Car of The Year 2018 : FORD
[vc_row][vc_column][vc_single_image image=”58111″ img_size=”full”][vc_column_text]Best Hatchback Under 1,600 c.c.
Ford Focus EcoBoost Turbo 1.5L
ด้วยดีไซน์ภายนอกที่โดดเด่นและยังอัดแน่นด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ด้วยเครื่องยนต์ EcoBoost เทอร์โบ แบบ 4 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร ที่สร้างนิยามใหม่ให้แก่วงการรถยนต์ไทย ที่ได้ทั้งขุมพลังความแรงและความสนุกสนานในการขับขี่ จนทำให้สามารถคว้ารางวัลสุดยอดรถยนต์แฮตช์แบ็กพิกัด 1,600 ซี.ซี. มาครองได้อย่างไร้ข้อกังขา ซึ่งความโดดเด่นจะมีอะไรบ้าง สามารถติดตามได้ใน Car of The Year 2018
EcoBoost Turbo 1.5L นวัตกรรมแห่งความแรงและประหยัด
Ford Focus EcoBoost Turbo 1.5L มาพร้อมกับเครื่องยนต์คาดไม่ถึง นั่นก็คือพละกำลังมหาศาล ด้วยระบบอัดอากาศ Turbo Charger จึงทำให้เครื่อง 1,500 ซี.ซี. สามารถรีดกำลังออกมาได้มากถึง 180 แรงม้า โดยใช้วัสดุอะลูมิเนียมเพื่อช่วยลดน้ำหนักของเครื่องยนต์และช่วยระบายความร้อนได้ดีขึ้น สามารถสร้างแรงบิดได้สูงสุด 240 นิวตันเมตร แบบ Flat-Torque Curve ตั้งแต่ 1,600-5,000 รอบ/นาที พร้อมทั้งให้กำลังสูงสุด 180 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที ในด้านระบบเทอร์โบชาร์จ ได้ใช้ไอเสียของเครื่องยนต์เข้ามาช่วยอัดอากาศในกระบอกสูบอีกรอบ จึงทำให้เครื่องยนต์สามารถสร้างแรงบิดสูงสุดได้ตั้งแต่รอบต่ำ นอกจากนี้การใช้ใบพัดเทอร์โบขนาดเล็กและน้ำหนักเบา จะช่วยลดอาการรอรอบที่พบได้ในเครื่องยนต์เทอร์โบทั่วไป ระบบแปรผันแคมชาฟต์ แบบอิสระคู่ (Ti-VCT) เครื่อง EcoBoost สามารถควบคุมวาล์วไอดีและไอเสียได้อย่างอิสระและแม่นยำ ทำให้การทำงานสามารถสอดประสานกับรอบเครื่องยนต์เพื่อประสิทธิภาพการเผาไหม้สูงสุด ผลที่ได้คือช่วงแรงบิดที่กว้างขึ้น และสามารถลดอาการ Turbo-Lag ในรอบต่ำได้ และระบบไดเร็กอินเจ็กชันที่ถูกออกแบบให้ฉีดตรงเข้าสู่กระบอกสูบ เพื่อให้ห้องเผาไหม้เย็นลงและสามารถสร้างกำลังอัดเครื่องยนต์ได้สูงขึ้น ส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานเต็มประสิทธิภาพและให้กำลังสูงกว่าเครื่องยนต์ระบบท่อฉีด (Port-Injected) ทั่วไป ซึ่งความแรงทั้งหมดนี้ ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติแบบทอร์คคอนเวอร์เตอร์ 6 จังหวะ รองรับเชื้อเพลิง E85 ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 161 กรัมต่อกิโลเมตร
ภายนอกและภายในคงความแรงแบบมีสไตล์
รูปลักษณ์ภายนอกของ Ford Focus EcoBoost Turbo 1.5L มีความสปอร์ตตั้งแต่ด้านหน้าจดด้านหลัง ไม่ว่าจะเป็น ไฟหน้า LED Daytime Running Light แบบเปิด-ปิด อัตโนมัติ ช่วยให้ผู้ขับขี่บนท้องถนนมองเห็นคุณได้ชัดเจนขึ้น มาพร้อมไฟตัดหมอกที่ช่วยเพิ่มความสปอร์ต ซึ่งออกแบบรับกับกระจังหน้าทรงสี่เหลี่ยมคางหมู ไฟท้าย LED ทรงครีบฉลาม สปอยเลอร์ สเกิร์ตรอบคันพร้อมกันชนหน้า-หลัง ที่ออกแบบมาใหม่ และสปอยเลอร์หลังขนาดใหญ่ ที่ออกแบบมาตามหลักอากาศพลศาสตร์ ช่วยเพิ่มแรงกดให้รถเกาะถนนอย่างมั่นคง แม้ขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูง
นอกจากนี้ ตัวรถได้รับการพัฒนาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานให้มากยิ่งขึ้น อาทิ เพิ่มระบบช่วยเหลือผู้ขับ เน้นการขับที่สนุกสนานและมีประสิทธิภาพ พร้อมปรับปรุงเรื่องการลดเสียงรบกวนและความสั่นสะเทือนด้วยกระจกหน้าแบบลดเสียงรบกวน และกระจกข้างที่หนาขึ้น ปรับปรุงซีลยางประตูบานท้าย วัสดุบุซุ้มล้อหน้า เพิ่มฉนวนป้องกันเสียงในบานประตู และเพิ่มความหนาของพรมปูพื้น ส่วนด้านท้ายถูกออกแบบประตูท้ายใหม่ เพื่อให้รับกับไฟท้ายดีไซน์ใหม่ ติดตั้งกันชนท้ายดีไซน์ใหม่ ออกแบบให้ดูสปอร์ตมากขึ้น พร้อมสปอยเลอร์บริเวณเหนือประตูท้าย ด้วยปรับอากาศพลศาสตร์ให้เหมาะสม
ภายในห้องโดยสารถูกออกแบบโดยคำนึงถึงผู้ขับขี่เป็นหลัก ด้วยการออกแบบที่เรียบหรูใช้งานง่าย และเต็มเปี่ยมไปด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบาย ทั้งช่องเสียบ USB 2 ช่อง ช่องเสียบสายไฟขนาด 12 โวลต์ และที่วางแก้วแบบปรับระดับได้ พวงมาลัยแบบ 3 ก้าน ดีไซน์สปอร์ต ถูกออกแบบมาให้กระชับมือในทุกการใช้งาน ซึ่งภายในพวงมาลัยมีปุ่มมัลติฟังก์ชันสั่งการชุดเครื่องเสียงที่มีหน้าจอแบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว ที่สามารถเชื่อมต่อโลกทั้งใบได้ตามใจ ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนามาเพื่อตอบสนองทุกการใช้งานในระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNCTM3 ทั้งดีไซน์และอินเตอร์เฟสที่ง่ายต่อการใช้งาน มาพร้อมฟังก์ชันใหม่ล่าสุด ที่สนับสนุนการทำงานร่วมกับ SIRI Seamless Integration และ Apple CarPlay และ Android Auto เปลี่ยนสวิตช์ควบคุมแอร์ใหม่ และคอนโซลเกียร์ใหม่ ระบบความปลอดภัยมีโครงสร้างตัวถังเหล็กกล้า เสริมคานรับแรงรอบคัน พร้อมแอร์แบ็ก 6 จุด ได้แก่ คู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัย
อัดแน่นด้วยเทคโนโลยี ทุกฟังก์ชันการใช้งาน
Ford Focus EcoBoost Turbo 1.5L มาพร้อมกับระบบช่วยจอดอัจฉริยะแบบเทียบข้างและถอยเข้าซอง (Enhance Active Park Assist) เทคโนโลยีล่าสุดที่ช่วยให้การเข้าจอดของคุณเป็นเรื่องง่าย ทั้งการเข้า-ออก ของการจอดแบบขนาน และการเข้าจอดแบบเข้าซอง โดยระบบจะค้นหาช่องว่างที่เหมาะสมสำหรับรถคุณด้วยคลื่นอัลตร้าโซนิกที่ติดอยู่รอบตัวรถ หลังจากนั้นจะทำการบังคับพวงมาลัยเข้าจอดเอง โดยที่ผู้ขับขี่มีหน้าที่เพียงแค่ควบคุมเบรกและเข้าเกียร์ด้วยตัวเอง อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือระบบกล้องมองหลังและสัญญาณเซ็นเซอร์ 360 องศา ที่สามารถตรวจจับวัตถุได้รอบคัน ระบบกล้องมองหลังจะทำงานทันทีและแสดงผลมาที่หน้าจอ เพื่อให้คุณมองเห็นสิ่งกีดขวางทางด้านหลังได้อย่างชัดเจน พร้อมเส้นองศาวงเลี้ยวของพวงมาลัยเพื่อความสะดวกในการถอยจอด พร้อมทั้งหน้าจอจะแสดงผลระบบสัญญาณเซ็นเซอร์รอบคัน เพื่อช่วยให้มั่นใจได้ว่ารถคุณจะปลอดภัยจากสิ่งกีดขวางรอบตัวรถ นอกจากนี้ยังมีระบบช่วยเบรกที่ความเร็วต่ำ (Active City Stop) ซึ่งเป็นระบบที่ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุจากการเบรกฉุกเฉินของรถคันหน้า ในสภาวะที่การจราจรเคลื่อนตัวที่ความเร็วต่ำ (ความเร็วต่ำกว่า 50 กม./ชม.) หากเซ็นเซอร์ด้านหน้าตรวจจับได้ว่ารถคันหน้าอยู่ใกล้มากเกินไป ระบบจะสั่งให้เบรกทำงานเองอัตโนมัติ
ซึ่งทั้งหมดที่เรากล่าวมานี้ คือความสุดยอดแบบเหนือชั้นที่ทำให้เหล่าคณะกรรมการผู้ทดสอบได้ลงความเห็นให้ Ford Focus EcoBoost Turbo 1.5L คว้ารางวัล Best Hatchback Under 1,600 c.c. ในปีนี้มาครอง
[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_separator][vc_single_image image=”58129″ img_size=”full”][vc_column_text]Best Performance Pickup Over 3,000 c.c.
Ford Ranger Double Cab 3.2L Wildtrak 4×4 6AT
ยังเป็นรถปิกอัพสายพันธุ์แกร่งที่โดดเด่นเหนือคู่แข่งสไตล์อเมริกันแท้ๆ ด้วยการผสมผสานสมรรถนะอันแข็งแกร่ง ความประณีต และเทคโนโลยีอัจฉริยะต่างๆ อันล้ำสมัย ฟอร์ด เรนเจอร์ มาพร้อมความประณีต สะดวกสบายระดับรถยนต์นั่ง แต่ยังโดดเด่นด้วยมาตรฐานความแกร่งสมบุกสมบัน ซึ่งเป็นเหตุผลให้ Ford Ranger Double Cab 3.2L Wildtrak 4×4 6AT สามารถคว้ารางวัล Best Performance Pickup Over 3,000 c.c. มาครองได้สำเร็จ ความยอดเยี่ยมจะมีอะไรบ้าง ติดตามได้ใน Car of The Year 2018
ภายนอกแข็งแกร่ง ดุดัน
Ford Ranger Double Cab 3.2L Wildtrak 4×4 6AT มาพร้อมกับรูปลักษณ์ภายนอกที่บ่งบอกถึงสมรรถนะที่เหนือชั้น ดีไซน์ที่ดุดันและโฉบเฉี่ยวบนท้องถนน สะท้อนถึงความสมบุกสมบันของตัวรถและความมั่นใจของผู้ขับขี่ กระจังหน้าเชื่อมต่อกับไฟหน้าแบบโปรเจ็กเตอร์ ขับเน้นให้ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ ดูกว้าง บึกบึน และแข็งแกร่ง เปี่ยมด้วยสมรรถนะ พร้อมรับทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะต้องลุยน้ำ บรรทุกสัมภาระหนัก หรือขึ้น-ลง ทางลาดชันสุดวิบากบนพื้นผิวทราย ให้คุณมั่นใจทุกเส้นทางด้วยความสามารถในการลุยน้ำได้ถึง 800 มิลลิเมตร ศักยภาพการลากจูงและบรรทุกสัมภาระหนัก พร้อมด้วยระบบล็อกเฟืองท้ายแบบไฟฟ้าที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการลากจูงสูงสุด 3,500 กิโลกรัม
ภายในอัดแน่นด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย
สำหรับความพิเศษของ Ford Ranger Double Cab 3.2L Wildtrak 4×4 6AT ต้องเครดิตให้กับเทคโนโลยีอัจฉริยะ ให้ผู้ขับขี่ใช้ชีวิตได้คุ้มค่ายิ่งขึ้น ทั้งในวันทำงานและวันพักผ่อนกับครอบครัว อาทิ นวัตกรรมใหม่ทางเทคโนโลยี ระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC™ 2 การทำอะไรได้หลายๆ อย่างในเวลาเดียวกัน เป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับการทำงาน ด้วยระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC™2 ช่วยให้สามารถทำงานไปด้วยในขณะขับรถ โดยที่ไม่ต้องละมือจากพวงมาลัยและละสายตาจากถนน เพียงแค่ออกคำสั่งเสียงง่ายๆ ก็สามารถรับสาย โทรออก เปลี่ยนเพลงที่เล่น หรือปรับอุณหภูมิภายในรถ ผ่านหน้าจอแสดงข้อมูลจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว SYNC™2 ที่มาพร้อมกับช่อง USB ถึง 2 ช่อง ทำให้คุณสามารถชาร์จโทรศัพท์มือถือ และใช้งานช่อง USB อีกช่องเพื่อความบันเทิงในระหว่างที่ขับรถอยู่ได้ นอกจากนี้ ยังมีช่องเสียบการ์ด SD และช่องต่อสาย RCA เพื่อให้ตรวจสอบภาพถ่าย หรือแม้แต่วิดีโอได้ โดยไม่จำเป็นจะต้องกลับเข้าไปที่ทำงานหรือกลับไปที่บ้าน นอกจากนี้ในระหว่างเรือนไมล์ยังมีจอ LCD ขนาด 4.2 นิ้ว อีกสองจอบนแผงหน้าปัด ซึ่งหน้าจอด้านขวาจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับระบบ SYNC™2 เช่น การตั้งค่าโทรศัพท์และเพลงที่กำลังเล่น ในขณะที่จอด้านซ้ายจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวรถ เช่น อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันโดยการใช้ปุ่มควบคุมบนพวงมาลัย
เพิ่มความสะดวกสบายในการเดินทาง ด้วยระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ สามารถตั้งความเร็วตามที่ต้องการ และถอนเท้าออกจากคันเร่งเพื่อเปลี่ยนอิริยาบถ และระบบจำกัดความเร็วแบบปรับได้ บนถนนที่มีการจำกัดความเร็ว การควบคุมความเร็วของรถให้คงที่อาจเป็นเรื่องยากเมื่อขับรถที่สมรรถนะสูงอย่าง ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ ระบบจำกัดความเร็วแบบปรับได้ จะช่วยให้คุณรักษาระดับความเร็วที่จำกัดไว้ตามที่กฎหมายกำหนดได้ เพียงแค่คุณตั้งความเร็วสูงสุดไว้เท่านั้น และในสถานการณ์ฉุกเฉิน หากคุณต้องการใช้ความเร็วเกินจากที่ได้ตั้งไว้ คุณสามารถยกเลิกการจำกัดความเร็วได้ เพียงเหยียบคันเร่งให้สุดเท่านั้น อีกหนึ่งไฮไลต์ที่ขาดไม่ได้คือ กล้องมองหลังและสัญญาณเตือนระยะถอยหลัง ที่ทำให้การจอดรถในเมืองง่ายยิ่งขึ้น กล้องมองหลังจะช่วยให้มองเห็นสิ่งที่อยู่ข้างหลังได้ดีขึ้น และสัญญาณเตือนระยะถอยหลังที่ด้านหน้าและหลังรถ จะคอยตรวจจับวัตถุทุกชนิดที่อยู่ในระยะถอย จึงช่วยให้คุณจอดรถได้อย่างมั่นใจ
นอกจากนี้ยังมีพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า EPAS ช่วยปรับให้พวงมาลัยมีน้ำหนักเบาเมื่อขับด้วยความเร็วต่ำ เช่น กรณีเข้าช่องจอด และเน้นความแม่นยำเมื่อขับที่ความเร็วสูง โดยมีการตั้งค่าที่แตกต่างกันไปตามความเร็วของรถ มุมเลี้ยวของแรงเหวี่ยงพวงมาลัยขณะเข้าโค้ง และอัตราการเร่งหรือลดความเร็ว เป็นต้น นอกจากนี้ยังมี Wi-Fi Hotspot พร้อมช่องชาร์จไฟแบบ 230 โวลต์ ซึ่งสามารถใช้ชาร์จไฟ Laptop ได้ เบาะนั่งฝั่งผู้ขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง ปิดท้ายด้วยไฟส่องสว่างกระบะหลัง เพื่อความสะดวกในการเก็บหรือหาสิ่งของในเวลากลางคืน
ขุมพลังแกร่ง อัดแน่นด้วยระบบความปลอดภัย
Ford Ranger Double Cab 3.2L Wildtrak 4×4 6AT มาพร้อมกับขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล Duratorq TDCi VG Turbo ขนาด 3.2 ลิตร แบบ 5 สูบ รุ่นล่าสุด ที่มีการติดตั้งระบบหมุนเวียนไอเสียแบบใหม่ ที่ช่วยประหยัดน้ำมันมากขึ้น มอบพละกำลังสูงสุด 200 แรงม้าและแรงบิด 470 นิวตันเมตร ส่งผ่านกำลังด้วยระบบเกียร์เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด
นอกจากนี้ ยังมาพร้อมระบบความปลอดภัยเต็มรูปแบบ อาทิ ระบบป้องกันล้อล็อก ABS และระบบกระจายแรงเบรก EBD ระบบควบคุมความเร็วขณะลงเขา เบรกจะทำงานโดยอัตโนมัติเมื่อต้องการ เพื่อชะลอความเร็วของรถในขณะลงเขา และในสภาวะพื้นผิวถนนที่ท้าทาย ระดับความเร็วจะปรับได้โดยการเหยียบคันเร่งหรือการปรับระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติบนพวงมาลัย ระบบช่วยออกตัวในทางลาดชัน หมดกังวลกับการไหลของรถเมื่อออกตัวหรือถอยหลังขึ้นเนิน เพราะเบรกจะยังคงทำงานอยู่ถึงสองวินาที หลังจากที่คุณคลายเท้าจากแป้นเบรกเพื่อเหยียบคันเร่ง ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี ระบบจะตรวจสอบความเร็วและการยึดเกาะถนนของทุกล้อ และเบรกหรืออัตราการเร่งจะทำงานโดยอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มอัตราแรงยึดการยึดเกาะพื้นถนนให้สูงสุดและการป้องกันล้อหมุนฟรี ระบบควบคุมการบรรทุกสัมภาระ ระบบจะปรับการทรงตัวของรถ เพื่อให้สัมพันธ์กับน้ำหนักของสัมภาระที่บรรทุก ระบบควบคุมการทรงตัวขณะลากจูง ระบบจะคอยตรวจสถานะของรถในขณะลากจูง และใช้เบรกด้านซ้ายหรือขวา รวมทั้งการผ่อนหรือเร่งแรงบิดของเครื่องยนต์ เพื่อรักษาการทรงตัวของรถในขณะลากจูง ระบบลดความเสี่ยงจากการพลิกคว่ำ ระบบจะช่วยลดปัจจัยที่อาจทำให้เกิดการพลิกคว่ำของรถ และระบบช่วยเบรกฉุกเฉิน ระบบจะช่วยรักษาแรงเบรกในกรณีที่มีการหยุดรถอย่างฉุกเฉิน
Special Test
เข้าสู่บททดสอบความเป็นสุดยอด Performance Pickup เริ่มต้นด้วยสถานีทดสอบอัตราเร่ง Acceleration Test คณะกรรมการต้องเหยียบคันเร่งอย่างเร้าใจตั้งแต่ออกตัว เพื่อหาเวลาดีที่สุดในระยะทาง 100 เมตร ขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล Duratorq TDCi VG Turbo ขนาด 3.2 ลิตร ให้พลัง 200 แรงม้าและแรงบิด 470 นิวตันเมตร ที่ได้รับการติดตั้งระบบหมุนเวียนไอเสียแบบใหม่ สามารถแสดงประสิทธิภาพได้อย่างยอดเยี่ยม และยิ่งทำงานร่วมกับระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ที่ได้รับการพัฒนามาเป็นพิเศษจากทีมวิศวกรฟอร์ด สร้างความเร้าใจได้อย่าต่อเนื่อง รวดเร็ว นับว่าเป็นจุดเด่นสำคัญในการทดสอบครั้งนี้
สถานีที่ 2 Lane Change การทดสอบเสถียรภาพการควบคุม คณะกรรมการผู้ทดสอบจะต้องคอนโทรลพวงมาลัยในการเปลี่ยนเลนกรทันหัน เพื่อทดสอบความแม่นยำของพวงมาลัยและการทำงานของระบบช่วงล่างในช่วงเวลาฉุกเฉิน ซึ่งในสถานีนี้คณะกรรมการได้สัมผัสถึงความแตกต่างของการควบคุมที่แม่นยำเหนือรถปิกอัพทั่วไป ด้วยพวงมาลัยแบบไฟฟ้า (EPAS) สามารถสั่งการระบบช่วงล่างได้อย่างแม่นยำและลงตัว แม้ในช่วงการหักพวงมาลัยเปลี่ยนเลนกะทันหัน ระบบความปลอดภัยอันชาญฉลาดสามารถตอบสนองได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่มีอาการสะบัดหรือท้ายโยนให้รู้สึกหวิวแต่อย่างใด
ปิดท้ายด้วยการทดสอบความนุ่มนวลของระบบช่วงล่าง Suspension Test ซึ่งคณะกรรมการจะได้พบกับบททดสอบในการเข้าโค้งต่างๆ ที่ทีมงานได้จัดเตรียมวางทางไว้ให้ ซึ่งมีหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นโค้งแคบ โค้งกว้าง และโค้งตัวเอส เพื่อให้คณะกรรมการได้สัมผัสถึงระบบช่วงล่างเต็มรูปแบบ ซึ่งระบบเทคโนโลยีช่วงล่างอันทันสมัย ของ Ford Ranger ไม่ได้ทำให้เหล่าคณะกรรมการผิดหวังแม้แต่น้อย สามารถสร้างการกระจายเสถียรภาพในการเข้าโค้งได้อย่างไม่มีที่ติ และสามารถรับกับเครื่องยนต์ขนาด 200 แรงม้าได้อย่างลงตัว[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_separator][vc_single_image image=”58084″ img_size=”full”][vc_column_text]Best PPV Diesel 2WD Under 2,500 c.c.
Ford Everest 2.2L Titanium Plus
ยังคงคอนเซปต์แนวคิด “Engineering For Extraordinary” ได้อย่างลงตัว สำหรับ Ford Everest 2.2L Titanium Plus รถอเนกประสงค์ประเภท SUV แบบ 7 ที่นั่ง ด้วยการออกแบบที่โฉบเฉี่ยว ล้ำสมัย คงสไตล์อเมริกันได้อย่างครบถ้วน พร้อมทั้งตอบสนองทุกการใช้งานได้อย่างลงตัว จึงทำให้ได้รับผลโหวตจากคณะกรรมการให้เป็น “ที่สุด” ของรถยนต์ SUV ขับเคลื่อน 2 ล้อ ในการทดสอบ Car of The Year 2018 ซึ่งความสุดยอดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามได้ในบททดสอบครั้งนี้…
ภายในโดดเด่น เติมเต็มด้วยออปชันความสะดวกสบาย
Ford Everest 2.2L Titanium Plus มาพร้อมกับภายในหรูหรา ชุดมาตรวัดล้ำสมัย มีมาตรวัดความเร็วตรงกลาง ประกบด้วยจอดิจิทัล ฝั่งซ้ายสำหรับระบบความบันเทิง ฝั่งขวาสำหรับแสดงข้อมูลต่างๆ ของรถ ควบคุมด้วยสวิตช์บนก้านพวงมาลัยฝั่งซ้ายและขวาตามลำดับ รอบเครื่องยนต์ที่เป็นแบบดิจิทัล ส่วนจอสัมผัสที่คอนโซลกลางใช้ในการควบคุมระบบเครื่องเสียง ที่ทำงานคู่กับลำโพงคุณภาพสูงถึง 10 ตัว รวมซับวูฟเฟอร์ มอบเสียงที่ชัดเจน พร้อมเสียงเบสทุ้มลึกและหนักแน่น ในห้องโดยสารที่เงียบและปราศจากเสียงรบกวน โดยการติดตั้งเทคโนโลยีการตัดเสียงรบกวน (Active Noise Cancellation) เพื่อความรู้สึกที่เป็นส่วนตัวและได้รับความบันเทิงสูงสุด เติมเต็มด้วยเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์คนยุคใหม่ด้วยอินโฟเทนเมนต์ ระบบสั่งงานด้วยเสียง ซิงค์ 3 (SYNC 3) ที่มีการพัฒนาให้ใช้งานได้ง่ายและสะดวกสบายยิ่งกว่าเดิม ไม่ว่าจะใช้เสียงสั่งการหรือการสัมผัสบนหน้าจอทัชสกรีนขนาด 8 นิ้ว ควบคุมการทำงานอุปกรณ์เพื่อความบันเทิง ระบบปรับอากาศ และอุปกรณ์พกพาต่างๆ ที่เชื่อมต่อกับตัวรถได้อย่างง่ายดาย รวมทั้งรองรับการทำงานร่วมกับแอปพลิเคชันบนมือถือ Apple CarPlay และ Android Auto
ระบบความปลอดภัยเต็มขั้น เหนือคู่แข่งในคลาสเดียวกัน
Ford Everest 2.2L Titanium Plus มาพร้อมกับเทคโนโลยีช่วยในการขับขี่อัจฉริยะ (Advanced-Driving Assist Technology) ใหม่ล่าสุด เพื่อสร้างสรรค์ประสบการณ์ขับขี่อันเหนือชั้น ปลอดภัยและสะดวกสบายอีกระดับ ได้แก่ ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control) ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง (Lane Keeping System) ระบบเตือนการชนด้านหน้า (Forward Collision Warning System) ระบบแจ้งเตือนการขับขี่ (Driver Alert System) ระบบเปิด-ปิด ไฟสูงอัจฉริยะ (Auto High Beam Control) ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ (Active Park Assist) ระบบตรวจจับรถในจุดบอด (BLIS- Blind Spot Information System) ที่มาพร้อมระบบตรวจจับรถขณะออกจากซองจอด (Cross Traffic Alert) กล้องมองหลังขณะถอยจอดและสัญญาณเตือนระยะจอดด้านหน้า
Special Test
เข้าสู่ช่วงการทดสอบ ในสถานี Acceleration Test เครื่องยนต์ดีเซล TDCi เทอร์โบชาร์จ ขนาด 2.2 ลิตร ให้กำลังสูงสุดถึง 160 แรงม้า และแรงบิดที่ 385 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ สามารถรีดประสิทธิภาพเครื่องยนต์ได้สูงสุด และเสริมความประหยัดเชื้อเพลิงให้มีความลงตัวมากยิ่งขึ้น ส่งกำลังได้ต่อเนื่องรวดเร็วยิ่งขึ้น เพียงแค่กดคันเร่งออกตัวก็สั่งรถพุ่งทะยานไปข้างหน้าทันที ถึงแม้ว่าจะมีมิติตัวถังขนาดใหญ่ก็ไม่สามารถทำให้ด้อยประสิทธิภาพการออกตัวลงแม้แต่น้อย
ถัดมาสถานี Lane Change คณะกรรมการผู้ทดสอบจะต้องควบคุมด้วยการบังคับรถเปลี่ยนเลนแบบกะทันหัน เพื่อสัมผัสระบบความปลอดภัยและการทำงานของระบบช่วงล่าง รวมถึงการสั่งงานของพวงมาลัยว่ามีความแม่นยำขนาดไหน ในช่วงการทดสอบพวงมาลัยเพาเวอร์พร้อมผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า สามารถสั่งการได้อย่างเฉียบคม ควบคุมง่าย ระบบช่วงล่างเกาะถนนถึงจะเกิดการควบคุมที่เหนือความคาดหมาย ด้วยระบบเกียร์กึ่งแมนวล +/- จะคำนวณความสัมพันธ์ของความเร็วรถ ความเร็วรอบและแรงบิดของเครื่องยนต์ในอัตราที่เหมาะสมสำหรับการเปลี่ยนเกียร์ทุกครั้ง
ปิดท้ายด้วยสถานี Suspension Test การทดสอบความนุ่มนวลระบบช่วงล่าง ในสถานีนี้ Ford Everest 2.2L Titanium Plus ต้องพบบททดสอบการเข้าโค้งในทุกรูปแบบ ระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระ ปีกนกสองชั้น คอยล์สปริงพร้อมเหล็กกันโคลง และด้านหลังแบบคอยล์สปริง พร้อมวัตต์ลิงก์และเหล็กกันโคลง ช่วยถ่ายเทน้ำหนักในการเข้าโค้งได้อย่างลงตัวแบบ “มั่นใจได้” ไม่มีอาการดีดหรือยวบให้สัมผัส นอกจากนี้ระบบเบรกยังให้แรงฉุดรั้งที่เหลือเฟือ สามารถตอบสนองได้ทุกการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานแบบหนัก หรือต้องการประคองแบบนุ่มนวล สามารถสั่งการได้อย่างง่ายดาย[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row]