Car of the year 2021 – Toyota
จุดสูงสุดของรางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี
กว่าสองทศวรรษแห่งความสำเร็จ บนเส้นทางอุตสาหกรรมไทย
BEST SEDAN UNDER 1,500 c.c.
l TOYOTA VIOS
BEST HYBRID SEDAN
UNDER 1,800 c.c.
l TOYOTA COROLLA ALTIS HV HIGH
BEST HYBRID MID-SIZE SEDAN UNDER 2,500 c.c.
l TOYOTA CAMRY 2.5HV PREMIUM
BEST HYBRID SUV UNDER 1,800 c.c.
l TOYOTA COROLLA CROSS HYBRID PREMIUM SAFETY
BEST MPV UNDER 1,600 c.c.
l TOYOTA SIENTA
BEST VAN UNDER 3,000 c.c.
l TOYOTA INNOVA 2.8 CRYSTA PREMIUM
BEST DIESEL 2WD PPV UNDER 2,500 c.c.
l TOYOTA FORTUNER 2.4V
BEST DIESEL 4WD PPV UNDER 3,200 c.c.
l TOYOTA FORTUNER
2.8 Legender
BEST SELLING BRAND & BEST EXPORT BRAND
l TOYOTA
BEST FUEL ECONOMY PICKUP UNDER 3,200 c.c.
l TOYOTA HILUX REVO
BEST SEDAN UNDER 1,500 c.c.
TOYATA VIOS
หากกล่าวถึงรถยนตืนั่งยอดนิมเจ้าตลาดเมืองไทย หนึ่งในชื่อที่หลายคนปฏิเสธไม่ได้ คือ TOYOTA VIOS ที่ผ่านการปรับปรุงและพัฒนามาจนถึงเจเนอเรชันปัจจุบัน ซึ่งล่าสุดได้ทำาการปรับโฉมใหม่ ภายใต้แนวคิด “NEW VIOS SUPER SPEC” ที่อัปเกรดความคุ้มค่า จากการเพิ่มเติมฟังก์ชันอำานวยความสะดวกสบาย และความปลอดภัยมากขึ้น
ประกอบด้วย ชุดไฟหน้าโปรเจคเตอร์รมดำาพร้อม LED Light Guiding และ Daytime Running Lights และไฟตัดหมอกหน้าแบบ LED วัสดุหุ้มเบาะที่ทำาจากหนังสังเคราะห์โทนสีดำา เพื่อเติมเต็มความรู้สึกสปอร์ต พร้อมด้วยชุดเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสรองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth และฟังก์ชัน T-Link ที่สามารถใช้งานได้หลากหลาย รองรับได้ทั้งระบบ iOS และ Android ไปจนถึงการติดตั้งกล้องบันทึกภาพหน้ารถ ทำางานร่วมกับกล้องมองหลัง และสัญญาณกะระยะถอยหลัง มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน สำาหรับยกระดับความปลอดภัยให้ครบครัน
ส่วนจุดเด่นที่ทำาให้ TOYOTA VIOS ยังคงครองใจผู้บริโภคชาวไทยและคณะกรรมการ จนสามารถคว้ารางวัล BEST SEDAN UNDER 1,500 c.c. ไปครองได้ก็คือ ขุมพลังที่เกิดจากเครื่องยนต์เบนซิน รหัส 2NR-FBE ในพิกัด 1.5 ลิตร แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมระบบ DUAL VVT-i เสริมแรงด้วยระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิงแบบหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ EFI ซึ่งมีกำาลังสูงสุดให้ใช้ถึง 108 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 140 นิวตันเมตร ที่ 4,200 รอบต่อนาที ส่งกำาลังด้วยเกียร์ อัตโนมัติแบบ CVT พร้อมระบบ Sport Sequential Shift 7 สปีด
ผสานด้วยระบบพวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้า EPS (Electric Power Steering) และ ระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง และด้านหลังแบบทอร์ชันบีม พร้อมคอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง เพื่อสร้างอรรถรสเร้าใจในการขับขี่ ทั้งยังรวมถึงการมีอัตราการประหยัดเชื้อเพลิงในระดับยอดเยี่ยม ด้วยตัวเลขการันตี 17.2 กม.ต่อลิตร ตลอดจนรองรับน้ำามันเชื้อเพลิงได้ถึง E85 พร้อมค่ามาตรฐานไอเสีย EURO 4 ที่ช่วยสร้างความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วยเช่นกัน
BEST HYBRID SEDAN UNDER 1,800 c.c.
TOYOTA COROLLA ALTIS HV HIGH
ความเหมาะสมกับรางวัล BEST HYBRID SEDAN UNDER 1,800 c.c. คงเป็นอื่นใดไปไม่ได้ นอกจาก TOYOTA COROLLA ALTIS HV HIGH ยนตรกรรม ยอดนิยมของคนไทย ที่มาพร้อมการก้าวข้ามสู่ขีดสุดที่เหนือกว่า ทั้งในเรื่องของงานดีไซน์ที่แสดงออกถึงความสปอร์ตอย่างเห็นได้ชัด เพื่อสื่อสารถึงการเปลี่ยนแปลงด้านสมรรถนะที่แตกต่าง โดยมีจุดเริ่มจากสถาปัตยกรรมยานยนต์ใหม่ TNGA (Toyota New Global Architecture) ที่สร้างความสนุกสนานในการขับขี่อย่างเต็มที่ เช่น BODY RIGIDITY การเพิ่มความมั่นคงของรถจากโครงสร้างที่แข็งแรง, LOWER CENTER OF GRAVITY การออกแบบให้มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทรงตัว ร่วมกับระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังแบบอิสระ ปีกนกคู่ ตลอดจน GOOD HANDLING ที่เกิดจากการปรับเซตพวงมาลัยใหม่ และงานดีไซน์ที่เหมาะสมกับสรีระ ช่วยเพิ่มทัศนวิสัย ไปพร้อมๆ กับลดจุดอับสายตาได้ดีขึ้น
ตามด้วยในส่วนของขุมพลังที่โดดเด่น
ด้วยการขับเคลื่อนผ่านระบบไฮบริด
เจเนอเรชันที่ 4 ซึ่งพัฒนาแบตเตอรี่ใหม่ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพให้กับทั้งเครื่องยนต์ 2ZR-FXE แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว ในพิกัด 1.8 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 98 แรงม้า ที่ 5,200 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 142 นิวตันเมตร ที่ 3,600 รอบต่อนาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าผ่านแบตเตอรี่ไฮบริด Ni-MH (Nickel-Metal Hydride) ที่ให้กำลังสูงสุด 53 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 163 นิวตันเมตร ซึ่งสร้างพละกำลังรวมได้ถึง 122 แรงม้า ส่งกำลังผ่านชุดเกียร์อัตโนมัติ E-CVT เสริมด้วยการควบคุมจากระบบพวงมาลัย EPS (Electric Power Steering) และชุดช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระ แม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง และด้านหลังแบบอิสระ ปีกนกคู่ พร้อมเหล็กกันโคลง ที่ส่งเสริมให้เกิดบุคลิกการขับขี่ที่เฉียบคม ฉับไว
ภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยระดับโลก ที่ประกอบด้วย ระบบความปลอดภัยก่อนการชน (Active Safety) และระบบความปลอดภัยหลังการชน (Passive Safety) พร้อมด้วยไฮไลต์สำคัญ คือ ระบบ Toyota Safety Sense ใหม่ล่าสุด ซึ่งเพิ่มเติมระบบ Dynamic Radar Cruise Control แบบ Full-Speed range ที่สามารถปรับลดความเร็วจนถึงจุดหยุดนิ่งตามรถยนต์คันหน้า และระบบ Lane Tracing Assist ที่จะช่วยประคองรถยนต์ให้วิ่งอยู่ในเลนได้เอง แม้ในขณะเข้าโค้ง เพื่อช่วยลดความเมื่อยล้าในขณะขับขี่อีกด้วย
BEST HYBRID MID-SIZE SEDAN UNDER 2,500 c.c.
l TOYOTA CAMRY 2.5HV PREMIUM
เป็นอีกหนึ่งปีที่ TOYOTA CAMRY 2.5HV PREMIUM ยังคงครองตำแหน่ง BEST HYBRID MID-SIZE SEDAN UNDER 2,500 c.c. ไว้ด้วยความยอดเยี่ยมรอบด้าน ตามสไตล์ยนตรกรรมหรูขนาดกลางระดับเรือธงของค่าย ในฐานะเวอร์ชันท็อปสุด ตั้งแต่ในเรื่องของงานดีไซน์ ไปจนถึงการเลือกใช้วัสดุเกรดพรีเมียมเข้ามาเป็นส่วนประกอบสำคัญ เสริมด้วยออปชันอำนวยความสะดวกสบายที่ครบเครื่อง ในแบบที่ไม่อาจเปลี่ยนใจคณะกรรมการได้
เหนืออื่นใด คือความประทับใจที่ยังคงเกิดขึ้นจากสมรรถนะที่อัปเกรดขึ้นไปอีกขั้น จากพื้นฐานเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.5 ลิตร รหัส A25A-FXS แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว D-4S เสริมประสิทธิภาพด้วยระบบวาล์วแปรผัน VVT-iE ที่ให้พละกำลังสูงสุด 178 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 221 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงที่มีเรี่ยวแรงระดับ 88 แรงม้า และแรงบิด 202 นิวตันเมตร จากแบตเตอรี่ไฮบริดแบบ Ni-MH (Nickel-Metal Hydride) ความจุ 6.5 แอมป์ เพื่อส่งให้ TOYOTA CAMRY 2.5HV PREMIUM มีกำลังรวมสูงสุดทั้ง 2 ระบบ สูงถึง 211 แรงม้า
ขณะที่ระบบส่งกำลังยังคงจับคู่กับชุดเกียร์อัตโนมัติ E-CVT (Electronically-Controlled Continuously Variable Transmission) ที่มาพร้อมฟังก์ชันปรับรูปแบบการขับขี่ มีให้เลือก 3 โหมด คือ ECO Drive, Normal Drive, Sport Drive และ EV Drive ที่จะใช้กำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวในการขับเคลื่อน ซึ่งขึ้นอยู่กับปริมาณไฟในแบตเตอรี่ Hybrid
ทั้งยังมาพร้อมการตอบโจทย์ความเร้าใจทุกสไตล์การขับขี่ จากสถาปัตยกรรมโครงสร้างยานยนต์ใหม่ TNGA (Toyota New Global Architecture) ภายใต้ความมั่นใจจากระบบความปลอดภัยมาตรฐานระดับโลกในชื่อ Toyota Safety Sense ทำงานร่วมกับฟังก์ชันมาตรฐานทั้งแบบป้องกัน (Active Safety) และแบบปกป้อง (Passive Safety) รวมไปถึงการมีผู้ช่วยส่วนตัว ที่พร้อมดูแลตลอดการเดินทาง จากระบบเชื่อมต่ออันล้ำสมัย อย่าง T-Connect by Toyota อีกด้วย
BEST HYBRID SUV UNDER 1,800 c.c.
l TOYOTA COROLLA CROSS HYBRID PREMIUM SAFETY
หนึ่งในยนตรกรรมที่สร้างกระแสฮือฮาของ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ซึ่งเปิดตัวในช่วงปีที่ผ่านมา ต้องยกให้กับ TOYOTA COROLLA CROSS ที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพ จนสามารถคว้ารางวัล BEST HYBRID SUV UNDER 1,800 c.c. ไปครอง โดยเฉพาะในรุ่นย่อยสูงสุด อย่าง PREMIUM SAFETY
ด้วยความโดดเด่นในฐานะยนตรกรรมอเนกประสงค์ SUV ที่มาพร้อมแนวคิด A New Journey…ให้ชีวิตเดินทาง สร้างความสะดุดตาด้วยงานดีไซน์ภายนอกที่ปราดเปรียวเหนือระดับ รับกับการออกแบบภายในได้อย่างลงตัว และรายล้อมด้วยออปชันมาตรฐานสุดล้ำ เช่น หลังคามูนรูฟแบบไฟฟ้า, ชุดไฟหน้า LED Projector แบบ Hybrid ที่มากับระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ พร้อมระบบ Follow-Me-Home เสริมด้วยชุดไฟ Daytime Running Lights LED แบบ Light Guiding, ไฟตัดหมอกหน้าแบบ LED จนถึงชุดไฟท้ายแบบ LED Light Guiding และไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED ทั้งยังเติมเต็มความสปอร์ตด้วยล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว
ภายในห้องโดยสารเร้าใจด้วยโทนสีแดงใหม่ Terra Rossa พร้อมเบาะนั่งคนขับที่ปรับไฟฟ้าได้ 8 ทิศทาง, ชุดหน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่ MID (Multi Information Display) ขนาด 7 นิ้ว และความบันเทิงจากหน้าจอสัมผัสขนาด 9 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay, Bluetooth, USB และระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ Dual Zone พร้อมช่องระบายอากาศสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง โดยมีไฮไลต์เป็นระบบการเชื่อมต่อ T-Connect by Toyota ที่เปรียบเสมือนมีผู้ช่วยส่วนตัว ที่พร้อมดูแลตลอดการเดินทาง
ส่วนจุดเด่นแท้จริงต้องยกให้เรื่อง “สมรรถนะ” ที่ประกอบด้วย สถาปัตยกรรมโครงสร้างยานยนต์ใหม่ TNGA (Toyota New Global Architecture) ที่สอดรับกับประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ 2ZR-FXE ขนาด 1.8 ลิตร แบบ Atkinson Cycle พร้อมระบบ VVT-i ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าจากระบบไฮบริดเจเนอเรชันที่ 4 ประสิทธิภาพสูง ด้วยแบตเตอรี่ไฮบริด Ni-MH (Nickel- Metal Hydride) ที่มีขนาดเล็กลง และเก็บประจุไฟฟ้าได้รวดเร็ว พร้อมชุด PCU (Power Control Unit) ที่พัฒนาให้ระบายความร้อนได้ดีขึ้น
เสริมด้วยการส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ E-CVT พร้อม Shift Lock ผสานการทำงานให้เกิดการขับขี่ที่นุ่มนวลต่อเนื่อง ผ่านรูปแบบการขับขี่ให้เลือก 3 โหมด คือ EV, SPORT และ ECO MODE ที่ช่วยให้เกิดการประหยัดได้ถึง 23.3 กม.ต่อลิตร และปิดท้ายด้วยเรื่องของระบบความปลอดภัยสุดล้ำมาตรฐานระดับโลก Toyota Safety Sense ทำงานร่วมกับฟังก์ชันมาตรฐานทั้งแบบป้องกัน (Active Safety) และแบบปกป้อง (Passive Safety)
BEST MPV UNDER 1,600 c.c.
l TOYOTA SIENTA
TOYOTA SIENTA ยังคงมากับฐานะรถอเนกประสงค์ MPV (Multi-Purpose Vehicle) พิกัด Compact ที่เปี่ยมไปด้วยความ “คุ้มค่า” โดยเฉพาะเวอร์ชันล่าสุด ที่ได้ทำการปรับปรุงใหม่ภายใต้แนวคิด “คลิกให้ชีวิตสุดชิค” เพื่อสร้างการตอบโจทย์ที่กว้างขวางให้กับทุกไลฟ์สไตล์ ตั้งแต่การดีไซน์รูปลักษณ์ภายนอกใหม่ เพิ่มเติมฟังก์ชันอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบาย ควบคู่ไปกับเอกลักษณ์ในการขับขี่ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสนุกสนาน
โดยคุณสมบัติที่ครองใจคณะกรรมการของ TOYOTA SIENTA เริ่มต้นตั้งแต่รูปลักษณ์ภายนอก รับกับห้องโดยสารที่มีจุดเด่นความอเนกประสงค์กับความสามารถปรับเปลี่ยนตำแหน่งเบาะนั่งด้านหลังได้หลายรูปแบบ เพื่อเพิ่มพื้นที่บรรทุกสัมภาระ ซึ่งใช้งานได้อย่างง่ายดาย ผ่านระบบสัมผัส 1-Touch Tumble รวมไปถึงความสะดวกในการขึ้น-ลงห้องโดยสารด้วยประตูข้างสไลด์อัตโนมัติ พร้อมระบบช่วยปิดประตูแบบไฟฟ้า (Easy Closer)
ขณะที่ฟังก์ชันความบันเทิงได้รับการติดตั้งมาให้อย่างครบครัน เช่น ชุดหน้าจอสัมผัสขนาด 6.8 นิ้ว…ใหม่ พร้อมฟังก์ชัน T-Link เชื่อมต่อแอปพลิเคชันนำทาง และการฟังเพลงออนไลน์ พร้อมด้วยชุดหน้าจอ LED ขนาด 8 นิ้ว สำหรับผู้โดยสารแถวหลัง และระบบหมุนเวียนอากาศ
TOYOTA SIENTA ขับเคลื่อนความสนุก และสร้างความประทับใจ จนชนะใจ คณะกรรมการ ด้วยเครื่องยนต์เบนซินรหัส 2NR-FE แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว ขนาด 1.5 ลิตร เสริมประสิทธิภาพด้วยระบบ DUAL VVT-i และการฉีดจ่ายเชื้อเพลิงผ่านหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ EFI ซึ่งสร้างกำลังสูงสุดเอาไว้ 108 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 140 นิวตันเมตร ที่ 4,200 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT พร้อมด้วยการควบคุมผ่านระบบพวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้า (EPS) รองรับด้วยพื้นฐานระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง และด้านหลังทอร์ชั่นบีม เสริมคอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง
ทั้งยังมอบความมั่นใจในการใช้งานด้วยกล้องมองภาพรอบทิศทาง 360 องศา และกล้องบันทึกภาพด้านหน้าและด้านหลังรถ ตลอดจนกล้องมองหลัง พร้อมสัญญาณเตือนกะระยะท้ายรถ, ระบบ Drive Start Control เพื่อป้องกันการออกตัวแบบผิดวิธี ตลอดจนฟังก์ชันมาตรฐานที่ช่วยยกระดับความปลอดภัยในการใช้งานมากขึ้น
BEST VAN UNDER 3,000 c.c.
l TOYOTA INNOVA 2.8 CRYSTA PREMIUM
TOYOTA INNOVA 2.8 CRYSTA PREMIUM คืออีกหนึ่งผลงานความสำเร็จ ที่คว้ารางวัล BEST VAN UNDER 3,000 c.c. ไปครอบครองได้อย่างสวยงาม ด้วยผลงานการปรับปรุงโฉมใหม่ให้ดีไซน์ภายนอกมีความทันสมัย และความสปอร์ตมากขึ้น ด้วยชุดกันชนหน้าดีไซน์ใหม่ รับกับชุดไฟหน้าแบบ LED Projector ชุดไฟตัดหมอกหน้าแบบ LED จนถึงสไตล์ของชุดตกแต่งรอบคัน ที่มาพร้อมชุดสปอยเลอร์หลัง เสริมความสะดุดตาด้วยชุดไฟท้าย และล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ ขนาด 17 นิ้ว
ขณะที่ภายในห้องโดยสารได้รับการอัปเกรดฟังก์ชันอำนวยความสะดวกสบายสมฐานะยนตรกรรมระดับหรู เช่น ระบบเปิดประตูอัจฉริยะ Smart Entry, ระบบสตาร์ทอัจฉริยะ Push Start, เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง, ชุดเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสแบบใหม่ขนาด 9 นิ้ว ที่รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และการเชื่อมต่อสื่อสารผ่านระบบ T-Connect พร้อมด้วยไฮไลต์ในส่วนของเบาะนั่งแถวที่ 2 แบบ Captain Seat ที่ช่วยเพิ่มความหรูหรามีระดับ ตามด้วยความสะดวกสบายจากห้องเก็บสัมภาระด้านหลังที่มากับระบบช่วยปิดประตูท้าย Door Easy Closer
แต่สิ่งที่ทำให้ TOYOTA INNOVA 2.8 CRYSTA PREMIUM นั้น มีความโดดเด่นกว่าในเวอร์ชันที่ผ่านๆ มา ก็คือ ขุมพลังที่เพิ่มเติมรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล คอมมอนเรล ไดเร็คอินเจคชัน มาเป็นอีกหนึ่งทางเลือก กับรหัส 1GD-FTV แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว เสริมแรงด้วยระบบอัดอากาศ VN Turbo และอินเตอร์คูลเลอร์ ซึ่งให้กำลังสูงสุดถึง 172 แรงม้า ที่ 3,400 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดสูงสุดถึง 360 นิวตันเมตร ที่ 1,200-3,400 รอบต่อนาที
ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อม Sequential Shift สำหรับเพิ่มเติมความเร้าใจ ควบคู่ไปกับความเฉียบคม แม่นยำที่เกิดขึ้นจากระบบพวงมาลัยแบบแร็คแอนด์พิเนียน พร้อมพาวเวอร์ช่วยผ่อนแรง และระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระ ปีกนกคู่ พร้อมคอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง จับคู่กับด้านหลังแบบโฟร์ลิงก์คอยล์สปริง ในการมอบความนุ่มนวล ไปพร้อมกับการทรงตัว และการยึดเกาะถนนที่ดีเยี่ยม ในแบบที่สร้างความประทับใจให้กับคณะกรรมการจนไม่อาจปฏิเสธได้
เช่นเดียวกับในส่วนของระบบความปลอดภัย ที่ติดตั้งมาให้เต็มพิกัดใน TOYOTA INNOVA 2.8 CRYSTA PREMIUM ตั้งแต่ฟังก์ชันพื้นฐาน เช่น ระบบเบรก Anti-lock Brake System, ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Hill-start Assist Control, ระบบควบคุมการทรงตัว VSC และระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC ต่อยอดมาถึงระบบความปลอดภัยสุดล้ำ เช่น สัญญาณกะระยะด้านหน้า 2 จุด และด้านหลัง 4 จุด เสริมด้วยกล้องมองภาพรอบทิศทาง Panoramic View Monitor และกล้องมองหลัง Back Camera ที่สามารถปรับเปลี่ยนมุมภาพการมองเห็นได้ถึง 3 รูปแบบ เพื่อช่วยเพิ่มความมั่นใจ และปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
BEST DIESEL 2WD PPV UNDER 2,500 c.c.
l TOYOTA FORTUNER 2.4V
หากกล่าวถึงรถอเนกประสงค์ยอดนิยมอันดับต้นๆ ในเมืองไทย จาก บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด คงหนีไม่พ้น TOYOTA FORTUNER ที่ผ่านการพัฒนามาอย่างก้าวกระโดดสู่เจเนอเรชันล่าสุด ที่มาพร้อมคุณสมบัติโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ตั้งแต่เวอร์ชันขับเคลื่อน 2 ล้อรุ่นมาตรฐาน ผู้ซึ่งคว้ารางวัล BEST DIESEL 2WD PPV UNDER 2,500 c.c. ไปครอบครองหมาดๆ
ด้วยความโดดเด่นที่เริ่มต้นจากรูปลักษณ์ ซึ่งมีการปรับดีไซน์ใหม่ เพื่อเพิ่มความรู้สึกแข็งแกร่ง และหรูหรามากขึ้น พร้อมด้วยฟังก์ชันอำนวยความสะดวก และความปลอดภัยระดับไฮไลต์ที่ยังคงจัดมาให้แบบครบครัน ไม่ว่าจะเป็น ชุดไฟหน้า design ใหม่แบบ Bi-Beam LED พร้อม Daytime Running Lights พร้อมไฟท้ายแบบ LED Light Guiding
ขณะที่ภายในห้องโดยสารมากับความสะดวกสบายตั้งแต่ระดับพื้นฐาน ไปจนถึงความล้ำจากชุดเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว รองรับ Bluetooth, USB, Apple CarPlay และระบบ T-Connect ที่มาพร้อมกับระบบความปลอดภัย เช่นสัญญาณเตือนกะระยะ 6 ตำแหน่ง ทำงานควบคู่ไปกับฟังก์ชันพื้นฐาน อาทิ ระบบป้องกันล้อล็อก ABS, ระบบกระจายแรงเบรก EBD, ระบบเสริมแรงเบรก BA, ระบบควบคุมการทรงตัว VSC, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC, ระบบควบคุมการส่ายของส่วนพ่วงท้าย TSC และระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC
ซึ่งทั้งหมดคือการยกระดับความมั่นใจในการขับขี่ให้เทียบเท่ากับ “สมรรถนะ” จากเครื่องยนต์ดีเซล คอมมอนเรล ไดเร็ค อินเจคชัน รหัส 2GD-FTV (High) แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว พิกัด 2.4 ลิตร เสริมทัพด้วยระบบอัดอากาศ VN Turbo และอินเตอร์คูลเลอร์ ที่ให้เรี่ยวแรงสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 3,400 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ตั้งแต่รอบต่ำเพียง 1,600-2,000 รอบต่อนาที
ส่งกำลังสู่ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อผ่านชุดเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อม Sequential Shift และ Paddle Shift ที่มาพร้อมระบบบังคับเลี้ยวแบบ VFC ใหม่ (Variable Flow Control) ที่ช่วยให้น้ำหนักพวงมาลัยแปรผันตามความเร็วได้อย่างเหมาะสม เพื่อเพิ่มการควบคุมที่แม่นยำ และมั่นใจยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับที่คณะกรรมการได้สัมผัส จนได้ผลสรุปความยอดเยี่ยมที่ตกเป็นของ TOYOTA FORTUNER 2.4V
BEST DIESEL 4WD PPV UNDER 3,200 c.c.
l TOYOTA FORTUNER 2.8 Legender
และถ้า TOYOTA FORTUNER 2.4V แบบขับเคลื่อน 2 ล้อ คือ “ที่สุด” แห่งความยอดเยี่ยม ก็คงไม่แปลกอะไร ที่ TOYOTA FORTUNER 2.8 Legender คือราชันย์แห่งเวอร์ชันขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่เหมาะสมกับรางวัล BEST DIESEL 4WD PPV UNDER 3,200 c.c.
ด้วยฐานะของรุ่นพิเศษที่ใช้ชื่อรุ่นว่า “Legender” ซึ่งเป็นเครื่องการันตีได้ถึงความเป็นที่สุด ตั้งแต่ความสวยงามของเส้นสาย ภายใต้หลักอากาศพลศาสตร์ ประกอบกับออปชันครบและการปรับเปลี่ยนไปใช้ล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ที่ใหญ่ขึ้น ขนาด 20 นิ้ว รับกับสไตล์การออกแบบของชุดหลังคาแบบทูโทน เพื่อสื่อถึงความเป็น Sport Premium PPV เต็มตัว ที่มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกสบายในระดับที่ครบเครื่อง สมฐานะยนตรกรรมอเนกประสงค์เวอร์ชันท็อปสุด เพื่อการตอบโจทย์ทุกความต้องการใช้งาน
แต่สิ่งที่สร้างเสน่ห์อย่างแท้จริงให้กับ TOYOTA FORTUNER 2.8 Legender สายลุย คือ ขุมพลังบล็อกล่าสุดแบบดีเซล คอมมอนเรล ไดเร็คอินเจคชัน รหัส 1GD-FTV (High) แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว ที่มากับพิกัดใหญ่ขึ้นเป็น 2.8 ลิตร รีดกำลังได้สูงขึ้นเป็น 204 แรงม้า พร้อมแรงบิดที่ 500 นิวตันเมตร ในช่วงความเร็วรอบเครื่องยนต์ที่กว้างขึ้นตั้งแต่ 1,600-2,800 รอบต่อนาที รวมไปถึงการปรับสมดุลเพลา (Balance Shaft) ใหม่ เพื่อช่วยลดเสียง และแรงสั่นสะเทือน ตามด้วยฟังก์ชัน Sport Mode และการติดตั้งระบบพวงมาลัยแบบ VFC (Variable Flow Control) เพื่อการแปรผันน้ำหนักตามระดับความเร็ว เพื่อเพิ่มความมั่นใจและความสนุกสนานในการขับขี่มากยิ่งขึ้น
ทั้งยังเอาใจผู้ชื่นชอบการขับขี่แบบ Off-Road ด้วยการปรับลดความเร็วรอบเดินเบาจาก 850 รอบต่อนาที เป็น 680 รอบต่อนาที พร้อมด้วยการแสดงข้อมูลตำแหน่งองศาของล้อบนหน้าจอ MID ที่มากับการติดตั้งสัญญาณเตือนกะระยะด้านท้าย รวมถึงมุมกันชนหน้า-หลัง เพื่อช่วยตรวจสอบสิ่งกีดขวางรอบข้างขณะขับขี่ เพื่อยกระดับความสามารถในการลุยได้อย่างมั่นคง และราบรื่น
ภายใต้ระบบความปลอดภัยระดับโลก อย่าง Toyota Safety Sense ที่เพียบพร้อมไปด้วยเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยขั้นสูง ไปจนถึงระบบการเชื่อมต่อสื่อสารสุดล้ำ อย่าง ระบบ T-Connect เพื่อตอกย้ำความสมบูรณ์แบบของ TOYOTA FORTUNER 2.8 Legender อย่างชัดเจน และเหมาะสมกับรางวัลอันทรงเกียรติในปีนี้
BEST SELLING BRAND & BEST EXPORT BRAND
l TOYOTA
2 รางวัลสำคัญ คือ BEST SELLING BRAND และ BEST EXPORT BRAND ที่บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ยังคงปักหลักครอบครองอย่างต่อเนื่องมาตลอดหลายปี ที่สื่อให้เห็นถึงฐานะการเป็นผู้นำ ด้วยความมุ่งมั่นในการรักษามาตรฐานทั้งในด้านคุณภาพและบริการ แม้จะเกิดอุปสรรคต่างๆ ขึ้นมากมายในประเทศไทย
ซึ่งยอดจำหน่ายรวมในประเทศไทยปี 2563 ที่ผ่านมา แม้จะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ที่ส่งผลให้ยอดขายรวมลดลง 21.4% หรืออยู่ที่ราวๆ 792,146 คัน ซึ่งแบ่งออกเป็นตลาดรถยนต์นั่งที่มีอัตราการเติบโตลดลง 31.0% หรือจำนวน 274,789 คัน ตามด้วยตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ที่ลดลง 15.1% หรือ 517,357 คัน ส่วนตลาดรถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง) ลดลง 16.8% หรือ 409,463 คัน และตลาดรถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถกระบะดัดแปลง) ลดลงอยูที่ 15.5% หรือจำนวน 364,887 คัน
ซึ่งนำมาสู่ผลสรุปยอดขายรวมที่ลดลงราวๆ 26.5% หรือคิดเป็นจำนวน 244,316 คัน อย่างไรก็ตาม บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ก็ยังคงครองส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับต้นๆ ด้วยตัวเลขราวๆ 30.8% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมด จากการแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ซึ่งได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี และทำให้สามารถรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดได้
ขณะที่ตัวเลขการส่งออกท่ามกลางวิกฤติ ที่แม้จะส่งผลให้เกิดการชะลอตัวในภาคการส่งออกลดลงถึง 18.7% หรือราวๆ 215,277 คัน แต่ก็ยังคงรักษามาตรฐานภาพรวมในฐานะผู้นำเอาไว้ได้อีกครั้ง และตอกย้ำให้เห็นถึงมาตรฐาน และบริการที่ยอดเยี่ยม เหมาะสมกับทั้ง 2 รางวัล คือ BEST SELLING BRAND และ BEST EXPORT BRAND ไปอีกครั้งในปีนี้
BEST FUEL ECONOMY PICKUP UNDER 3,200 c.c.
l TOYOTA HILUX REVO
ปิดท้ายด้วยความคงเส้นคงวาของรางวัล BEST FUEL ECONOMY PICKUP UNDER 3,500 c.c. ที่ยังคงถูกตีตราจองไว้ โดยยอดรถปิกอัพประหยัดน้ำมัน อย่าง TOYOTA HILUX REVO อีกครั้ง ด้วยพัฒนาการล่าสุดที่ช่วยยกระดับความประหยัดขึ้นไปอีกขั้น ด้วยขุมพลังดีเซล คอมมอนเรล เจเนอเรชันล่าสุด ซึ่งรับรองผลการจัดอันดับ Top 20 Pickup ของ www.car.go.th ในส่วนของ “ป้ายข้อมูลรถยนต์ตามมาตรฐานสากล” หรือ “ECO Sticker” ด้วยตัวเลขความประหยัดถึง 15.4-15.9 กม.ต่อลิตร
โดยส่วนสำคัญของเทคโนโลยีที่นำพาไปสู่ความประหยัดแบบคาดไม่ถึงนั้น อยู่บนพื้นฐานของเทคโนโลยี GD Super Power เจเนอเรชันที่ 2 ที่ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีระบบฉีดจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง i-ART ซึ่งเป็นระบบเซ็นเซอร์คอมพิวเตอร์ที่ควบคุมแต่ละหัวฉีดได้อย่างอิสระและแม่นยำ โดยทำงานร่วมกับปั๊ม Commonrail แรงดันสูง 250 MPa ทำให้น้ำมันเป็นละอองฝอยละเอียดขึ้น เผาไหม้หมดจด และประหยัดน้ำมัน รวมถึงการปรับขนาดเทอร์โบแปรผันใหม่ให้ใหญ่ขึ้น ช่วยอัดอากาศได้มากขึ้น ทำให้ได้กำลังเครื่องยนต์ที่แรงแต่ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง รวมถึงฟังก์ชัน Drive Mode Switch สำหรับเลือกรูปแบบการขับขี่
ซึ่งทั้งหมดได้ปูทางไปสู่ความประหยัดในแบบที่คณะกรรมการต่างยอมรับ และรับมอบรางวัล BEST FUEL ECONOMY PICKUP UNDER 3,200 c.c ไปครองแบบสมศักดิ์ศรีอย่างแท้จริงอีกครั้งในปีนี้