Car of the year 2021 – Honda
Absolutely The Best : Honda
BEST HATCHBACK UNDER 1,000 c.c.
HONDA CITY HATCHBACK
หลังจากส่ง HONDA CITY RS เวอร์ชัน SEDAN ลงสนาม เพื่อประเดิมการทำตลาดในประเทศไทย จนกลายเป็นความสำเร็จครั้งใหม่อย่างสวยงาม บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ก็เดิมเกมรุกระลอกใหม่ ด้วยการส่ง HONDA CITY HATCHBACK เข้ามาเป็นอีกหนึ่งทางเลือก ภายใต้การยกระดับความสปอร์ตที่ผสมผสานด้วยความหรูหรา ภายใต้แนวคิด“Energetic Hatchback” เสริมด้วยการติดตั้งชุดแต่งสไตล์ RS รอบคัน
เพิ่มเติมด้วยความคุ้มค่าจากอรรถประโยชน์ใช้สอยของห้องโดยสารอันกว้างขวาง จากแนวคิด “Ambitious Beauty” ที่เน้นความเรียบง่าย ทันสมัย แฝงไปด้วยความสวยงาม ประณีตทุกรายละเอียด ควบคู่ไปกับการใช้งานที่ดีเยี่ยม เพื่อรองรับทุกไลฟ์สไตล์ ด้วยการติดตั้งเบาะนั่งแบบอัลตราซีท (ULTR) มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
ที่นอกจากพับได้แบบ 60:40 แล้ว ยังสามารถปรับเปลี่ยนพื้นที่ใช้สอยได้ถึง 4 โหมด เช่น Utility Mode ที่ปรับเบาะหลังทั้ง 2 ฝั่งให้ราบเรียบ เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บของด้านหลัง, Long Mode กับการพับเบาะด้านหน้าและด้านหลัง เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บของในแนวยาว, Tall Mode ซึ่งทำการพับเบาะด้านหลังขึ้น สำหรับเพิ่มพื้นที่เก็บของในแนวสูง และสุดท้าย คือ Refresh Mode ที่พับเบาะด้านหน้า เชื่อมต่อกับเบาะด้านหลัง ในการสร้างพื้นที่ผ่อนคลาย
เช่นเดียวกับสิ่งอำนวยความสะดวกสบายที่ครบทุกฟังก์ชันเพื่อตอบโจทย์การใช้งาน เช่น หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ (Multi-Information Display), พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ, ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay พร้อมระบบสั่งการด้วยเสียง SIRI ตลอดจนเทคโนโลยีการเชื่อมต่อสื่อสาร Honda CONNECT อันโดดเด่นด้วย 8 ฟังก์ชันการใช้งานหลัก สำหรับอำนวยความสะดวก และเพิ่มความปลอดภัย
ส่วนขุมพลัง ยังคงน่าประทับใจเช่นเดียวเวอร์ชัน SEDAN จากพื้นฐานเครื่องยนต์เบนซิน พิกัด 1.0 ลิตร DOHC VTEC แบบ 3 สูบ 12 วาล์ว พ่วงระบบอัดอากาศ TURBO CHARGER ที่มอบพละกำลังสูงสุดมาให้ใช้ คือ 122 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 173 นิวตันเมตร ที่ 2,000-4,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT 7 สปีด พร้อม Paddle Shift เพื่อควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย ทั้งยังสร้างคุณสมบัติในระดับใกล้เคียงกัน ทั้งในเรื่องอัตราเร่ง และการประหยัดน้ำมันในระดับ 23.3 กิโลเมตรต่อลิตร ตลอดจนเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐานไอเสีย EURO 5 และการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ 100 กรัมต่อกิโลเมตร ไปจนถึงการรองรับน้ำมันเชื้อเพลิงระดับ E20
ก่อนปิดท้ายด้วยความมั่นใจจากเทคโนโลยีความปลอดภัย ตั้งแต่ โครงสร้างตัวถังนิรภัย G-Force Control, ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง, กล้องมองภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ (Multi-angle Rearview Camera) ตลอดจน ระบบป้องกันล้อล็อก (ABS) และระบบกระจายแรงเบรก (EBD), ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (Vehicle Stability Assist – VSA), ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (Hill Start Assist – HSA) ไปจนถึงระบบสัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน (Emergency Stop Signal – ESS)
BEST SEDAN UNDER 1,000 c.c.
HONDA CITY RS
หลังจากนำร่องด้วยขุมพลัง VTEC TURBO ในโมเดล HONDA CIVIC … ในที่สุดก็ถึงเวลาส่ง “เซอร์ไพรส์” ครั้งใหม่ ด้วย HONDA CITY เจเนอเรชันที่ 5 เปิดตัวเป็นครั้งแรกในโลก ซึ่งนำเสนอความโดดเด่นผ่านงานดีไซน์ที่ผสมผสานความสปอร์ตและความหรูหราอย่างลงตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรุ่นท็อปสุด ที่มากับชุดแต่งสไตล์ RS รอบคัน
ไม่เพียงเท่านั้น HONDA CITY RS ยังก้าวล้ำไปอีกขั้น ด้วยสมรรถนะอันเร้าใจ ที่เกิดขึ้นจากเครื่องยนต์เบนซินบล็อกใหม่ ในพิกัดเล็กเพียง 1.0 ลิตร DOHC VTEC แบบ 3 สูบ 12 วาล์ว เสริมแรงด้วยระบบอัดอากาศ TURBO CHARGER ที่สร้างพละกำลังสูงสุดได้ถึง 122 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 173 นิวตันเมตร ที่ 2,000-4,500 รอบต่อนาที
ซึ่งเป็นขีดความสามารถในระดับที่เรียกว่าเหนือกว่าเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร ขณะที่มีแรงบิดอยู่ในระดับเทียบเท่าเครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร โดยมีระบบส่งกำลังที่เลือกจับคู่กับชุดเกียร์อัตโนมัติ อัตราทดแปรผันแบบ CVT 7 สปีด พร้อม Paddle Shift สำหรับควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย เพื่อสร้างอรรถรสการขับขี่ที่โดดเด่น ทั้งอัตราเร่งอันต่อเนื่อง และการประหยัดน้ำมันที่ดีในระดับ 23.8 กิโลเมตรต่อลิตร รวมถึงความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐานไอเสีย EURO 5 ตลอดจนการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ต่ำเพียง 99 กรัมต่อกิโลเมตร และสามารถรองรับน้ำมัน E20 ได้
ต่อเนื่องจากเรื่องของ “สมรรถนะ” ก็คือ นวัตกรรมการเชื่อมต่อสื่อสารระหว่างผู้ขับขี่ และรถยนต์ ในชื่อ Honda CONNECT เจเนอเรชันล่าสุด ซึ่งแสดงผลผ่านหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch ซึ่งรองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และระบบสั่งการด้วยเสียง SIRI
ทั้งยังยกระดับความมั่นใจจากเทคโนโลยีความปลอดภัยสุดล้ำ ที่ประกอบด้วย โครงสร้างตัวถังนิรภัย G-Force Control เพื่อปกป้องห้องโดยสารจากการชนรอบทิศทาง เสริมด้วยถุงลม 6 ตำแหน่ง, ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) พร้อมระบบกระจายแรงเบรก (EBD), ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (Vehicle Stability Assist – VSA), ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (Hill Start Assist – HSA) และกล้องมองภาพด้านหลังที่ปรับมุมมองได้ถึง 3 ระดับ (Multi-angle Rearview Camera) ซึ่งจากความล้ำหน้าด้านนวัตกรรมที่กลายเป็นส่วนผสมสู่ความสมบูรณ์แบบ จึงทำให้ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า HONDA CITY RS คือ ยนตรกรรมที่เหมาะสมกับรางวัล BEST SEDAN UNDER 1,000 c.c. อย่างแท้จริง
BEST SEDAN UNDER 1,600 c.c.
HONDA CIVIC 1.5 TURBO RS
หากกล่าวถึงขุมพลัง VTEC TURBO บนพื้นฐานเครื่องยนต์เบนซินพิกัดเล็ก 1.0 ลิตรแล้ว คงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่พูดถึงยนตรกรรมระดับตำนาน อย่าง HONDA CIVIC ที่ปฏิวัติอารยธรรม VTEC ไร้ระบบอัดอากาศ สู่ประสิทธิภาพความแรงแห่งยุคสมัยใหม่ เพื่อสร้างประวัติศาสตร์ให้อนุกรม HONDA CIVIC
ด้วยไฮไลต์ในเรื่อง “สมรรถนะ” ที่พัฒนาขึ้นภายใต้คอนเซปต์ Earth Dreams Technology ให้กับเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร พ่วงระบบอัดอากาศ TURBO CHARGER และระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิงแบบ Direct Injection ที่ให้สมรรถนะการขับขี่เทียบเท่าเครื่องยนต์ขนาด 2.4 ลิตร แต่ประหยัดน้ำมันเทียบเท่าขนาด 1.8 ลิตร ด้วยเรี่ยวแรงระดับ 173 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 220 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์อัตโนมัติ CVT พร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift ทำหน้าที่ถ่ายทอดความเร้าใจสู่ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า
ซึ่งความเร้าใจของ HONDA CIVIC 1.5 TURBO RS นั้น ยังคงอยู่ภายใต้ความมั่นใจจากเทคโนโลยีความปลอดภัยตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน ที่มาพร้อมการเสริมด้วยระบบขั้นสูง Advanced Safety ผ่านโปรแกรม Honda SENSING ที่ใช้การผสานความสามารถของเรดาร์ และกล้องด้านหน้า เพื่อทำการตรวจจับสภาวะแวดล้อมบนท้องถนน ในการทำหน้าที่ช่วยแจ้งเตือน และช่วยควบคุมรถในสถานการณ์การขับขี่ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
โดยจะประกอบด้วย ระบบ CMBS (Collision Mitigation Braking System) สำหรับช่วยเตือนการชนรถ และคนเดินถนน พร้อมระบบช่วยเบรก, ระบบ ACC with LSF (Adaptive Cruise Control with Low Speed Follow) กับการทำหน้าที่ควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ, ระบบ LKAS – Lane Keeping Assist System ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ, ระบบ RDM with LDW (Road Departure Mitigation with Lane Departure Warning) ทำหน้าที่เตือน และช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ ปิดท้ายด้วยระบบ AHB (Auto High-Beam System) ช่วยปรับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติด้วยกล้อง
ซึ่งนั่นคือเหตุผลที่ช่วยตอกย้ำกับคณะกรรมการอีกครั้ง ในเรื่องของความเหมาะสม ที่ HONDA CIVIC 1.5 TURBO RS ยังคงเป็นผู้ครองรางวัล BEST
SEDAN UNDER 1,600 c.c. ไปอีกครั้งในปีนี้
BEST HATCHBACK UNDER 1,600 c.c.
HONDA CIVIC HATCHBACK 1.5 TURBO RS
และเมื่อ HONDA CIVIC 1.5 TURBO RS ยังคงเป็นที่ยอมรับจากคณะกรรมการอีกครั้งในปีนี้ กับฐานะที่สุดแห่งยนตรกรรมยอดเยี่ยมสไตล์ตัวถังซีดาน ก็คงไม่แปลกที่ HONDA CIVIC HATCHBACK 1.5 TURBO RS ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานเดียวกัน แต่ต่างรสชาติ ต่างอารมณ์ ด้วยสไตล์ตัวถังแบบ HATCHBACK จะยังคงครองรางวัล BEST HATCHBACK UNDER 1,600 c.c. ในปีนี้ไปอีกครั้งเช่นกัน
ซึ่งนอกเหนือจากความเร้าใจด้าน “สมรรถนะ” ด้วยเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร พ่วงระบบอัดอากาศ TURBO CHARGER และระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิงแบบ Direct Injection เรี่ยวแรงระดับ 173 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 220 นิวตันเมตร ที่พัฒนาขึ้นภายใต้คอนเซปต์ Earth Dreams Technology ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์อัตโนมัติ CVT พร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift แล้ว
ส่วนสำคัญก็คือ การเติมเต็มอารมณ์ และอรรถรสความสปอร์ตที่มากขึ้น ผ่านเรือนร่างการออกแบบตัวถังแบบ HATCHBACK ที่รับกับการติดตั้งชุดแต่งสปอร์ตดีไซน์ RS รอบคัน อันเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างความโดดเด่น และแสดงออกถึงความปราดเปรียวขณะเคลื่อนไหวอย่างเห็นได้ชัด จนกระทั่งกลายเป็นความสนุกสนานในการขับขี่
ที่มาพร้อมความมั่นใจเช่นเดียวกับในเวอร์ชันตัวถัง SEDAN ตั้งแต่การเสริมความปลอดภัยด้วยตัวช่วยขั้นพื้นฐาน ต่อเนื่องไปจนถึงสิ่งที่เรียกว่าเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูงแบบ Advanced Safety ภายใต้การควบคุมโดยระบบ Honda SENSING ที่ฉลาดล้ำด้วยการผสานความสามารถของเรดาร์ และกล้องด้านหน้า ในการทำหน้าที่ตรวจจับสภาวะแวดล้อมบนท้องถนน เพื่อช่วยแจ้งเตือน และช่วยควบคุมรถในสถานการณ์ที่มีความเสี่ยง
ประกอบไปด้วย ระบบ CMBS (Collision Mitigation Braking System) เพื่อช่วยเตือนการชนรถ และคนเดินถนน พร้อมระบบช่วยเบรก, ระบบ ACC with LSF (Adaptive Cruise Control with Low Speed Follow) ทำหน้าที่ในการควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมกับปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ, ระบบ LKAS – Lane Keeping Assist System ที่ช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ, ระบบ RDM with LDW (Road Departure Mitigation with Lane Departure Warning) ช่วยเตือน และช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ ตลอดจนระบบ AHB (Auto High-Beam System) ที่จะช่วยปรับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติด้วยกล้อง เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับทั้งตัวเอง และเพื่อนร่วมท้องถนน
จนท้ายที่สุด ทั้งหมดได้กลายเป็นเหตุผลสนับสนุนแก่คณะกรรมการ ซึ่งยังคงไม่เปลี่ยนใจที่จะมอบรางวัล BEST HATCHBACK UNDER 1,600 c.c. ให้กับ HONDA CIVIC HATCHBACK 1.5 TURBO RS ไปด้วยความเหมาะจากคุณสมบัติโดยรวมนั่นเอง
BEST HYBRID SEDAN UNDER 1,500 c.c.
HONDA CITY e:HEV
HONDA CITY e:HEV นับเป็นอีกหนึ่งผลงานล่าสุดที่ส่งตรงถึงเมืองไทย ภายใต้อนุกรมของเจเนอเรชันที่ 5 เพื่อเป็นการประกาศว่า HONDA CITY คือยนตรกรรมที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างหลากหลาย โดยเฉพาะจุดเด่นในเรื่องของเทคโนโลยีการขับเคลื่อน Full Hybrid เป็นครั้งแรก
HONDA CITY e:HEV นำเสนอความก้าวหน้าแห่งนวัตกรรม ด้วยการขับเคลื่อนแบบ Sport Hybrid Intelligent Multi-Mode Drive (i-MMD) โดยผสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร Atkinson-Cycle DOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว และมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ซึ่งใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ลิเทียม-ไอออน ให้การสร้างพละกำลังแรงบิดอันดุเดือดถึง 253 นิวตันเมตร ที่ 0-3,000 รอบต่อนาที
และมีชุดเกียร์อัตโนมัติแบบไฟฟ้า E-CVT รับหน้าที่ถ่ายทอดเรี่ยวแรงลงสู่ถนน เพื่อสร้างความประทับใจทั้งในเรื่องของสมรรถนะการขับขี่ ตลอดจนคุณสมบัติของยนตรกรรมรักษ์โลก เช่น อัตราการประหยัดน้ำมันระดับ 27.8 กิโลเมตรต่อลิตร ตามด้วยอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ต่ำเพียง 85 กรัมต่อ กิโลเมตร ไปจนถึงการรองรับน้ำมันเชื้อเพลิง E20
เหนืออื่นใด คือเรื่องของมาตรฐานความปลอดภัยที่จัดมาให้ครบครัน ผ่านโปรแกรมอัจฉริยะ Honda SENSING ซึ่งประกอบด้วย ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก CMBS (Collision Mitigation Braking System), ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control), ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ RDM with LDW (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning), ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ LKAS (Lane Keeping Assist System) และระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ AHB (Auto High-Beam)
เสริมทัพด้วยเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยอันล้ำสมัย เช่น ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch), ระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake), ระบบ Brake Hold อัตโนมัติ (Auto Brake Hold), ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock), กล้องมองภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ (Multi-angle Rearview Camera), ระบบป้องกันล้อล็อก (ABS), ระบบกระจายแรงเบรก (EBD), ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง VSA (Vehicle Stability Assist), ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน HSA (Hill Start Assist) และระบบสัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน ESS (Emergency Stop Signal)
รวมไปถึงเทคโนโลยีเชื่อมต่อสื่อสารระหว่างผู้ขับขี่และรถยนต์ Honda CONNECT ที่สามารถทำงานผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ ซึ่งมาพร้อม 8 ฟังก์ชันหลักในการใช้งาน เพื่อช่วยอำนวยความสะดวก และเพิ่มความปลอดภัยตลอดการเดินทางอย่างมั่นใจ ด้วยมาตรฐานออปชันในระดับเทียบเท่ากับยนตรกรรมขนาดกลาง บนยนตรกรรมพิกัด City Car ภายใต้ราคาสุดเร้าใจ
BEST MID-SIZE SEDAN UNDER 1,800 c.c.
HONDA ACCORD 1.5 TURBO
นวัตกรรมการลดขนาดเครื่องยนต์ (Engine Downsizing) จากค่าย HONDA นั้น ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่เฉพาะ HONDA CITY และ HONDA CIVIC เท่านั้น หากแต่ยังพัฒนาต่อเนื่องขึ้นไปถึงยนตรกรรมระดับ MID-SIZE SEDAN ยอดนิยม อย่าง HONDA ACCORD เช่นกัน ทั้งยังนำเสนอความยอดเยี่ยมอย่างน่าประทับใจ จนคณะกรรมการตัดสินมอบรางวัล BEST MID-SIZE SEDAN UNDER 1,800 c.c. ให้กับ HONDA ACCORD 1.5 TURBO ไปครอง
จากเหตุผลความโดดเด่นในเรื่องของสมรรถนะที่จัดจ้านด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 16 วาล์ว พิกัด 1.5 ลิตร ที่เสริมความร้ายกาจด้วยเทคโนโลยีการฉีดจ่าย เชื้อเพลิงแบบ Direct Injection และระบบอัดอากาศ Turbocharger จนได้เรี่ยวแรงสูงสุดมาให้ใช้ถึง 190 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 243 นิวตันเมตร ตั้งแต่ 1,500-5,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังสู่ล้อคู่หน้าผ่านชุดเกียร์อัตโนมัติ CVT พร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift เพื่อสร้างสมรรถนะการขับขี่อันสมบูรณ์แบบ เช่น ในเรื่องของอัตราการประหยัดเชื้อเพลิงที่ระดับ 16.4 กิโลเมตรต่อลิตร ทั้งยังรองรับน้ำมันเชื้อเพลิงถึงระดับ E85
ขณะเดียวกัน ยังสามารถเติมเต็มความสปอร์ตได้อย่างเร้าใจ ด้วยพละกำลังระดับ 190 แรงม้า และแรงบิด 243 นิวตันเมตร ที่เปลี่ยนเรือนร่างของยนตรกรรม MID-SIZE SEDAN ให้กลายเป็น SPORT MID-SIZE SEDAN ที่ขับสนุกในทุกย่านความเร็ว ด้วยความคล่องตัวที่ประกอบขึ้นจากระบบพวงมาลัย DUAL-PINION พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า (DP-EPS) และระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระ แม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ทำงานร่วมกับช่วงล่างด้านหลังแบบอิสระ มัลติลิงก์ พร้อมเหล็กกันโคลง ในการสร้างบุคลิกที่กระชับ
ภายใต้ความมั่นใจจากมาตรฐานระบบความปลอดภัยที่ติดตั้งมาให้อย่างแน่นหนา เช่น ระบบ Honda LaneWatch ช่วยแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน โดยใช้กล้องจับภาพบริเวณกระจกมองข้างด้านซ้าย, ระบบ Multi-angle Rearview Camera กล้องมองภาพด้านหลัง ปรับมุมมองได้ 3 ระดับ ทั้งแบบ 130 องศา 180 องศา และมุมมองจากด้านบน สำหรับช่วยเพิ่มความมั่นใจในการถอยจอด รวมถึงระบบ Driver Attention Monitor ที่ช่วยเตือนความเหนื่อยล้าขณะขับขี่
ผสานด้วยระบบป้องกันล้อล็อก และระบบกระจายแรงเบรก (ABS & EBD), ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (VSA), ระบบเพิ่มความคล่องตัวในการขับขี่ (AHA), ระบบช่วยออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (HSA) ตลอดจนระบบ Emergency Stop Signal (ESS) สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน …เพราะฉะนั้น ด้วยคุณสมบัติทั้งหมดที่คณะกรรมการได้สัมผัส จึงถือเป็นความเหมาะสมอย่างยิ่ง ที่ HONDA ACCORD 1.5 TURBO จะรับรางวัลนี้ไปครอบครอง
BEST DIESEL SUV UNDER 1,600 c.c.
HONDA CR-V 1.6 DT-EL 4WD
และท้ายสุดแห่งความเหมาะสมกับรางวัล BEST DIESEL SUV UNDER 1,600 c.c. ก็คือ HONDA CR-V 1.6 DT-EL 4WD ยนตรกรรมอเนกประสงค์ SUV ที่ยังคงมากับความสปอร์ต สไตล์หรู และลงตัวกับความแข็งแกร่ง ด้วยออปชันสุดล้ำ เช่น หลังคา Panoramic Sunroof แบบไฟฟ้า พร้อมระบบเปิด-ปิด One-Touch, ระบบส่องสว่างแบบ LED ทั้งชุดไฟหน้า, ไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวัน Daytime Running Light, ไฟเลี้ยวแบบ Sequential ไปจนถึงชุดไฟท้าย ภายในอันกว้างขวางถูกออกแบบโดยเน้นความหรูหรา และอัดแน่นด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายระดับพรีเมียม ไม่ว่าจะเป็น ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ i-Dual Zone พร้อมระบบปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารแถวหลัง, เทคโนโลยีการเชื่อมต่อล้ำสมัยผ่านหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว แบบ Advanced Touch ที่รองรับ Apple CarPlay, ระบบสั่งการด้วยเสียง Siri และระบบนำทางเนวิเกเตอร์ ตลอดจนระบบเปิด-ปิดฝาท้ายอัตโนมัติ ด้วยไฟฟ้า พร้อมระบบ Hands-free Power Tailgate ที่สามารถควบคุมด้วยรีโมท พร้อมการปรับระดับความสูงได้
นอกเหนือจากออปชันที่โดดเด่นแล้ว ขุมพลังยังเป็นอีกหนึ่งสิ่งเซอร์ไพรส์ จากการขับเคลื่อนผ่านขุมพลัง i-DTEC DIESEL TURBO แบบ 4 สูบ ขนาด 1.6 ลิตร ที่มีกำลังสูงสุดถึง 160 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุดที่ 350 นิวตันเมตร เทียบเท่ากับเครื่องยนต์ดีเซลขนาดใหญ่ ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีดระบบไฟฟ้า ที่ควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ด้วยสวิตช์ (Shift by Wire) เพื่อขับเคลื่อนล้อทั้ง 4 แบบ 4WD ซึ่งเปี่ยมไปด้วยอัตราเร่ง และอัตราการประหยัดน้ำมันที่ 17.9 กิโลเมตรต่อลิตร
ขณะที่ระบบความปลอดภัยยังคงจัดมาให้เต็มพิกัด ด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะ Honda SENSING ทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้ขับขี่ ผ่านระบบเตือนการชนรถและคนเดินถนน พร้อมระบบช่วยเบรก CMBS (Collision Mitigation Braking System), ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ ACC with LSF (Adaptive Cruise Control with Low-Speed Follow), ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ LKAS (Lane Keeping Assist System), ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ RDM with LDW (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning) และระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ AHB (Auto High-Beam)
พร้อมทัพเสริม เช่น ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch), ระบบช่วยเตือนความเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (Driver Attention Monitor), ระบบเพิ่มความคล่องตัวในการขับขี่ (Agile Handling Assist) ไปจนนวัตกรรมเชื่อมต่อเพื่อการสื่อสาร อย่าง Honda CONNECT เพื่อการตอบโจทย์ความอเนกประสงค์ได้ทุกความต้องการ