Chevrolet Corvette E-Ray ครั้งแรกที่ใช้ไฟฟ้าร่วมขับเคลื่อน
C8 หรือเจเนเรชันที่ 8 ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของ Chevrolet Corvette เพราะไม่เพียงแค่เปลี่ยนรูปแบบจากรถสปอร์ตเครื่องยนต์วางหน้าขับเคลื่อนด้วยล้อหลังจากรุ่นก่อนหน้ามาเป็นรถสปอร์ตเครื่องวางกลาง-หลังขับเคลื่อนด้วยล้อหลังเท่านั้น ล่าสุดยังมีทางเลือกแบบไฮบริดใช้ไฟฟ้าร่วมในการขับเคลื่อนออกมาเป็นทางเลือกโดยใช้ชื่อ E-Ray ต่อท้ายด้วย
Chevrolet Corvette E-Ray มาพร้อมระบบขับเคลื่อนไฮบริดโดยใช้เครื่องยนต์ LT2 V8 6.2 ลิตร กำลัง 495 แรงม้าที่ 6,450 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 637 นิวตัน-เมตรที่ 5,150 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่สร้างกำลังออกมา 160 แรงม้า สร้างแรงบิด 165 นิวตัน-เมตร พร้อมมีแบตเตอรีลิเธียมไอออน 1.9 kWh ทำให้กำลังขับเคลื่อนรวมจากระบบไฮบริดอยู่ที่ 665 แรงม้า โดยใช้เกียร์ดูอัลคลัตช์ 8 สปีดส่งกำลัง ซึ่งทางผู้ผลิตระบุว่ารถสปอร์ตไฮบริดของตนใช้เวลาประมาณ 2.5 วินาทีเพื่อทำความเร็วจาก 0-96 กม./ชม.
ด้วยระบบขับเคลื่อนไฮบริดที่เครื่องยนต์ส่งกำลังสู่ล้อหลังของรถ ในขณะที่มอเตอร์ไฟฟ้าส่งกำลังสู่ล้อหน้าของรถจึงทำให้รถสปอร์ตไฮบริดมาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนด้วยทุกล้อ eAWD ซึ่งถูกระบุว่ามีการเรียนรู้พื้นผิวถนนเพื่อปรับตามทั้งถนนและความต้องการของผู้ขับ โดยในสถานการณ์ที่พื้นผิวถนนมีการยึดเกาะต่ำระบบขับเคลื่อนจะมีการส่งกำลังเพิ่มที่ล้อหน้าเพื่อช่วยเพิ่มเสถียรภาพของรถ
ส่วนการชาร์จพลังงานให้กับแบตเตอรีสำหรับมอเตอร์จะนำมามาจากการไหลเคลื่อนที่และการเบรกของรถ รวมไปถึงจากการขับปกติ และด้วยการที่มีมอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนล้อจึงทำให้ E-Ray มี Stealth Mode ซึ่งขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้ามาให้ใช้ที่ความเร็วไม่เกิน 72 กม./ชม. ซึ่งทางผู้ผลิตระบุว่าเป็นโหมดสำหรับการขับที่ไม่รบกวนเพื่อนบ้านตอนกลางคืนหรือในตอนเช้า
ในส่วนช่วงล่างของรถมีระบบ Magnetic Ride Control 4.0 เป็นอุปกรณ์มาตรฐานมาพร้อมกับรถ รวมไปถึงมีเบรกคาร์บอนเซรามิกจาก Brembo พร้อมคาลิเปอร์ 6 ลูกสูบด้านหลังล้อหน้าขนาด 20 และคาลิเปอร์ 4 ลูกสูบหลังล้อหลังขนาด 21 นิ้วของรถ
สำหรับภายนอกของรถมีความแตกต่างจากรุ่นมาตรฐาน Stingray ด้วยการมีความกว้างมากขึ้น 9.14 ซม. พร้อมกับมีกันชนหน้าที่แตกต่างออกไปรวมไปถึงมีกันชนหลังที่ออกแบบช่องระบายอากาศใหม่ ส่วนล้ออลูมินัมที่มากับรถเป็นลาย 5 ก้านที่ถูกออกแบบมาเฉพาะ นอกจากนี้ยังเพิ่มความโดดเด่นภายนอกรถด้วยแถบสีฟ้า Electric Blue ที่ยาวจากด้านหน้าถึงด้านหลังของรถ และมีป้ายภายนอกรถเป็นคาร์บอน
ขณะที่ห้องโดยสารของรถถูกระบุว่ามีการใช้ Artemis Dipped ใหม่โดยที่มีโทนสีเขียวเข้มเกือบทุกพื้นผิวของรถ พร้อมมีออฟชั่นให้เลือกแต่งที่หลากหลาย นอกจากนี้ยังมีปุ่ม Charge+ และปุ่ม Stop/Start ใหม่ ที่คอนโซล มีการอัพเดตทั้งระบบ Infotainment และการแสดงข้อมูลผู้ขับ
ทางค่ายจะเริ่มขายภายในปี 2023 นี้โดยตั้งราคาเริ่มต้นไว้ที่ 104,295 ดอลลาร์กับตัวถังคูเป้และ 111,295 ดอลลาร์กับตัวถังเปิดประทุน
เรื่อง: กองบรรณาธิการ
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th