร้ายกาจ เช่น ระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบปีกนกคู่ และด้านหลังแบบมัลติลิงก์ จับคู่กับโช้คอัพ FSD (Frequency Selective Damping) ที่ปรับความนุ่มนวลและความแข็งได้โดยอัตโนมัติ เพื่อรองรับทุกสภาพถนนในการขับขี่
นอกเหนือจากความทรงพลังแล้ว BYD SEAL AWD Performance ยังมอบความมั่นใจทุกการขับขี่ ด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยมาตรฐานโลก ที่ติดตั้งมาให้อย่างครบเครื่อง เริ่มต้นจากระดับพื้นฐาน ต่อเนื่องด้วยความอัจฉริยะ ตั้งแต่กล้องมองรอบคัน 360 องศา, เซ็นเซอร์ด้านหน้า 2 ตำแหน่ง และด้านหลัง 4 ตำแหน่ง, ระบบช่วยเบรกอัจฉริยะ, ระบบพวงมาลัยไฟฟ้า (DP-EPS), ระบบป้องกันการลื่นไถลขณะขับขี่ (TCS), ระบบควบคุมการกระจายแรง (EBD), ระบบควบคุมการทรงตัวบนทางลาดชัน (HHC), ระบบควบคุมการไหลของรถอัตโนมัติ (AVH), ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (ACC), ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (AEB), ระบบเตือน เมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลน (LDW), ระบบป้องกันรถเบี่ยงออกนอกเลน (LDP), ระบบช่วยรักษาช่องทางเดินรถฉุกเฉิน (ELKA)
ระบบช่วยเตือนการชนด้านหน้า (FCW), ระบบควบคุมความเร็วอัจฉริยะ (ICC), ระบบช่วยเตือนการชนด้านท้าย (RCW), ระบบจดจำป้ายสัญญาณจราจร (TSR), ระบบแจ้งเตือนจำกัดความเร็วอัจฉริยะ (ISLI), ระบบช่วยควบคุมความเร็วอัจฉริยะ (ISLC), ระบบช่วยเตือนรถเคลื่อนผ่านด้านหน้า (FCTA), ระบบช่วยเบรกเมื่อมีรถเคลื่อนผ่านด้านหน้า (FCTB), ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถผ่านจุดอับสายตา ขณะถอยหลัง (RCTA), ระบบช่วยเบรก เมื่อมีรถผ่านจุดอับสายตา
ขณะถอยหลัง (RCTB), ระบบแจ้งเตือนจุดอับสายตา (BSD), ระบบช่วยเตือนวัตถุเคลื่อนผ่าน ขณะเปิดประตู (DOW), ระบบช่วยเปิดไฟสูงอัตโนมัติ (HMA), ระบบช่วยเตือนความเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (DAW), ระบบแสดงผลบนกระจกหน้า (W-HUD) และระบบควบคุมแรงบิดอัจฉริยะ (ITAC)