BYD รางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี Car of The Year 2025

บริษัท เรเว่ ออโตโมทีฟ จำกัด ผู้นำเข้าและผู้จัดจำหน่ายรถยนต์พลังงานไฟฟ้า BYD และ DENZA อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ภายใต้กลุ่มธุรกิจเรเว่ เดินหน้านำยนตรกรรม BYD เข้าร่วมการประกวดรางวัลอันทรงเกียรติ Car of The Year 2025 พร้อมได้รับความไว้วางใจจากคณะกรรมการตัดสิน คว้ารางวัลใหญ่ถึง 4 สาขา จากเวทีเดียวกัน สะท้อนถึงคุณภาพ และสมรรถนะที่โดดเด่นของรถยนต์จากทั้งสองแบรนด์ได้อย่างชัดเจน โดยรางวัลที่ได้รับของแต่ละสาขา มีดังต่อไปนี้
BEST PLUG-IN HYBRID SUV UNDER 1,500 c.c.
BYD SEALION 6 DM-i PREMIUM
“ความยอดเยี่ยมของเทคโนโลยี DM-i (Dual Mode Intelligent) สุดล้ำ ซึ่งผสานจุดแข็งของรถยนต์ไฟฟ้า (BEVs) และรถยนต์ไฮบริด (HEV) เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว” นี่คือคุณสมบัติของ BYD SEALION 6 DM-iยนตรกรรมอเนกประสงค์ C-SUV ขนาดใหญ่5 ที่นั่ง แบบ Plug-in Hybrid รุ่นแรกจาก BYD ที่ผลิตโดยโรงงาน BYD ประเทศไทยและจุดแข็งที่สร้างความประทับใจได้ดีเกินคาดหมายก็คือ “สมรรถนะ” ที่เกิดขึ้นจากเทคโนโลยี DM-i (Dual Mode Intelligent) Super Hybrid ประกอบด้วย เครื่องยนต์ Xiao Yun ออกแบบเฉพาะ ระบบ Plug-in Hybrid ขนาด 1.5 ลิตร กำลังสูงสุด 72 กิโลวัตต์ แรงบิดสูงสุด 122 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 145 แรงม้า แรงบิด 300 นิวตันเมตรจาก BYD Blade Battery ความจุ 18.3 กิโลวัตต์-ชั่วโมงรวม 2 ระบบ มีกำลังสูงสุด 160 แรงม้า พร้อมแรงบิด 300 นิวตันเมตร
ส่งกำลังผ่านชุดเกียร์อัตโนมัติ E-CVT ที่มาพร้อมโหมดการขับขี่ 3 รูปแบบให้เลือก ได้แก่ Eco, Normal และ Sport เสริมด้วยรูปแบบพลังงานขับเคลื่อน ซึ่งเลือกได้ทั้งแบบไฮบริด (HEV) หรือ ไฟฟ้า (EV) ซึ่งสามารถแยกการทำงานทั้ง 2 ระบบ ได้ 100% เพื่อประสิทธิภาพการทำงานที่ดีขึ้น เช่น ความเร้าใจจากการขับขี่แบบไฮบริด (HEV) ซึ่งการันตีอัตราเร่งจาก 0 -100 กม./ชม. เอาไว้ที่ภายใน 8.3 วินาทีเท่านั้น หรือการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าที่สามารถวิ่งทำระยะได้ไกลสุดถึง 92 กม. ตามมาตรฐาน NEDC อีกทั้งยังมีระบบ Regenerative Braking ที่ช่วยลดการสูญเปล่า ด้วยการดึงพลังงานจากระบบเบรกกลับมาใช้ใหม่ และระบบ V2L ที่สามารถจ่ายกระแสไฟไปยังชุดอุปกรณ์ภายนอกได้อีกด้วย
อีกไฮไลต์ที่น่าสนใจ คือ งานดีไซน์สะดุดตา บนพื้นฐานของยนตรกรรมอเนกประสงค์ C-SUV ภายใต้คอนเซปต์ OCEAN X ซึ่งมีจุดเด่นอยู่ที่กระจังหน้าสไตล์ Frameless ประกบด้วยชุดไฟหน้าในรูปแบบ C-Shape พร้อมระบบ Follow-Me-Home สำหรับรุ่น Premium ในมุมมองด้านข้างนำเสนอความเป็น C-SUV เต็มรูปแบบ ผสมผสานความสปอร์ต และความหรูหรา เช่น การตกแต่งด้วยวัสดุโครเมียม, วัสดุโทนสีดำ พร้อมล้ออัลลอยปัดเงา สีทูโทน ขนาด 19 นิ้ว ขณะที่ด้านหลังมากับความสะดุดตาของแนวหลังคาที่ลาดเอียง รับกับชุดสปอยเลอร์สีเดียวกับตัวรถ, เสาอากาศแบบครีบฉลาม, ราวแร็คหลังคาสีเงิน, ไฟท้าย LED พร้อมการ์ดกันกระแทกด้านท้ายที่โดดเด่นด้วยแถบสีเงิน
ภายในห้องโดยสารยังคงนำเสนอความสปอร์ตผ่านงานดีไซน์ต่างๆ พร้อมฟังก์ชันอำนวยความสะดวกที่ครบครัน อาทิ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันหุ้มหนังสังเคราะห์ทรง D-Shapeที่ลงตัวกับเบาะนั่งหุ้มหนังสังเคราะห์ทรงสปอร์ต โดยมีไฮไลต์สำหรับรุ่น Premium คือ หน้าจอสัมผัสระบบมัลติมีเดีย ปรับหมุนด้วยไฟฟ้า ขนาดใหญ่ถึง 15.6 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth, Apple CarPlay® และ Android Auto™ พร้อมเครื่องเสียง Infinity®และลำโพงถึง 10 ตำแหน่ง
เทคโนโลยีความปลอดภัยที่ BYD SEALION 6 DM-i รุ่น PREMIUM ติดตั้งมาให้อย่างครบครัน ตั้งแต่ ถุงลมนิรภัยคู่หน้าและถุงลมนิรภัยด้านข้าง ทั้งฝั่งคนขับ และผู้โดยสารตอนหน้า พร้อมม่านถุงลมนิรภัยด้านข้าง, ด้านหน้า และด้านหลัง ทำงานร่วมกับระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัย ตลอดจนเข็มขัดนิรภัยคู่หน้า และด้านหลัง แบบผ่อนแรง พร้อมดึงกลับอัตโนมัติ, กล้องมองรอบคัน 360 องศา, เซ็นเซอร์ช่วยตรวจจับวัตถุด้านหน้าและด้านหลังรวม 6 จุดเสริมตัวช่วยล้ำสมัยมากมาย ทั้งระบบ ช่วยเสริมแรงเบรกอัจฉริยะ (HBB), ระบบช่วยกระจายแรงเบรกอัจฉริยะ (HBA), ระบบควบคุมการกระจายแรงเบรก (EBD), ระบบควบคุมการทรงตัวบนทางลาดชัน (HHC)
ระบบช่วยควบคุมการไหลของรถอัตโนมัติ (AVH), ระบบช่วยควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (ACC), ระบบช่วยควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันอัจฉริยะ (ICC), ระบบแจ้งเตือนจำกัดความเร็วอัจฉริยะ (ISLI), ระบบช่วยควบคุมความเร็วอัจฉริยะ (ISLC), ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (AEB), ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน (LDW), ระบบช่วยควบคุมรถไม่ให้ออกนอกช่องทางเดินรถ (LDP), ระบบช่วยเตือนการชนด้านหน้า (FCW), ระบบช่วยเตือนการชนด้านหลัง (RCW), ระบบจดจำป้ายสัญญาณจราจร (TSR), ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถผ่านในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTA), ระบบช่วยเบรกเมื่อมีรถผ่านในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTB), ระบบช่วยเตือนจุดอับสายตา (BSD), ระบบช่วยเตือนวัตถุเคลื่อนผ่านขณะเปิดประตู (DOW), ระบบช่วยเปิดไฟสูงอัตโนมัติ (HMA) หรือแม้กระทั่งระบบตรวจสอบแรงดันลมยาง (TPMS) ก็ตาม
ด้วย ดีไซน์, สมรรถนะ และออปชันต่างๆ ทั้งหมดที่กล่าวมา ทำให้ BYD SEALION 6 DM-i PREMIUM เป็นที่ยอมรับในฐานะยนตรกรรมอเนกประสงค์ C-SUV ซึ่งเพียบพร้อมด้วยความครบครัน ตอบโจทย์ได้ทุกความต้องการ ที่สำคัญ คือ “ราคา” สามารถเข้าถึงได้ง่าย จนกลายเป็นอีกหนึ่ง “จุดแข็ง”ที่ชนะใจคณะกรรมการ จนคว้ารางวัล BEST PLUG-IN HYBRID SUV UNDER 1,500 c.c. ไปครองได้อย่างสวยงาม
BEST STATION WAGON EV
BYD M6
BYD M6 คือยนตรกรรมอเนกประสงค์ MPV พลังไฟฟ้า 100% ซึ่งถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อรองรับทุกความต้องการของครอบครัวยุคใหม่อย่างแท้จริง ด้วยความครบครันที่เกิดขึ้นจากงานออกแบบภายใต้คอนเซปต์ตระกูลราชวงศ์ (Dynasty Series) ซึ่งผสมผสานความเรียบง่าย และทันสมัยเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว
ตั้งแต่ภายนอกที่สะดุดตา ด้วยกระจังหน้า Dragon face 3.0 แรงบันดาลใจมาจาก BYD Dynasty Series จับคู่กับชุดไฟหน้าแบบ LED พร้อมไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED และล้ออัลลอยทูโทน แบบ Dynamic ขนาด 17 นิ้ว
ความพิเศษของ BYD M6 อยู่ในส่วนของห้องโดยสารแบบ 3 แถว ที่กว้างขวาง สะดวกสบาย เพื่อรองรับความต้องการของครอบครัว ด้วยความอเนกประสงค์ของเบาะนั่งโดยสารที่ปรับระดับได้ รวมถึงพื้นที่สำหรับเก็บและจัดระเบียบสัมภาระได้เป็นอย่างดี โดยจะมาพร้อมกับออปชันสิ่งอำนวยความสะดวกที่ติดตั้งมาให้อย่างครบครัน ที่ต่างกันออกไปตามแต่ละรุ่นย่อย
เช่นเดียวกับเทคโนโลยีด้านความปลอดภัย โดยเฉพาะในรุ่นสูงสุด Extended ซึ่งประกอบด้วย ถุงลมนิรภัยคู่หน้า พร้อมถุงลมนิรภัยด้านข้าง ฝั่งคนขับ และผู้โดยสารตอนหน้าเสริมด้วยม่านถุงลมนิรภัยด้านข้าง ทั้งด้านหน้า และด้านหลัง จับคู่กับเข็มขัดนิรภัยคู่หน้า และด้านหลัง แบบผ่อนแรง พร้อมดึงกลับอัตโนมัติ และระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัย ทั้งตอนหน้า และตอนหลัง, กล้องมองภาพรอบคัน 360 องศา พร้อมเซ็นเซอร์ช่วยตรวจจับวัตถุด้านหลัง 4 ตำแหน่ง, ระบบตรวจสอบแรงดันลมยาง (TPMS), ระบบเบรกมือไฟฟ้า (EPB), ระบบเบรกช่วยป้องกันล้อล็อก (ABS) เสริมทัพด้วยตัวช่วยล้ำสมัยด้านการขับขี่ อาทิ ระบบช่วยควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวของรถ (ESC), ระบบช่วยป้องกันการลื่นไถลขณะขับขี่ (TCS), ระบบควบคุมการกระจายแรงเบรก (EBD), ระบบช่วยกระจายแรงเบรกอัจฉริยะ (HBA)
ระบบควบคุมการทรงตัวบนทางลาดชัน (HHC), ระบบช่วยควบคุมการไหลของรถอัตโนมัติ (AVH), ระบบช่วยทำความสะอาดดิสก์เบรก (BDW), ระบบช่วยควบคุมและช่วยป้องกันการพลิกคว่ำ (RMI), ระบบช่วยควบคุมกำลังมอเตอร์เมื่อเหยียบคันเร่งและเบรกพร้อมกัน (BOS), ระบบช่วยควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (ACC), ระบบช่วยควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันอัจฉริยะ (ICC), ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (AEB), ระบบช่วยรักษารถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (LDA), ระบบช่วยเตือนการชนด้านหน้า (FCW), ระบบช่วยเตือนการชนด้านหลัง (RCW), ระบบช่วยรักษาช่องทางเดินรถฉุกเฉิน (ELKA), ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถผ่านในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTA), ระบบช่วยเบรกเมื่อมีรถผ่านในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTB), ระบบช่วยเตือนจุดอับสายตา (BSD) และระบบช่วยเตือนวัตถุเคลื่อนผ่านขณะเปิดประตู (DOW)
จุดเด่นสุดท้าย คือ ความสามารถในการตอบโจทย์ ทั้งในชีวิตประจำวัน หรือการเดินทางท่องเที่ยว ด้วย 2 รุ่นย่อยมาตรฐาน คือ รุ่น Dynamic ขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 120 กิโลวัตต์ พร้อมแรงบิด 310 นิวตันเมตร จาก BYD Blade Battery ขนาด 55.4 กิโลวัตต์-ชั่วโมง สามารถทำระยะทางวิ่งด้วยไฟฟ้าสูงสุด 420 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC ขณะที่รุ่นสูงสุด Extended มากับศักยภาพที่สูงขึ้น ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 150 กิโลวัตต์ พร้อมแรงบิดสูงสุด 310 นิวตันเมตร จาก BYD Blade Battery ขนาด 71.8 กิโลวัตต์-ชั่วโมง และระยะทางวิ่งที่สามารถทำได้ไกลถึง 530 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC โดยทั้ง 2 รุ่นย่อย จะมากับระบบส่งกำลังแบบ 8 in 1 ที่ช่วยให้ระบบมีการประมวลผล พร้อมกับช่วยลดน้ำหนัก เพื่อเพิ่มระยะทางในการขับขี่ด้วยไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งจะเห็นภาพความ “คุ้มค่า” มากยิ่งขึ้น เมื่อเทียบกับ “ราคา” ซึ่งนั่นคือเหตุผลที่ทำให้คณะกรรมการจาก Thailand Car of The Year 2025 มอบรางวัล BEST STATION WAGON EV ให้กับ BYD M6 อย่างไม่มีข้อสงสัยใดๆ
BEST MID-SIZE SUV EV (AWD)
BYD SEALION 7 AWD
BYD SEALION 7 AWD มาพร้อมคุณสมบัติน่าสนใจ เพื่อนำเสนอความเป็น “ที่สุด” ของประสบการณ์การขับขี่แบบสปอร์ตรักษ์โลก เพื่อสร้างนิยามใหม่ให้กับรถยนต์กลุ่ม C-SUV ด้วยการนำดีไซน์สปอร์ต ซึ่งมีแรงบันดาลใจจากมหาสมุทร มาผสมผสานเข้ากับความหรูหรา บนพื้นฐานของยนตรกรรมสไตล์ Fastback
ซึ่งมีด้านหน้ามากับดีไซน์ “Ocean X” ที่สะดุดตาด้วยรูปทรงตัว “X” สะท้อนความล้ำสมัย และทรงพลัง เสริมด้วยชุดไฟหน้า “Double U” ต่อเนื่องกับเสา A-Pillar ลาดเอียงเชื่อมต่อกับหลังคาแบบ Fastback และสปอยเลอร์หลัง สร้างความรู้สึกแบบ SUV Coupe อย่างสมบูรณ์แบบ ก่อนปิดท้ายด้วยฝากระโปรงหลัง ประกบไฟท้ายทรงหยดน้ำแบบไดนามิกแนวนอน พร้อมไฟเบรกดวงที่สาม เสริมด้วย Dot-Matrix ภายในชุดไฟหน้า และชุดไฟท้าย ช่วยเพิ่มความหรูหรา สะดุดตา
ขณะส่องสว่างบนท้องถนน
ภายในห้องโดยสารเลือกใช้วัสดุระดับพรีเมียมกว่า 80% และการติดตั้งสิ่งอำนวยความสะดวกสบายมาให้แบบครบครัน ในขั้นที่สามารถเรียกได้ว่าเป็น “ห้องโดยสารอัจฉริยะ BYD Intelligent Cockpit” เช่น เบาะนั่งคู่หน้าแบบไฟฟ้า พร้อมระบบบันทึกตำแหน่ง, ระบบระบายอากาศ และ Welcome Seat ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ 2 โซน พร้อมระบบทำความร้อน, กรองอากาศ PM 2.5 ระดับ CN95 และระบบ IONIZER, หน้าจอสัมผัสระบบมัลติมีเดีย ขนาด 15.6
นิ้ว, ระบบเครื่องเสียง DYNAUDIO ลำโพง 12 ตำแหน่ง, หลังคา Panoramic Glass Roof ช่วยลดความร้อน และกรองแสง UV, กระจกบังลมหน้า และกระจกหน้าต่างด้านหน้าแบบเก็บเสียง, กระจกส่วนตัวสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง และไฟ Ambient Light ภายในห้องโดยสารที่มีมากถึง 128 สี ซึ่งทั้งหมดนี้ ล้วนช่วยสร้างสุนทรียภาพในการขับขี่ได้อย่างน่าประทับใจทีเดียว
สมรรถนะเกินคาดหมายของ BYD SEALION 7 AWD เกิดขึ้นจาก Blade Battery ความจุ 82.5 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าคู่หน้า 160 กิโลวัตต์ พร้อมแรงบิดสูงสุด 310 นิวตันเมตร จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าคู่หลัง 230 กิโลวัตต์และแรงบิดสูงระดับ 380 นิวตันเมตร สร้างความดุดันด้วยกำลังรวมระดับ 390 กิโลวัตต์ พร้อมแรงบิด 690 นิวตันเมตร โดยส่งกำลังอัจฉริยะ 8 in 1 สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ในเวลาเพียง 4.5 วินาที กับระยะทางวิ่งสูงสุด 542 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC ระบบช่วงล่างของ BYD SEALION 7 AWD ถือเป็นอีกหนึ่งความพิเศษ จากพื้นฐานด้านหน้าแบบอิสระ ปีกนกคู่ จับคู่กับด้านหลังแบบมัลติลิงก์ ทำงานร่วมกับระบบกันสะเทือนปรับอัตโนมัติตามความเร็วแบบ FSD (Frequency Selective Damping)
ก่อนจะก้าวสู่ศักยภาพความสปอร์ตถึงขีดสุด ภายใต้ความมั่นใจจากเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ติดตั้งมาให้อย่างแน่นหนา ตั้งแต่ระดับพื้นฐาน ไปจนถึงตัวช่วยสำคัญต่อการขับขี่ อาทิ ระบบช่วยควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวของรถ (ESC), ระบบช่วยป้องกันการลื่นไถลขณะขับขี่ (TCS), ระบบควบคุมการกระจายแรงเบรก (EBD), ระบบควบคุมการทรงตัวบนทางลาดชัน (HHC), ระบบช่วยควบคุมการไหลของรถอัตโนมัติ (AVH), ระบบช่วยเบรกอัจฉริยะ, ระบบควบคุมแรงบิดอัจฉริยะ (ITAC), ระบบช่วยควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (ACC), ระบบช่วยควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันอัจฉริยะ (ICC), ระบบจดจำป้ายสัญญาณจราจร (TSR), ระบบแจ้งเตือนจำกัดความเร็วอัจฉริยะ (ISLI), ระบบช่วยควบคุมความเร็วอัจฉริยะ (ISLC), ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (AEB), ระบบช่วยเตือนการชนด้านหน้า (FCW), ระบบช่วยเตือนการชนด้านหลัง (RCW), ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน (LDW), ระบบช่วยควบคุมรถไม่ให้ออกนอกช่องทางเดินรถ(LDP), ระบบช่วยรักษาช่องทางเดินรถฉุกเฉิน (ELKA), ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถเคลื่อนผ่านจุดอับสายตาด้านหน้า (FCTA), ระบบช่วยเบรกเมื่อมีรถเคลื่อนผ่านจุดอับสายตาด้านหน้า (FCTB), ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถผ่านในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTA), ระบบช่วยเบรกเมื่อมีรถผ่านในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTB), ระบบช่วยเปิดไฟสูงอัตโนมัติ (HMA), ระบบช่วยเตือนจุดอับสายตา (BSD), ระบบช่วยเตือนวัตถุเคลื่อนผ่านขณะเปิดประตู (DOW), ระบบช่วยแจ้งเตือนอันตรายจากพฤติกรรมของผู้ขับขี่ (DMS) และท้ายสุด กับระบบตรวจสอบแรงดันลมยาง (TPMS)
ด้วยเพราะรายละเอียดทั้งหมดที่กล่าวมา อยู่ในยนตรกรรมอเนกประสงค์ SUV พลังงานไฟฟ้า BYD SEALION 7 AWD เป็นที่เรียบร้อย เพราะฉะนั้น จึงไม่มีรางวัลใดเหมาะสมไปกว่า BEST MID-SIZE SUV EV (AWD) อีกแล้ว
THE MOST VALUABLE MPV EV
DENZA D9
DENZA (เดนซ่า) คือแบรนด์ยนตรกรรมพลังงานใหม่ในกลุ่มธุรกิจ BYD นำเสนอรถยนต์พลังงานไฟฟ้าหลากหลายประเภท เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค…เปิดตัวด้วย “DENZA D9” ยนตรกรรมอเนกประสงค์ MPV พลังไฟฟ้า 100% ที่สร้างเสียงฮือฮา พร้อมยอดจำหน่ายอย่างคาดไม่ถึงในช่วงปลายปีที่ผ่านมา จนทำให้คว้ารางวัล THE MOST VALUABLE MPV EV จาก Thailand Car of The Year 2025 ไปได้อย่างสมศักดิ์ศรี
เริ่มจากการออกแบบภายใต้แนวคิด DENZA Motion เสริมรายละเอียดโดดเด่นบนความหรูหราเหนือระดับ ด้วยงานดีไซน์ Pi Motion ในมุมมองด้านหน้า ซึ่งลงตัวกับไฟหน้ารูปแบบ Meteor Arrow และไฟท้าย จากแนวคิดฝนดาวตกแห่งกาลเวลาส่วนภายในห้องโดยสารกว้างขวาง ด้วยสไตล์ของยนตรกรรมอเนกประสงค์ 7 ที่นั่งนำเสนอความน่าสนใจด้วย “ออปชันล้ำสมัย” ด้วยไฮไลต์ของระบบมัลติมีเดีย เช่น หน้าจอผู้โดยสารตอนหน้าขนาด 15.6 นิ้ว จับคู่กับเครื่องเสียงระดับโลก Dynaudio Hi-Fi Class พร้อมลำโพง 14 ตำแหน่ง ที่พักแขนเบาะนั่งโดยสารแถวที่สอง พร้อมหน้าจอ LCD แบบมัลติฟังก์ชัน และจุดชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สายทั้งหมด 3 ตำแหน่ง ทั้งยังมีระบบตู้เย็นภายในรถ ที่สามารถปรับแต่งได้ตั้งแต่ -6 จนถึง 50 องศา รวมถึงสัญญาณอินเทอร์เน็ต 4G ในตัว ที่จะช่วยให้การเชื่อมต่อโลกออนไลน์เป็นไปอย่างราบรื่นทุกเส้นทาง
เช่นเดียวกับเทคโนโลยีช่วยเหลือการขับขี่อัจฉริยะ DENZA ADAS ที่ติดตั้งมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เพื่อยกระดับความมั่นใจ และใช้สมรรถนะของ DENZA D9 ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า โดยพลังงานของ BYD Blade Battery ขนาด 103.36 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ทั้ง 2 รุ่นย่อยมาตรฐาน โดยใน DENZA D9 รุ่นPremium ขับเคลื่อน 2 ล้อหน้า จะมีกำลังสูงสุดที่ 230 กิโลวัตต์ พร้อมแรงบิด 360นิวตันเมตร พร้อมระบบช่วงล่างปรับอัตโนมัติตามความเร็วแบบ FSD สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 9.5 วินาที และขับขี่ได้ไกลถึง 600 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC ขณะที่ DENZA D9 รุ่นสูงสุด Performance AWD เร้าใจยิ่งขึ้น ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าด้านหน้า กำลังสูงสุด 230 กิโลวัตต์ พร้อมแรงบิด 360 นิวตันเมตร และมอเตอร์ไฟฟ้าด้านหลัง 45 กิโลวัตต์ พร้อมแรงบิด 110 นิวตันเมตร ทั้งยังให้ความมั่นใจได้มากขึ้นจากระบบ DiSus-C เทคโนโลยีช่วงล่างแบบไฟฟ้า รองรับการปรับแต่งผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมรถได้ดียิ่งขึ้น โดยสามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 6.9 วินาที พร้อมระยะการขับขี่ได้ไกลที่ 580 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC