• เอสยูวีหรือยานยนต์อเนกประสงค์ ได้รับความนิยมสูงด้วยหลายสาเหตุ บางคนเบื่อรถเก๋ง บางคนตามกระแส บางคนจำเป็นต้องใช้ และหลายคนยังไม่รู้อันตรายที่แฝงมากับความเท่ของรถประเภทนี้  เพื่อให้เอสยูวีใช้งานได้อเนกประสงค์สมชื่อโดยไม่เกี่ยงสภาพถนน ความสูงจากพื้นจึงต้องมากกว่ารถเก๋งราว 8-10 เซ็นติเมตร ทำให้จุดศูนย์ถ่วงสูงกว่าและคว่ำง่ายกว่า ! ผู้ที่นิยมรถประเภทนี้คงมีคำถาม แล้วจะขับอย่างไรไม่ให้คว่ำ ? เรามีคำตอบ แถมด้วยวิธีลดความบาดเจ็บหรือไม่ตายเมื่อรถคว่ำ เนื่องจากห้องเก็บของด้านท้ายของเอสยูวี ไม่มีผนังกั้นแบบรถเก๋ง การบรรทุกสัมภาระที่มีน้ำหนักมาก เช่น กระเป๋าเสื้อผ้า ควรตรึงอยู่กับที่อย่างแน่นหนา เพื่อไม่ให้ลอยมากระแทกร่างกายเมื่อพลิกคว่ำ ...
  • แสงแยงตาเป็นหนึ่งในตัวการสร้างปัญหาให้ผู้ขับ ทั้งแสงจากรถที่ขับสวนมา และแสงจากรถที่ตามมาด้านหลัง ซึ่งจากการศึกษาด้วยกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ขับทั่วไปพบว่าวิธีแก้ไขตาพร่าเพราะไฟหน้ารถ เมื่อถูกแสงแยงตา จะต้องใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 10 วินาที การมองเห็นจึงจะกลับมาเหมือนเดิม และเวลาจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุที่เพิ่มขึ้น จะอันตรายแค่ไหน ถ้าการมองเห็นของผู้ขับแย่ลง 10 วินาที ? ถ้าใช้ความเร็ว 100 กม./ชม. 10 วินาที รถจะวิ่งได้ระยะทางควอเตอร์ไมล์หรือ 402 เมตร ...
  • แค่เล็บจิก คงตัดสินความนิ่มความแข็งด้วยความรู้สึกได้ยาก และไม่มีมาตรฐาน เปรียบเทียบว่า ขนาดไหนคือนิ่ม คือ เกือบแข็ง หรือแข็ง อีกทั้งถ้าลงมือจิกต่างเวลากันมากๆ ก็อาจจะจำความรู้สึกนั้นไม่ได้ ในทางวิชาการแล้ว ต้องสามารถแสดงผลการวัดได้ว่า เนื้อยางถูกจิกหรือกดได้ง่ายเพียงไร ถึงจะเรียกว่านิ่มหรือแข็ง จึงมีการคิดค้นมาตรวัดขึ้นมา สามารถใช้เครื่องมือแทนแรงคนในการจิกและแสดงค่าแทนความรู้สึกบนพื้นฐานของหลักการเดียวกัน คือ ใช้เครื่องมือจิกหรือกดลงบนเนื้อยาง โดยมีขนาดของหัวที่กดลงไปตายตัว ไม่ใช่ใช้เล็บแต่ละนิ้วที่ต่างขนาดต่างรูปทรง อีกทั้งเล็บบางนิ้วยังมีทรงโค้งทื่อๆ ซึ่งจะจิกยากกว่าเล็บคมทรงแหลมเพิ่งตัดมาใหม่ๆ อีกทั้งแรงจิกของคนก็ไม่แน่นอน เครื่องมือชนิดนี้ใช้สปริงอยู่ตรงกลาง ...
  • ค่า Excess หมายถึง ค่าเสียหายส่วนแรกแบบ ภาคบังคับ ซึ่งจะมีระบุไว้ในเงื่อนไข โดยจะมีข้อกำหนดว่า เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ผู้ใช้รถจะต้องรับผิดชอบร่วมกับบริษัทประกันภัยเป็นค่าเสียหายส่วนแรก 1,000 บาท (แม้จะมีประกันชั้น1 ก็ต้องจ่าย) โดยขึ้นอยู่กับกรณีดังนี้
  • เชื่อว่าหลายท่านที่มีรถยนต์มากกว่า 1 คัน หรือไม่ก็ยัง Work From Home อยู่คงจะประสบปัญหาต้องจอดรถยนต์ทิ้งใว้เป็นเวลานาน ซึ่งนานในที่นี้คือจอดทิ้งยาวเป็นเดือน หรือเป็นปี แน่นอนถ้าจอดนิ่งสนิทไปนานๆมันก็อาจจะทำให้รถยนต์ของคุณเกิดความเสียหายได้
  • ณ ตอนนี้ สภาวะเศรษฐกิจก็ไม่ใคร่จะลื่นไหลสักเท่าไร การจะใช้เงินสักก้อนใหญ่ๆ ก็เลยต้อง “นะจังงัง” ไปก่อน การซื้อรถก็เช่นกัน ในงบประมาณก้อนอันจำกัด อาจจะไม่พอซื้อรถใหม่ป้ายแดงแม้แต่ ECO Car เสียด้วยซ้ำ เชื่อเถอะ “Used Car” ยังคงเป็นทางออกที่ดีเสมอ บางทีก็ไม่ใช่คนงบจำกัดหรอก แต่บางคนที่มีความรู้ อยากเสียเงินเท่าเนี้ย แต่ได้ Used Car รุ่นที่ใหญ่
  • มาอีกครับ ยังมาต่อเนื่อง กับเสียง “หอน” จากในรถเรา คงเป็น “มุขคลาสสิก” ที่มีมานมนานแล้วว่า “พกหมามาด้วยเหรอ” เสียงหอนนี่ก็สร้างความรำคาญให้ได้มากเหมือนกันนะ เพราะมันเป็นเสียงที่ดังต่อเนื่อง บางทียิ่งวิ่งยิ่งดัง เราลองวิเคราะห์กันหน่อย ว่าเสียงมันมาจากตัวการใดกันได้บ้าง…
  • ปัญหาปวดหัว !! ที่เพื่อนๆหลายท่านมักจะพบเจอเวลาเราจอดรถ เพราะเรามักจะหาที่จอดในร่มเพื่อหลีกเลี่ยงแสงแดดที่รุนแรง เพราะมันอาจจะทำให้สีรถยนต์ของเราซีดจืดจางได้ เราเลยมองหาใต้ต้นไม้ หรือใต้หลังคาจอดกัน
  • ภาคนี้ต่อกันเลย (ถ้ายังไม่โดนผู้อ่านโวยเสียก่อน) เรื่องของเสียงที่ “ชวนรำคาญ” สุดๆ ก็คือ “เสียงจี๊ดๆๆๆๆ” เหมือนเสียง “จิ้งหรีด” ที่เป็นโทนเสียงสูงแหลม ช่างแยงโสตประสาทให้ปั่นป่วนเสียนี่กระไร และพบกับเสียงแบบนี้ได้บ่อยเสียด้วย ตั้งแต่พอได้ยินในรถประมาณหนึ่ง จนไปถึงระดับ “ดังไปยันสามคันแปดคัน”
  • คงมีบ้างแหละครับ หากเราขับรถไปแล้วเกิด “เสียงประหลาด” ขึ้นมา อาจจะเป็นเสียงที่เปรียบเสมือน “สัตว์ต่างๆ” เอาไว้ล้อไว้ขิงกัน เช่น “นี่เธอเลี้ยงไก่ไว้ในรถรึ ???” รถคันนั้น ตอนขับอาจจะได้ยินเสียง “กุ๊กๆ” ดังขึ้นมา มันคงไม่เหมือนกุ๊กไก่จริงๆ หรอก แต่เพียงการออกเสียงมันคล้ายกัน ไหนๆ ก็มาคุยกันเรื่องเบาสมองแต่เป็นความรู้ในการ “นำไปพิจารณา”