C400GT  พรีเมี่ยมสกู๊ตเตอร์ เริ่มต้น 435,000 บาท เท่ล้นคัน ครบจบในคันเดียว

ตอบโจทย์ทุกการขับขี่ เบาะนั่ง 2 ตอน ประดับแพทเทิร์นหนังข้าวหลามตัด ยกเบาะหน้าขึ้นได้ แถมชุดแฟริ่งข้างยังมีช่องระบายอากาศร้อนออกจากห้องเครื่องที่ดูเหมือนรถแต่งซิ่งคลาสสิกอีกด้วย ว่าแล้วก็ไปรู้จักกันให้เต็ม ๆ มากขึ้นดีกว่า

 ค่ายใบพัดสีฟ้า BMW ทดลองชิมลางในตลาดรถสกู๊ตเตอร์ด้วยการส่งโมเดลต้นแบบรหัส C1 ออกสู่ตลาดราวปี 2000 โดยชูจุดเด่นเรื่องมาตรฐานความปลอดภัย ภายใต้การออกแบบของตัวรถที่มีหลังคาครอบคลุม รวมไปถึงยังมีระบบเข็มขัดนิรภัยแบบ 4 จุดบนเบาะนั่งแบบรถยนต์ด้วย โดยมีให้เลือก 2 รุ่นทั้งขนาด 125 และ 200 ซี.ซี. ทว่าผลตอบรับจากตลาดไม่สู้ดีนักทำให้ต้องหยุดสายพานการผลิตลงไปในปี 2002 … จากนั้นราวปี 2010 BMW ปรับแก้เกมด้วยการส่งสายพันธุ์สกู๊ตเตอร์ภายใต้รหัส C ลงแข่งขันในตลาดอีกครั้ง โดยพุ่งเป้าไปที่กลุ่มบิ๊กสกู๊ตเตอร์  โดยการส่งโมเดล C600 Sport และC650GT ซึ่งครั้งนี้ถือว่าผลตอบรับเป็นที่น่าพอใจ

ต่อมาในปี 2017 ต้นสังกัดเสริมแนวรุกในตลาดอีกครั้งด้วยการ BMW C400X และ C400GT เพื่อเป็นทางเลือกในกลุ่มสกู๊ตเตอร์คลาสกลาง โดยทั้งสองรุ่นมีเครื่องยนต์พื้นฐานแบบเดียวกัน ต่างกันที่รหัส X มาพร้อมหุ่นทรงดีไซน์ที่มีกลิ่นอายตามแบบฉบับสายลุย ในขณะที่รหัส GT มาพร้อมความหรูหราตามแบบฉบับของรถเดินทาง … ซึ่งครั้งนี้โมเดลที่เลือกมาแนะนำกันเป็นรุ่นที่ต้นสังกัด BMW MOTORRAD ยังทำตลาดอยู่สำหรับ BMW C400GT 

ถูกวางตัวให้เป็นขุนศึกในแนวรบของกลุ่มรถสกู๊ตเตอร์คลาสกลาง ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในเมืองไทย … โดดเด่นด้วยการออกแบบหุ่นทรงที่ดูปราดเปรียวด้วยเหลี่ยมสันตามแบบฉบับรถสปอร์ต มีมิติใกล้เคียงกันกับคู่แข่งในตลาด โฉบเฉี่ยวด้วยไฟหน้าแบบ Full LED พร้อมไฟ Day Time Running Light มาพร้อมกับชิวด์บังลมด้านหน้าขนาดค่อนข้างใหญ่สามารถตัดกระแสลมได้เป็นอย่างดีในการขับขี่ที่ย่านความเร็วสูง ทว่าไม่สามารถปรับระดับความสูงต่ำได้ทำให้อาจรบกวนสายตาบ้างสำหรับผู้ขับขี่ที่ยังปรับตัวไม่ได้

หัวใจของความแรงเป็นเครื่องยนต์แบบสูบเดียว 4 จังหวะ ซิงเกิ้ลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์ 4 วาล์ว ระบายความร้อนด้วยน้ำ มีปริมาตรความจุกระบอกสูบ 349 ซี.ซี. มีระบบหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ขนาด 40 มม. ทำหน้าที่จ่ายเชื้อเพลิงเข้าสู่ห้องเผาไหม้ โดดเด่นด้วยระบบ E–Gas: Ride by Wire ที่ทำให้การตอบสนองของคันเร่งทำได้อย่างราบลื่นนุ่มนวลแม้ในย่านความเร็วต่ำ รวมไปถึงยังช่วยให้การเผาไหม้ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพเครื่องยนต์มากขึ้น ช่วยให้ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง รวมไปถึงยังผ่านมาตรฐาน Euro 5 ด้วย โดยสมรรถนะสูงสุดตามที่ต้นสังกัดเคลมมานั้นมันสามารถรีดแรงม้าสูงสุดได้ถึง 34 แรงม้า ที่ 7,500 รอบ/นาที ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 139 กม./ชม. และอัตราสิ้นเปลืองที่ 3.5 ลิตร ต่อระยะทาง 100 กม. 

ในส่วนของระบบกันสะเทือนทางด้านหน้าเป็นแบบเทเลสโกปิก ขนาดแกนโช้ค 35 มม. ให้ระยะยุบสูงสุดที่ 110 มม. ส่วนทางด้านหลังเป็นแบบโช้คคู่ที่สามารถปรับตั้งค่าปรีโหลดได้ให้ระยุบสูงสุด 112 มม. ระบบเบรกถือว่าเป็นอุปกรร์พื้นฐานติดรถที่ดูเหมือนจะเหนือกว่าคู่แข่งในตลาดเมืองไทยด้วยการให้ระบบเบรกดิสก์หน้าจานคู่ขนาด 265 มม. มาพร้อมกับคาลิเปอร์แบบ 4 ลูกสูบ ในขณะที่ด้านหลังเป็นปั้ม 2 ลูกสูบทำงานร่วมกับจานเดี่ยวขนาด 265 มม. เพิ่มความมั่นใจในการหยุดรถด้วยระบบป้องกันล้อล็อค ABS … ขนาดล้อยางหน้า – หลังที่ติดตั้งจากโรงงานมีขนาด 120/70 – 15 และ 150/70 – 14 ตามลำดับ

 บทสรุป

จากการที่ได้ทดลองขับขี่ BMW C400GT ส่วนตัวประทับใจในเรื่องของอัตราเร่ง ของรถ รู้สึกได้เลยเป็นรถอีกรุ่นที่ขับขี่ได้สนุก เดินทางใกล้ได้ดี เดินทางไกลได้สบาย ชื่นชอบเรือนไมล์ และปุ่มควบคุมที่แฮนด์ สามารถทำงานด้วยกันได้อย่างดี รวมไปถึงเบาะขนาดใหญ่ นั่งได้อย่างนุ่มนวล และแน่นอนว่าหน้าตาที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร ทำให้รู้สึกแตกต่างบนท้องถนน

ส่วนที่อยากให้ปรับปรุงเพิ่มเติม หรือขัดใจ ก็คงเป็นเรื่องของฟังชัน และลูกเล่นมีมาให้น้อยไปหน่อย ทั้งที่รู้สึกว่าระบบน่าจะรองรับให้ได้หลากหลายเหมือนรุ่นใหญ่ ๆ ในค่ายเอง และอีกเรื่องคงเป็นเรื่องของราคาที่น่าเสียดายมากกับรถคุณภาพ ที่อาจจะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ไม่กว้างเท่าไรนัก