Car of The Year 2018 : TOYOTA
[vc_row][vc_column][vc_single_image image=”57992″ img_size=”full”][vc_column_text]BEST SEDAN UNDER 1,300 C.C.
TOYOTA YARIS ATIV 1.2S
Life Activated คือนิยามของ TOYOTA YARIS ATIV ยนตรกรรม Eco Car โมเดลล่าสุดจาก บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ในรูปแบบตัวถัง Compact Sedan ที่มีความโดดเด่นในเรื่องของตัวถังที่มีขนาดใหญ่ พร้อมงานดีไซน์ที่นำเสนอความสปอร์ตโฉบเฉี่ยว ผสมผสานกับความล้ำสมัยที่โดนใจ เช่นเดียวกับภายในห้องโดยสารที่นอกจากมีความสปอร์ตแล้ว ยังรวมเอาความหรูหราเข้าไปเป็นส่วนหนึ่ง
ในขณะที่ฟังก์ชันมาตรฐานต่างๆ ที่ติดตั้งมาให้เพื่ออำนวยความสะดวกสบายในการใช้งานนั้น ต้องเรียกว่าให้มาแบบครบๆ แม้จะเป็นตำแหน่งของรถ Eco Car ก็ตาม ทั้งยังมีในเรื่องของระบบความปลอดภัยที่ทำให้ TOYOTA YARIS ATIV 1.2S กลายเป็นผู้นำในกลุ่มตลาดรถ Eco Car ในทันที กับการติดตั้งถุงลมนิรภัย SRS มาให้ถึง 7 ตำแหน่ง ตลอดจนตัวช่วยอื่นๆ ที่ติดตั้งมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เช่น ระบบควบคุมการทรงตัว VSC ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC ระบบกระจายแรงเบรก EBD ระบบเบรก ABS และระบบเสริมแรงเบรก BA เท่านั้น ยังไม่พอ เพราะยังมีระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC กล้องมองหลัง และระบบสัญญาณเตือนสิ่งกีดขวางขณะถอยหลัง ติดตั้งมาให้อีกด้วย เรียกว่ามอบความมั่นใจ และปลอดภันได้อย่างดีในทุกโอกาสการขับขี่เลยทีเดียว
สมรรถนะในการขับขี่ยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ผู้บริโภคต้องการเช่นกัน เพราะฉะนั้น TOYOTA YARIS ATIV 1.2S จึงได้รับการอัปเกรดเครื่องยนต์ใหม่ ซึ่งยังคงเป็นรหัส 3NR-FE พิกัด 1,200 ซี.ซี. พร้อมระบบ DUAL VVT-I และระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิงแบบอิเล็กทรอนิกส์ EFI รองรับเชื้อเพลิงได้สูงสุดที่ E20 พร้อมการการันตีอัตราสิ้นเปลืองที่ 20กม./ลิตร โดยมีพละกำลังสูงสุดให้ใช้ 86 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 108 นิวตันเมตร ระบบส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i พร้อม Shift Lock
โดยจุดเด่นก็คือ การถ่ายทอดกำลังที่ต่อเนื่องนุ่มนวล แต่สามารถตอบสนองได้อย่างทันใจในทุกย่านความเร็ว ผสมผสานด้วยความฉับไวของระบบพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า EPS และระบบช่วงล่างที่ได้รับการปรับเซตขึ้นใหม่จากพื้นฐานด้านหน้าแบบอิสระ แมคเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง และด้านหลังแบบทอร์ชันบีม คอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง
ซึ่งทั้งหมดได้กลายเป็นสิ่งที่ทำให้ TOYOTA YARIS ATIV 1.2S คือ ยนตรกรรม Eco Car ในรูปแบบตัวถัง Compact Sedan ที่สามารถตอบโจทย์ผู้ใช้ได้อย่างตรงจุด ทั้งในเรื่องของความคุ้มค่า และอรรถประโยชน์ในการใช้งาน รวมไปถึงเรื่องของสมรรถนะที่มั่นใจได้ ฉะนั้น TOYOTA YARIS ATIV 1.2S จึงได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการให้มีเหมาะสมที่สุดกับรางวัล BEST SEDAN UNDER 1,300 c.c.[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_separator][vc_single_image image=”57997″ img_size=”full”][vc_column_text]BEST HATCHBACK UNDER 1,300 C.C.
TOYOTA YARIS BMC 1.2G
และในเมื่อ TOYOTA YARIS ATIV 1.2S คว้ารางวัล BEST SEDAN UNDER 1,300 c.c. ไปเป็นที่เรียบร้อย ไฉนเลย TOYOTA YARIS BMC 1.2G จึงจะไม่ได้รับรางวัล BEST HATCHBACK UNDER 1,300 C.C. ไปครอง เพราะนี่คือผลแห่งการพัฒนาต่อยอดความยอดเยี่ยมที่เห็นได้อย่างเด่นชัด
TOYOTA YARIS BMC 1.2G ยังคงนำเสนอความสปอร์ตผ่านรูปลักษณ์ตัวถังที่โดนใจในสไตล์ Hatchback 5 ประตู ซึ่งเพิ่มความสะดุดตาด้วยการปรับโฉม และอัปเกรดความล้ำสมัยเพิ่มเติมเข้าไป ตามแนวทางเดียวกับพี่น้องร่วมค่าย อาทิ ชุดไฟหน้า Projector พร้อมไฟ Daytime Running Light แบบ LED ไฟ LED Light Guiding และไฟตัดหมอกหน้า ส่วนด้านหลังก็มากับไฟท้ายแบบ LED Light Guiding และไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED เช่นกัน
ภายในห้องโดยสารของเวอร์ชั่น Hatchback ได้รับการปรับปรุงใหม่ด้วยการเน้นความสปอร์ตมากขึ้น พร้อมด้วยการอัพเกรด และติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ครบครัน นอกจากนี้ในเวอร์ชัน Hatchback ยังมากับการออกแบบให้มีความอเนกประสงค์ ด้วยเบาะที่นั่งด้านหลัง ซึ่งสามารถปรับ-พับแยกได้แบบ 60:40 ส่วนห้องเก็บสัมภาระด้านหลังก็มาพร้อมอุปกรณ์ด้านท้าย เพื่อให้ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยมากขึ้น
ทางด้านขุมพลังยังคงเป็นบล็อกเดียวกัน ในรหัส 3NR-FE ความจุ 1,200 ซี.ซี. พร้อมระบบวาล์วแปรผัน DUAL VVT-i และระบบจ่ายน้ำมันด้วยหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์แบบ EFI โดยมีกำลังสูงสุดที่ 86 แรงม้า และแรงบิด 108 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i พร้อม Shift Lock ควบคุมด้วยระบบพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า EPS และรองรับด้วยระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระ แม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง และด้านหลังแบบทอร์ชันบีม คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง
โดยมาพร้อมกับสมรรถนะที่ยังคงสร้างความประทับใจให้คณะกรรมการ ซึ่งประกอบด้วยการปรับจูนตัวซอฟต์แวร์ใหม่ ทั้งในส่วนระบบพวงมาลัย และระบบช่วงล่าง โดยใช้แนวทางเดียวกับ TOYOTA YARIS ATIV จนทำให้เกิดความเด่นชัดในเรื่องของสมรรถนะที่ดีขึ้นขณะขับขี่บนสถานีทดสอบต่างๆ ประกอบสิ่งสำคัญในเรื่องของการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยด้วยอุปกรณ์มาตรฐานที่ติดตั้งมาให้ในระดับที่เทียบเท่ากับ TOYOTA YARIS ATIV จึงทำให้ TOYOTA YARIS BMC 1.2G เวอร์ชัน Hatchback คว้ารางวัลนี้ไปครอง[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_separator][vc_single_image image=”57999″ img_size=”full”][vc_column_text]BEST HYBRID MID-SIZE SEDAN UNDER 2,500 c.c.
TOYOTA CAMRY HYBRID
TOYOTA CAMRY HYBRID อีกหนึ่งยนตรกรรมโมเดลขนาดกลางที่ยังคงเส้นคงวากับการรักษาตำแหน่ง BEST HYBRID MID-SIZE SEDAN UNDER 2,500 c.c. อีกครั้งในปีนี้ ด้วยความ “ครบเครื่อง” ตั้งแต่ความสะดุดตาที่เกิดขึ้นกับรูปลักษณ์ภายนอกที่ผสมผสานอย่างลงตัว ทั้งความหรูหรา และความสปอร์ต รับกับภายในที่ตอกย้ำความเป็นยนตรกรรมหรู ด้วยองค์ประกอบหลักๆ คืองานดีไซน์ โทนสี และการตกแต่งด้วยวัสดุลายไม้ ผสมผสานกับวัสดุหนังแบบ Smooth Leather และวัสดุสังเคราะห์ ในขณะที่ฟังก์ชันอำนวยความสะดวกก็เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นสำคัญที่ทำให้คณะกรรมการเลือกลงคะแนนให้อย่างท่วมท้น
แต่เหนืออื่นใด คือเรื่องของสมรรถนะที่ยังคงสร้างความประทับใจให้กับคณะกรรมการ กับ 2 ขุมพลังขับเคลื่อนที่เกิดจากเครื่องยนต์เบนซิน รหัส 2AR-FXE พร้อมระบบวาล์วแปรผัน VVT-i ในพิกัดความจุ 2.5 ลิตร ที่มากับพละกำลัง 160 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 213 นิวตันเมตร โดยมีมอเตอร์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงเป็นทัพเสริมด้วยเรี่ยวแรงอีก 105 แรงม้า และแรงบิด 270 นิวตันเมตร
ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์ E-CVT (Electronically-Controlled Continuously Variable Transmission) รับหน้าที่ถ่ายทอดสมรรถนะลงสู่พื้น พร้อมด้วยฟังก์ชันการขับขี่อัจฉริยะ (Driving Mode Function) ซึ่งมีให้เลือก 2 โหมดขับเคลื่อน คือ Eco Mode ที่จะจัดสรรพละกำลังอย่างคุ้มค่าระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า และ EV Mode ที่จะใช้กำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว โดยขึ้นอยู่กับปริมาณไฟในแบตเตอรี่ Hybrid ซึ่งจะเหมาะสำหรับการเดินทางที่ใช้ความเร็วต่ำ ซึ่งช่วยให้ TOYOTA CAMRY HYBRID มีความโดดเด่นในเรื่องของการใช้พลังงาน
รวมถึงสามารถสร้างสมรรถนะสุดเร้าใจได้อย่างทันท่วงที ด้วยการทำงานอย่างเต็มกำลังจากทั้ง 2 ระบบขับเคลื่อน ซึ่งเป็นสิ่งที่คณะกรรมการได้สัมผัสกันอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย จากการทดลองขับในสถานีทดสอบ ไปพร้อมๆ กับการรับรู้ได้ถึงอรรถรสในการควบคุมที่คล่องตัวจากพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า EPS และเสถียรภาพการทรงตัวที่น่าประทับใจจากระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระ แม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง และด้านหลังแบบอิสระ ดูอัลลิงก์ สตรัท
ซึ่งทั้งหมด คือสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงมาตรฐานของ TOYOTA CAMRY HYBRID อย่างชัดเจนในทุกๆ ด้าน และยืนยันถึงความเหมาะสมกับรางวัล BEST HYBRID MID-SIZE SEDAN UNDER 2,500 c.c. อย่างแท้จริง[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_separator][vc_single_image image=”58001″ img_size=”full”][vc_column_text]BEST MID-SIZE SEDAN UNDER 2,500 c.c.
TOYOTA CAMRY 2.5G
และไม่ใช่เพียงแค่ TOYOTA CAMRY HYBRID เท่านั้น ที่ชนะใจคณะกรรมการ แต่ยังรวมถึงเวอร์ชันมาตรฐานอย่าง TOYOTA CAMRY 2.5G อีกหนึ่งรุ่น ที่มีความเหมาะสมกับรางวัล BEST MID-SIZE SEDAN UNDER 2,500 c.c. ตั้งแต่เรื่องของรูปลักษณ์ภายนอกที่ได้รับการออกแบบในสไตล์เดียวกับเวอร์ชันรักษ์โลกอย่าง Hybrid ที่มีส่วนผสมของความหรูหรา และความสปอร์ตที่ลงตัว
ในขณะที่ห้องโดยสารภายในนั้น ยังคงเป็นแนวทางของงานดีไซน์ที่คุ้นเคย ทั้งในเรื่องของงานดีไซน์ โทนสีที่นำเสนอความสปอร์ตและความหรูหรา เช่นเดียวกับการเลือกใช้วัสดุ ส่วนฟังก์ชันอำนวยความสะดวกสบายต่างๆ นั้น มั่นใจได้ว่ามีมาให้อย่างครบครัน ด้วยฐานะของยนตรกรรมขนาดกลางรุ่นท็อปสุดในอนุกรม เพราะฉะนั้น จึงชนะใจคณะกรรมการไปได้อย่างไม่ยากเย็นในจุดนี้
ส่วนต่อมาที่ทำให้ TOYOTA CAMRY 2.5G แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องของสมรรถนะที่เกิดขึ้นจากเครื่องยนต์เบนซิน รหัส 2AR-FE ที่มาพร้อมวาล์วแปรผัน Dual VVT-i พิกัดความจุ 2.5 ลิตร ซึ่งมีพละกำลังให้ใช้ถึง 181 แรงม้า พร้อมแรงบิดที่สูงถึง 231 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนล้อหน้าด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ที่มาพร้อมระบบ Sequential Shift ที่มีความลงตัวกับการตอบสนองของเครื่องยนต์ที่ต่อเนื่องทันใจ ตั้งแต่เริ่มกดคันเร่ง ด้วยแรงบิดที่สูงถึงระดับ 231 นิวตันเมตร สามารถฉุดลากตัวถังน้ำหนัก 1,475 กก. ไปได้อย่างสบายๆ
ทั้งยังรวมถึงความยอดเยี่ยมจากระบบพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า EPS ซึ่งถ่ายทอดความเฉียบคมในการควบคุม และนำพา TOYOTA CAMRY 2.5G ยนตรกรรมขนาดกลางผ่านสถานีทดสอบต่างๆ ไปได้อย่างสบาย โดยอีกส่วนหนึ่งของสมรรถนะที่สร้างความประทับใจให้คณะกรรมการ ก็คือระบบช่วงล่างที่มีการปรับเซตมาอย่างลงตัว จากพื้นฐานด้านหน้าแบบอิสระ แม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง และด้านหลังแบบดูอัลลิงก์ สตรัท ซึ่งเปี่ยมด้วยเสถียรภาพการทรงตัว และอารมณ์ของการขับขี่ในสไตล์สปอร์ต จนสร้างความประทับใจให้กับคณะกรรมการได้สัมผัส
ตอกย้ำให้เห็นอย่างชัดเจนถึงคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมในเรื่องของสมรรถนะ จนทำให้คณะกรรมการทดสอบต้องยอมเทคะแนนให้กับ TOYOTA CAMRY 2.5G ไปอย่างท่วมท้น เป็นผลเอกฉันท์ว่ามีความเหมาะสมกับรางวัลอย่างไม่อาจปฏิเสธได้
[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_separator][vc_single_image image=”58003″ img_size=”full”][vc_column_text]BEST MPV UNDER 1,600 c.c.
TOYOTA SIENTA 1.5V
สำหรับรางวัล BEST MPV UNDER 1,600 c.c. ในปีนี้ TOYOTA SIENTA 1.5V รถยนต์นั่งอเนกประสงค์สไตล์ Compact Multi-Purpose Vehicle ยังคงรั้งตำแหน่งเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น ด้วยคะแนนที่คณะกรรมการต่างเทให้ ด้วยความโดดเด่นของรูปลักษณ์ที่มีขนาดกะทัดรัด และดีไซน์สะดุดตา ในขณะที่ภายในห้องโดยสารก็เปี่ยมด้วยอารมณ์สปอร์ตจากโทนสีดำ พร้อมด้วยการแสดงความเป็นรถอเนกประสงค์ ด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ครบครัน เช่น หน้าจอ MID- Multi Information Display, เครื่องเสียงที่รองรับ DVD, CD, MP3, WMA, Bluetooth, USB และ AUX พร้อมด้วยแอปพลิคชัน T CONNECT ควบคุมได้ทั้งจากจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว และปุ่มมัลติฟังก์ชันบนพวงมาลัย ตลอดจนระบบปรับอากาศอัตโนมัติ
นอกจากนี้ในส่วนของห้องโดยสารด้านหลัง ยังมากับความสะดวกในการใช้งานจากประตูข้างซ้าย–ขวา เลื่อนเปิด-ปิด อัตโนมัติ ด้วยระบบไฟฟ้า ซึ่งสั่งการได้จากทั้งสวิตช์ฝั่งคนขับ และกุญแจรีโมต รวมถึงเบาะนั่งแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง พร้อมฟังก์ชัน 1-Touch Tumble ที่สามารถปรับพับเบาะนั่งแถว 3 เก็บไว้ใต้เบาะนั่งแถวที่ 2 เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลังได้อย่างสบาย
TOYOTA SIENTA 1.5V ยังคงมากับความยอดเยี่ยมในเรื่องของสมรรถนะ ด้วยเครื่องยนต์ 2NR-FE ขนาด 1.5 ลิตร Dual VVT-i ที่มีเรี่ยวแรงให้ใช้อยู่ที่ 108 แรงม้า พร้อมแรงบิด 140 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT 7 สปีด พร้อมระบบ Sport Sequential Shift พร้อมด้วยระบบพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า EPS และระบบช่วงล่างที่ดีเยี่ยมจากพื้นฐานด้านหน้าแบบอิสระ แม็คเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังแบบทอร์ชันบีม คอยล์สปริง พร้อมการติดตั้งเหล็กกันโคลงทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
และทั้งหมดคือส่วนผสมที่ลงตัวในการสร้างสมรรถนะอันน่าประทับใจให้กับ TOYOTA SIENTA 1.5V เพื่อส่งมอบให้กับคณะกรรมการทดสอบได้สัมผัสอีกครั้ง ผ่านสถานีต่างๆ โดยเฉพาะในสถานีที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมที่เปี่ยมด้วยความกระชับฉับไว ให้การคล่องตัวที่ดีเยี่ยม
ในขณะเดียวกันระบบส่งกำลังแบบ CVT ก็มีความต่อเนื่อง และนุ่นนวลในการถ่ายทอดกำลัง ทั้งยังสามารถเค้นพละกำลังมาใช้ให้เกิดการขับสนุกได้ง่ายๆ กับโหมด +/- ซึ่งมีแรงสนับสนุนจากระบบช่วงล่าง จากพื้นฐานด้านหน้าแบบอิสระ แม็คเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังแบบทอร์ชันบีม คอยล์สปริง พร้อมการติดตั้งเหล็กกันโคลงทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ที่มากับความมั่นใจเต็มพิกัด แม้จะเป็นยนตรกรรมสไตล์ MPV ก็ตาม แต่ด้วยการปรับเซตมาอย่างลงตัว ก็ทำให้ TOYOTA SIENTA 1.5V กลายเป็นยนตรกรรมที่สามารถเป็นทั้งยนตรกรรมขับสนุก และยนตรกรรมสำหรับครอบครัวได้อย่างสบายๆ แถมด้วยความล้ำสมัยของงานดีไซน์ และอรรถประโยชน์ใช้งานที่คุ้มค่า จึงทำให้ปีนี้คณะกรรมยังคงเทคะแนนให้กับ TOYOTA SIENTA 1.5V ไปอีกครั้งเช่นกัน
[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_separator][vc_single_image image=”58005″ img_size=”full”][vc_column_text]BEST PICKUP 2WD UNDER 3,200 c.c.
TOYOTA HILUX REVO Facelift 2.8J B-Cab
TOYOTA HILUX REVO Facelift 2.8J B-Cab อีกหนึ่งตัวจริงที่ยังคงปักหลักอยู่บนชัยชนะในการคัดเลือกยนตรกรรมของงาน Thailand Car of The Year 2018 ด้วยความสมบูรณ์แบบที่ยังคงรักษามาตรฐานเอาไว้อย่างยอดเยี่ยม
โดยนอกจากการปรับโฉมใหม่ที่สร้างความสะดุดตาขึ้นได้อย่างดี ผสมรวมกับฟังก์ชันอำนวยความสะดวกสบายที่มีให้แล้ว คณะกรรมการทดสอบต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันในเรื่องของความประทับใจในด้านสมรรถนะที่เกิดขึ้นจากเทคโนโลยีล้ำสมัย อย่างเช่น เครื่องยนต์ดีเซล 2.8 ลิตร แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว DOHC พร้อมระบบอัดอากาศ VN เทอร์โบชาร์จ และอินเตอร์คูลเลอร์ กับพละกำลังสูงสุด 170 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 343 นิวตันเมตร ที่ 1,200-3,400 รอบต่อนาที
ซึ่งเป็นเครื่องยนต์เจเนอเรชันล่าสุดที่ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ ยกระดับประสิทธิภาพในการเผาไหม้ เพื่อให้แรงบิดสูงสุดในช่วงรอบที่กว้างขึ้น (Flat torque) พร้อมด้วยการติดตั้งระบบอัดอากาศเทอร์โบแปรผันใหม่ (VN Turbo) ที่มีขนาดเล็กลง แต่มีประสิทธิภาพมากขึ้น จากการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าควบคุมการเปิด-ปิด ครีบปรับแรงดันอากาศ รวมไปถึงระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิงอัจฉริยะแรงดันสูง 220 MPa และระบบ EGR- Exhaust Gas Recirculation เพื่อนำไอเสียหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่
นอกจากนี้ยังเปี่ยมด้วยความมั่นใจในขณะขับขี่ ด้วยระบบช่วงล่าง DCS- Dynamic Control Suspension ที่พัฒนาขึ้นใหม่ โดยใช้พื้นฐานด้านหน้าอิสระ ปีกนกคู่ พร้อมคอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง และด้านหลังแบบแหนบซ้อน ที่ได้มีการออกแบบชุดแหนบให้ยาวขึ้น พร้อมด้วยการออกแบบโช้คอัพให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ทำให้มีประสิทธิภาพในการดูดซับแรงสั่นสะเทือน และมีเสถียรภาพการทรงตัวที่ดีเยี่ยม
และด้วยการรักษามาตรฐานด้านสมรรถนะในระดับนี้ ทำให้คณะกรรมการทดสอบต่างก็ไม่ลังเลที่จะเทคะแนนให้ ด้วยคุณสมบัติอันเหมาะสมที่จะครอบครองรางวัลไปอีกครั้งในปีนี้[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_separator][vc_single_image image=”58007″ img_size=”full”][vc_column_text]BEST HIGH-LIFT PICKUP UNDER 3,200 c.c.
TOYOTA HILUX REVO Rocco C-Cab 2.8G
TOYOTA HILUX REVO Rocco C-Cab 2.8G อีกหนึ่งปิกอัพตัวแรงที่สร้างกระแสโด่งดังทันทีที่เปิดตัว กับโมเดล REVO ที่อัปเกรดความโดดเด่นเต็มพิกัดในชื่อ Rocco ซึ่งเรียกว่าหล่อเหลาเร้าใจตั้งแต่แรกเห็น ด้วยการปรับโฉมเพิ่มความดุดันในมุมมองด้านหน้าใหม่ ด้วยกระจังทรงบึกบึนที่รับกับลักษณะตัวถังแบบยกสูง คือ สิ่งที่ทำให้คณะกรรมการต่างจับจ้อง เพื่อขอชื่นชมรูปลักษณ์ และร่วมทดสอบสมรรถนะ
โดย TOYOTA HILUX REVO Rocco C-Cab 2.8G นี้ พกพาความเร้าใจในการขับขี่มานำเสนอคณะกรรมการ ด้วยพื้นฐานของเครื่งยนต์ดีเซล พิกัด 2.8 ลิตร แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว DOHC พร้อมตัวช่วยเพิ่มพลังอย่างระบบอัดอากาศ VN เทอร์โบชาร์จ และอินเตอร์คูลเลอร์ ที่ปั้นพละกำลังสูงสุดให้ใช้ถึง 177 แรงม้า และแรงบิดที่สูงระดับ 450 นิวตันเมตร ในรอบต่ำเพียง 1,600-2,400 รอบต่อนาที
ซึ่งความโดดเด่นด้านสมรรถนะในระดับนี้ เกิดขึ้นจากการอัปเกรดประสิทธิภาพเครื่องยนต์ขึ้นใหม่ ด้วยการติดตั้งระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิงอัจฉริยะแรงดันสูง รวมถึงชุดเทอร์โบแปรผันใหม่ (VN Turbo) ที่มีประสิทธิภาพยอดเยี่ยม ด้วยการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าทำหน้าที่ควบคุมการเปิด-ปิด ครีบปรับแรงดันอากาศ ตลอดจนการติดตั้งระบบ EGR- Exhaust Gas Recirculation เพื่อนำไอเสียหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งทำให้เครื่องยนต์มีพละกำลังเร้าใจในทุกย่านความเร็วจนเป็นที่ชื่นชอบของคณะกรรมการ
ขณเดียวกันก็สร้างความประทับใจได้อย่างดีในเรื่องของการควบคุม ที่มีความคล่องตัวด้วยระบบพวงมาลัยแบบแร็ค แอนด์ พิเนียน พร้อมพาวเวอร์ ที่ช่วยผ่อนน้ำหนักให้เบาแรงในความเร็วต่ำ และปรับหน่วงหนักขึ้นในความเร็วสูง เพื่อสร้างความมั่นใจ ไปพร้อมกันกับระบบช่วงล่างแบบ DCS- Dynamic Control Suspension ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ช่วยยกระดับประสิทธิภาพการขับขี่ให้เปี่ยมด้วยเสถียรภาพในทุกสภาวะการควบคุม เสริมอรรถรสการขับขี่ในสไตล์ดุดัน รับกับรูปลักษณ์ที่ปรับโฉมใหม่ ทำให้สิ่งนี้คือจุดที่คณะกรรมการต่างก็ชื่นชอบ จนต้องมอบรางวัล BEST HIGH-LIFT PICKUP UNDER 3,200 c.c. ให้ไปครอบครองด้วยคุณสมบัติอันเหมาะสม[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_separator][vc_single_image image=”58009″ img_size=”full”][vc_column_text]BEST PPV DIESEL 4WD UNDER 3,200 c.c.
TOYOTA FORTUNER 2.8V 4WD
TOYOTA FORTUNER 2.8V 4WD ยอดรถอเนกประสงค์ขวัญใจมหาชน และยังคงเป็นหนึ่งในตัวเลือกอันดับต้นๆ ของคณะกรรมการ ด้วยความโดดเด่นที่วิวัฒนาการแบบก้าวกระโดด ตั้งแต่รูปลักษณ์ที่มีความทันสมัย และลงตัวด้วยส่วนผสมของความหรูหรา และความสปอร์ต ตลอดจนคุณสมบัติการใช้งานที่ครบครัน ทั้งในเรื่องของฟังก์ชันการใช้งาน และความสะดวกสบายที่ใกล้เคียงในระดับรถอเนกประสงค์ SUV
และที่สำคัญก็คือ จุดเด่นในเรื่องของสมรรถนะที่ยังคงไว้วางใจได้ในขุมพลังที่พัฒนาภายใต้แนวคิด Efficent Boost บนพื้นฐานเครื่องยนต์ดีเซล พิกัด 2.8 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศ VN Turbo และอินเตอร์คูลเลอร์ ซึ่งมีพละกำลังมาให้ใช้กันถึง 177 แรงม้า และแรงบิดถึง 450 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ที่ถ่ายทอดกำลังได้อย่างนุ่มนวล และต่อเนื่อง สร้างอัตราเร่งที่น่าประทับใจตั้งแต่จังหวะออกตัวจากจุดหยุดนิ่ง
ในขณะเดียวกันก็ให้ความคล่องตัวได้อย่างดี ด้วยระบบพวงมาลัย แร็ค แอนด์ พิเนียน ที่แปรผันน้ำหนักไปตามความเร็วของรถอย่างเหมาะสม เพื่อสร้างความกระฉับกระเฉงว่องไวในการเคลื่อนที่ผ่านแต่ละสถานีทดสอบ และที่สำคัญ ยังสามารถตอบโจทย์ขาลุยได้อย่างเต็มอรรถรส ด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่เรียกว่า “ซิกม่าโฟร์” เลือกปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม ด้วยโหมดขับเคลื่อน 2 ล้อแบบ 2H, ขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ 4H และ 4L ซึ่งมากับตัวช่วยด้านความปลอดภัยแบบอิเล็กทรอนิกส์ เช่น ระบบช่วยควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน DAC (Down Hill Assist Control) และระบบป้องกันล้อหมุนฟรี A-TRC (Active Traction Control)
ซึ่งด้วยขุมพลังที่เร้าใจ ภายใต้การควบคุมที่เปี่ยมเสถียรภาพของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อที่ให้การทรงตัว และการยึดเกาะถนนได้ดีเยี่ยมของ TOYOTA FORTUNER 2.8V 4WD ได้กลายเป็นสิ่งที่เอาชนะใจคณะกรรมการแบบเป็นเอกฉันท์ สามารถคว้ารางวัล BEST PPV DIESEL 4WD UNDER 3,200 c.c. ในปีนี้ไปครองได้แบบสบายๆ [/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_separator][vc_single_image image=”58011″ img_size=”full”][vc_column_text]BEST FUEL ECONOMY PICKUP UNDER 3,500 C.C.
TOYOTA HILUX REVO
และสำหรับรางวัล BEST FUEL ECONOMY PICKUP UNDER 3,500 c.c. ยอดรถปิกอัพประหยัดน้ำมัน ก็ยังตกเป็นของ TOYOTA HILUX REVO อีกครั้งเช่นกัน ด้วยความล้ำหน้าแห่งการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการประหยัดน้ำมันอย่างไม่หยุดยั้ง จนเกิดเป็นขุมพลังดีเซล คอมมอนเรล เจเนอเรชันล่าสุดที่เรียกว่า GD Efficient Boost
ซึ่งอัดแน่นด้วยองค์ประกอบสำคัญในการสร้างอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ดีที่สุด เช่น การติดตั้งระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิงอัจฉริยะแรงดันสูง 220 MPa ที่มีความละเอียด เพื่อให้เกิดการเผาไหม้ที่สมบูรณ์ ตามด้วยการใช้ระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบแปรผันใหม่ (VN Turbo) ซึ่งมีมอเตอร์ไฟฟ้าทำหน้าที่ในการควบคุมเปิด-ปิด ครีบปรับแรงดันอากาศ เพื่อให้สัมพันธ์กับทุกย่านความเร็วในขณะขับขี่ โดยมีระบบวาล์วที่ออกแบบพิเศษ สำหรับช่วยลดแรงเสียดทานในจังหวะของการเปิด-ปิด พร้อมด้วยระบบปรับตั้งวาล์วอัตโนมัติ
นอกจากนี้ยังได้ติดตั้งระบบ EGR- Exhaust Gas Recirculation เพื่อนำเอาไอเสียกลับมาหมุนเวียนใช้ใหม่ ทำให้สามารถลดความร้อนของเครื่องยนต์ขณะทำงานได้ดีขึ้น ตามด้วยการติดตั้งระบบ Stop & Start System รวมถึงฟังก์ชัน Drive Mode Switch สำหรับเลือกรูปแบบการขับขี่ได้ทั้งโหมดประหยัด (ECO Mode) หรือแบบสมรรถนะสูง (Power Mode)
และด้วยความล้ำสมัยของเทคโนโลยีที่ผ่านการคิดค้น และพัฒนาสู่เครื่องยนต์ดีเซล พิกัด 2.4 ลิตร และ 2.8 ลิตร ของ TOYOTA HILUX REVO ซึ่งผ่านการทดสอบโดยสื่อมวลชนไทยทั้งเส้นทางในประเทศ และต่างประเทศ หลากหลายเส้นทาง ซึ่งสิ่งหนึ่งที่สื่อมวลชนต่างยอมรับก็คือเรื่องของอัตราสิ้นเปลืองที่ดีเยี่ยม เหมาะสมกับรางวัล BEST FUEL ECONOMY PICKUP UNDER 3,500 c.c. จากงาน THAILAND CAR OF THE YEAR 2018[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row][vc_row][vc_column][vc_separator][vc_single_image image=”58012″ img_size=”full”][vc_column_text]BEST SELLING CAR & BEST EXPORT CAR
Best Selling Car & Best Export Car 2 รางวัลอันทรงเกียรติที่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ยังคงได้รับต่อเนื่อง ซึ่งสามารถแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำ และการรักษามาตรฐาน และมุ่งมั่นพัฒนาอย่างต่อเนื่องทั้งในด้านคุณภาพและบริการ
ซึ่งในปี 2560 ที่ผ่านมา บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด มียอดขายที่เติบโตขึ้นถึง 13.3% หรือจำนวนการขายรถที่มีมากถึง 870,748 คัน โดยตลาดรถยนต์นั่ง คือตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูงที่สุด ด้วยตัวเลขที่โตขึ้น +23.5% หรือเป็นจำนวนถึง 345,501 คัน ส่วนตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ เติบโตอยู่ที่ 7.4% หรือ 525,247 คัน ในขณะที่ตลาดรถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง) โตอยู่ที่ 7.7% หรือ 424,282 คัน และตลาดรถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถกระบะดัดแปลง) โตอยู่ที่ 9.4% หรือคิดเป็นจำนวน 364,706 คัน
สำหรับตัวเลขการส่งออกในปี 2560 ที่ผ่านมา แม้มีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลกระทบ จนทำให้เกิดการชะลอตัวของการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปก็ตาม แต่ในภาพรวม ก็ยังเรียกได้ว่าคงรักษามาตรฐานได้ไม่ต่างจากยอดส่งออกเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ด้วยตัวเลขเกือบๆ 3 แสนคัน โดยคิดเป็นมูลค่าถึง 159,321 ล้านบาท รวมถึงมูลค่าการส่งออกชิ้นส่วนเป็นมูลค่า 65,387 ล้านบาท ทำให้ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด นำรายได้กลับสู่ประเทศไทยเป็นจำนวนทั้งสิ้นถึง 224,708 ล้านบาท
และด้วยตัวเลขดังกล่าวทั้ง “ยอดจำหน่ายในประเทศ และการส่งออกต่างประเทศ” คือสิ่งที่ตอกย้ำให้เห็นอย่างชัดเจนถึงมาตรฐานการดำเนินธุรกิจสินค้าและบริการที่ยอดเยี่ยมของ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด นำมาซึ่งเหตุผลในการไว้วางใจของผู้บริโภค รวมถึงเหมาะสมที่จะรับ 2 รางวัลนี้ไปครองอีกครั้ง[/vc_column_text][/vc_column][/vc_row]