Car of the year 2021 – MG
Absolutely The Best : MG
BEST 5 Door EV SPORT HATCHBACK
MG EP
BEST HYBRID SUV UNDER 1,600 c.c.
MG HS PHEV
BEST 5 Door EV SPORT HATCHBACK
MG EP
หาก MG HS PHEV คือยนตรกรรมที่เหมาะสมกับรางวัล Best Hybrid SUV Under 1,600 cc. ด้วยความสมบูรณ์แบบในฐานะยนตรกรรม Plug-in Hybrid ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ MG EP ยนตรกรรม Station Wagon รุ่นล่าสุด ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% จะคว้ารางวัล Best 5 Door EV Sport Hatchback ไปครอบครอง
โดยความเหมาะสมกับรางวัลของ MG EP นั้น เริ่มจากแนวคิด “EV for Everyone ตอบโจทย์ทุกฟังก์ชัน รถยนต์พลังงานไฟฟ้าของทุกคน” ครบด้วยคุณสมบัติมาตรฐานของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ประกอบด้วย ขนาดของห้องโดยสารและพื้นที่ใช้สอย (Space & Roominess) โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์สไตล์ Station Wagon มีมิติตัวถังขนาดใหญ่ ความยาวตลอดตัวถัง 4,544 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อที่กว้างถึง 2,665 มิลลิเมตร ทำให้ NEW MG EP มีพื้นที่ห้องโดยสารกว้างขวาง นั่งสบาย และพื้นที่เก็บสัมภาระขนาดใหญ่ โดยเมื่อพับเบาะหลังจะสามารถเพิ่มที่พื้นที่ความจุได้มากสูงสุดถึง 1,456 ลิตร รองรับการบรรทุกทั้งคนและสิ่งของได้เป็นอย่างดี
มีระบบความปลอดภัยและสิ่งอำนวยความสะดวก (Safety & Convenience) ที่ครบครัน มั่นใจทุกการเดินทางด้วยเทคโนโลยีระบบความปลอดภัยตามมาตรฐาน ที่ประกอบด้วย ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรกฉุกเฉิน ABS, ระบบกระจายแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBD, ระบบเสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA, ระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB, ระบบป้องกันการไหลของรถโดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้าง AVH, ระบบควบคุมการทรงตัว SCS, ระบบควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้ง CBC, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS, ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS, ระบบสัญญาณไฟแจ้งเตือน เมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน ESS และระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS ขณะที่ฟังก์ชันอำนวยความสะดวกนั้น มากับชุดหน้าจอแสดงผลอัจฉริยะแบบดิจิทัล (Digital Multi-Function Display) ขนาด 7 นิ้ว สำหรับผู้ขับขี่ และชุดหน้าจอ Touchscreen ขนาด 8 นิ้ว ที่รองรับการเชื่อมต่อกับ Apple CarPlay ตกแต่งภายในด้วยวัสดุแบบ Soft Touch และงานดีไซน์เส้นสายแบบ CARBOXNYXE เพื่อแสดงให้เห็นถึงความประณีตในทุกรายละเอียด รวมถึงเบาะนั่งคู่หน้าที่ออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ (Anti-Curved Surface Design)
สมรรถนะจาก EV เทคโนโลยี (EV Technology) ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นไฮไลต์ของ MG EP ในฐานะของยนตรกรรมพลังไฟฟ้า 100% ในแบบที่ตอบโจทย์ได้ทั้งพละกำลัง อัตราเร่ง และระยะทางที่เพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน จากความล้ำหน้าด้วยการใช้แบตเตอรี่ Lithium-ion มีความจุรวมมากถึง 50.3 กิโลวัตต์ ทำให้สามารถขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าได้ไกลสูงสุด 380 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง ตามมาตรฐานทดสอบความประหยัดพลังงาน New European Driving Cycle – NEDC) นอกจากนี้แบตเตอรี่ของ MG EP ยังได้รับการทดสอบตามมาตรฐานการป้องกันน้ำ และฝุ่น ระดับ IP67 พร้อมด้วยระบบระบายความร้อนแบบ Liquid Cooling System ที่จะช่วยให้แบตเตอรี่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ภายใต้สภาวะต่างๆ
โดยให้พละกำลังได้สูงสุดถึง 163 แรงม้า พร้อมแรงบิดระดับ 260 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์ไฟฟ้า พร้อมรูปแบบการขับขี่ที่เลือกได้ 3 โหมด คือ Normal, Eco และ Sport ขณะที่การชาร์จไฟนั้น ทำได้ 2 รูปแบบ คือ Quick Charge แบบ DC ผ่านหัวชาร์จประเภท CCS Combo 2 โดยชาร์จพลังงานตั้งแต่ 0-80% ในระยะเวลาประมาณ 40 นาที และ Normal Charge แบบ AC ชาร์จพลังงานตั้งแต่ 0-100% ผ่าน MG Home Charger ที่เป็นหัวชาร์จ Type II ได้ในเวลาประมาณ 7 ชั่วโมง 15 นาที ขึ้นอยู่กับระดับแบตเตอรี่ที่เหลืออยู่ นอกจากนี้ ยังสามารถชาร์จพลังงานในระหว่างการขับขี่กลับเข้าแบตเตอรี่ (Regenerative) ได้ด้วยระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) โดยเลือกระดับการชาร์จกลับได้ถึง 3 ระดับ
คุ้มค่าในการเป็นเจ้าของ (Value for Money) ด้วยค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน และค่าบำรุงรักษาที่ต่ำ จึงช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ โดยการชาร์จผ่าน MG Home Charger มีค่าไฟฟ้าอยู่ที่ประมาณ 200 บาท/การชาร์จไฟ 1 ครั้ง ตลอดจนค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาตามระยะทางตลอดระยะเวลา 5 ปีหรือ 100,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) อยู่ที่ 7,828 บาท นอกจากนี้ ยังได้รับการประกันคุณภาพ และการดูแลบริการหลังการขายภายใต้ MG Passion Service นาน 4 ปีหรือ 120,000 กิโลเมตร และการรับประกันแบตเตอรี่นานถึง 8 ปี หรือ 180,000 กิโลเมตร รวมถึงมีเทคโนโลยีการเปลี่ยนแบตเตอรี่แบบ Module มาใช้ ซึ่งหากจำเป็นต้องมีการบำรุงรักษานั้น ก็สามารถแยกเปลี่ยนเฉพาะ Module ได้โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนทั้งชุด ทำให้ช่วยลดค่าใช้จ่ายระยะยาวได้มากขึ้นอีกด้วย… และทั้งหมดก็คือความคุ้มค่าน่าเป็นเจ้าของจาก MG EP ยนตรกรรมที่เหมาะสมที่สุดกับรางวัล Best 5 Door EV Sport Hatchback
BEST HYBRID SUV UNDER 1,600 c.c.
MG HS PHEV
รางวัล Best Hybrid SUV Under 1,600 c.c. จากงาน Thailand Car of The Year ในปีนี้ คงเป็นอื่นใดไปไม่ได้ นอกจาก MG HS PHEV ยนตรกรรมอเนกประสงค์แห่งความครบครัน และคุ้มค่า ตั้งแต่งานดีไซน์ที่โดดเด่น ภายใต้แนวคิด Brit Dynamic ซึ่งผสมผสานความหรูหราและความสปอร์ตอย่างลงตัว เช่น ชุดกระจังหน้าเอกลักษณ์เฉพาะแบบ Stellar Magnetic Field ประกบด้วยชุดไฟหน้าแบบ LED Projector พร้อมระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ และระบบไฟส่องสว่างสำหรับขับขี่เวลากลางวัน (Daytime Running Lights) ไปจนถึงชุดไฟท้ายแบบ LED Space Light Field รวมถึงชุดไฟเลี้ยวแบบ Sequential ที่แสดงผลแบบไล่ระดับ ก่อนจะแสดงฐานะความเป็นยนตรกรรม Plug-in Hybrid ด้วยล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ สไตล์ Thunder Wing Blade ขนาด 18 นิ้ว
เช่นเดียวกับภายในห้องโดยสารที่มากับสไตล์สีแบบ 2-Tone Monaco Blue ต่อเนื่องด้วยความสะดวกสบายซึ่งสัมผัสได้อย่างเต็มระบบ เช่น การเลือกใช้วัสดุแบบ Soft Touch พร้อมกับสร้างความโดดเด่นด้วยเบาะหนังคู่หน้าแบบ Sport Bucket Seat ตกแต่งด้วยวัสดุ Alcantara โดยมีระบบปรับไฟฟ้า 6 ทิศทางฝั่งคนขับ และ 4 ทิศทางสำหรับผู้โดยสาร
ต่อเนื่องด้วยระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบแยกฝั่ง Dual Zone พร้อมช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารด้านหลังที่มีระบบกรองอากาศ PM 2.5 เสริมด้วยหลังคาแบบ Panoramic Sunroof บนพื้นที่เกือบ 90% ของหลังคา ตลอดจนหน้าจอแสดงผลอัจฉริยะ Full Virtual Dashboard ขนาด 12 นิ้ว และหน้าจอควบคุมบนคอนโซลกลางแบบ Touch Screen ขนาด 10 นิ้ว พร้อมไฮไลต์จากระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ i-SMART ที่ทำให้ผู้ขับขี่สามารถสื่อสารกับรถเสมือนเป็นหนึ่งเดียวกัน ผ่านเทคโนโลยี AI ซึ่งสามารถสั่งการระบบผ่านคำสั่งเสียงภาษาไทย หรือควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ผ่านสมาร์ทโฟน
เหนืออื่นใดก็คือ ระบบขับเคลื่อนของ MG HS PHEV ที่มากับคุณสมบัติของเทคโนโลยี Plug-in Hybrid อันเหนือชั้น จากการผสานเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ ขนาด 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 162 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร และมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor ให้กำลังสูงสุด122 แรงม้า และแรงบิด 230 นิวตันเมตร รวมกำลังสร้างเรี่ยวแรงรวมสูงสุดในระดับ 284 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุดที่ 480 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัต 10 สปีด ที่ใช้เวลาเปลี่ยนเกียร์อย่างรวดเร็วเพียง 0.2 วินาที ทั้งยังมาพร้อมกับฟังก์ชันปรับเปลี่ยนรูปแบบการขับได้ขี่ถึง 5 สไตล์ คือ Normal, Eco, EV, Sport และ Super Sport
โดยเทคโนโลยี Plug-in Hybrid ของ MG HS PHEV นั้น ใช้พลังงานในการขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ Lithium-Ion แบบ 6 โมดูล ซึ่งเป็นเทคโนโลยีแบตเตอรี่ขั้นสูง โดยพัฒนาให้มีขนาดใหญ่ถึง 16.6 กิโลวัตต์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและเสถียรภาพในการสะสมพลังงาน จึงทำให้ MG HS PHEV สามารถขับเคลื่อนได้นาน รวมถึงทำระยะทางได้มากขึ้นด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% สูงสุดถึง 67 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ทั้งยังมาพร้อมระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) ที่สามารถชาร์จพลังงานในระหว่างการขับขี่กลับเข้าแบตเตอรี่ (Regenerative) ที่เลือกการชาร์จพลังงานกลับได้ถึง 3 ระดับ
นอกจากนี้ยังมีการใช้เทคโนโลยีในมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Hairpin Design ที่ช่วยให้ดึงสมรรถนะการส่งกำลัง และลดอัตราการสูญเสียพลังงานได้ดียิ่งขึ้น รวมไปถึงการใช้ระบบระบายความร้อนแบบ Coolant ที่ดีกว่า จึงทำให้มอเตอร์ไฟฟ้าทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ตลอดจนเพิ่มความมั่นใจด้วยผ่านมาตรฐานความปลอดภัยระดับโลก AMERICAN UL2580 และผ่านการทดสอบตามมาตรฐาน IP67 ในการป้องกันน้ำ และฝุ่นอีกด้วย
ซึ่งจากเทคโนโลยีระบบ Plug-in Hybrid ที่กล่าวมา ได้ทำให้ MG HS PHEV สร้างอัตราการประหยัดน้ำมันสูงสุดอยู่ได้ถึง 65 กม./ลิตร พร้อมทั้งมีการปล่อยค่าคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำเพียง 36 กรัม/กม. เท่านั้น ด้วยผลการยืนยันข้อมูลจาก Eco Sticker
และไม่ใช่เพียงสมรรถนะเท่านั้น ที่สามารถทำให้ MG HS PHEV คว้ารางวัลไปครอบครองได้อย่างน่าภูมิใจ หากแต่ยังรวมถึงระบบปลอดภัยรอบคัน ตามมาตรฐานยุโรป Advanced Synchronized Protection System รวมแล้วกว่า 25 ระบบ ซึ่งประกอบด้วยระบบความปลอดภัยเชิงป้องกันก่อนเกิดอุบัติเหตุจำนวน 14 ระบบ และระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ Advanced Driver Assistance System (ADAS)
จำนวน 11 ระบบ โดยแบ่งออกเป็น3 กลุ่มหลัก คือ
กลุ่มระบบที่ช่วยป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดจากมุมอับสายตา RDA (Rear Drive Assist)
ระบบช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน LCA (Lane Change Assist)
ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา BSD (Blind Spot Detection)
ระบบช่วยเตือนขณะถอยหลัง RCTA(Rear Cross Traffic Alert)
ระบบช่วยเตือนการเปิดประตู DOW (Door Open Warning)
กลุ่มระบบเตือนและควบคุมให้รถอยู่ในเลน LAS (Lane Assist System)
ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning)
ระบบช่วยควบคุมรถเมื่อรถจะออกนอกเลน LDP (Lane Departure Prevention)
ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA (Lane Keep Assist)
กลุ่มระบบที่ช่วยในการขับขี่ FDA (Front Drive Assist)
ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control)
ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist)
ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าในขณะขับขี่ FCW (Forward Collision Warning) ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ IHC (Intelligent High-Beam Control)
เสริมด้วยอุปกรณ์ความปลอดภัย เช่น จุดยึดเบาะนั่งเด็ก ISOFIX ระบบล็อกประตูอัตโนมัติ (Speed Sensing Door Lock) เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงรั้งกลับ ถุงลมนิรภัย 6 จุด กล้องมองภาพรอบทิศทางแบบ 3 มิติ (3D Around View Monitor) และระบบกุญแจนิรภัยแบบ Immobilizer ที่เรียกได้ว่า เต็มอิ่มกับสมรรถนะการขับขี่ ภายใต้ความมั่นใจและปลอดภัยอย่างสมบูรณ์แบบเลยทีเดียว