E 350 e พิสูจน์จริง! ขับ 33 กิโลเมตร ด้วยไฟฟ้าเพียวๆ
หลังจากที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ได้เปิดตัว The E 350 e ซีดานหรู หัวใจรักษ์โลก ไปเมื่อกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และเช้าวันรุ่งขึ้นได้จัดให้สื่อได้ลองขับ The E 350 e และรถปลั๊กอินไฮบริดครบทั้งพอร์ทโฟลิโอ ภายใต้แบรด์ “EQ-Electric Intelligence by Mercedes-Benz” บนเส้นทางกรุงเทพ – พังงา ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยกทัพรถในกลุ่มปลั๊กอินไฮบริดขับกันแบบไม่ลืมหูลืมตากันเลยทีเดียว
สำหรับทริปที่พูดถึงนี้ Grandprix Online ได้แบ่งนำเสนอไว้ในคอลัมน์ Special Scoop / Report เอาไว้แล้ว แต่สำหรับคอลัมน์ Test Drive นี้ จะขอพูดถึง The E 350 e การใช้พลังงานสุดคุ้ม ขอเรียกว่าเป็นพรีวิวก็แล้วกัน เพราะขับอยู่ในช่วง 100 กิโลเมตร เท่านั้นเอง
การเดินทางในทริปนี้ มีรถปลั๊กอินไฮบริดร่วมคาราวานทั้งหมด 12 รุ่น 19 คัน โดยมีไฮไลท์คือน้องใหม่ล่าสุดอย่าง The E 350 e ประกอบด้วย 3 รุ่น ได้แก่ E 350 e AMG Dynamic, E 350 e Exclusive และ E 350 e Avantgarde ตามมาด้วยรุ่นพี่อย่างThe C 350 e จำนวน 4 รุ่น คือ C 350 e AMG Dynamic, C 350 e Exclusive, C 350 e Avantgarde และ C 350 e Estate AMG Dynamic The S 500 e จำนวน 3 รุ่น คือ S 500 e Executive, S 500 e Exclusive และ S 500 e AMG Premium The GLE 500 e จำนวน 3 รุ่น คือ GLE 500 e 4MATIC AMG Dynamic และ GLE 500 e 4MATIC Exclusive รวมแล้วเป็นการ Test Drive ระดับร้อยล้านกันเลยทีเดียว
เอาล่ะมาเข้าเรื่องกันเลย สำหรับการขับในครั้งนี้ แน่นอนว่ามีรถอยู่นับสิบคัน การที่จะได้ขับครบทุกคันจึงต้องมีการแบ่งจุดพักเพื่อเปลี่ยนรถและเปลี่ยนคนขับ ซึ่งในวงการนี้มีเพียงเมอร์เซเดส-เบนซ์ เพียงค่ายเดียวนี่ล่ะ ที่ใช้วิธีที่เรียบง่ายและวัดดวงด้วยการจับสลากรับรถ ที่ทุกคนจะได้ขับครบทุกคัน อยู่ที่ว่าใครจะได้ขับ The E 350 e ก่อนหรือหลัง และสุดท้ายผู้เขียนมาจับได้ตอนช่วงที่มีการแข่งขันขับประหยัดพอดี! เลยเป็นที่มาว่าทำไมจึงจะขอพูดถึงเรื่องการใช้พลังงานแบบสุดคุ้มนั่นเอง
สำหรับ The E 350 e ค่าตัวหลัก 3-4 ล้าน มันจะคุ้มค่าอย่างที่คาดหวังเอาไว้หรือไม่ เดี๋ยวมาสรุปกันในตอนท้าย ซึ่งมากันที่กติกาการแข่งขับประหยัดกันบ้าง ง่ายๆ คือ ระยะทางจากจุดเริ่มต้นถึงปลายทางมีระยะทาง 98 กิโลเมตร ให้เวลาขับ 60 นาที จะบริหารจัดการยังไงก็ได้ ขอแค่มาดูผลว่าคนไหนขับประหยัดที่สุด…เมื่อรู้กติกาแล้ว ได้เวลาคิดคำนวณและวางแผนทันที
The E 350 e ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบแถวเรียง ความจุกระบอกสูบ 1,991 ซีซี กำลังแรงม้าสูงสุดที่ 211 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิด 350 นิวตันเมตร ที่ความเร็วรอบ 1,200-4,000 ต่อนาที และกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ 88 แรงม้า แรงบิดสูงสุดจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ 440 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. อยู่ที่ 6.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. ส่งพละกำลังผ่านระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติเดินหน้า 9 จังหวะ (9G-TRONIC PLUS) พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย ซึ่งหากชาร์จพลังงานไฟฟ้าให้เต็มจะสามารถขับเคลื่อนจนแบตเตอรี่หมดได้ในระยะทาง 33 กิโลเมตร และสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 130 กิโลเมตร/ชั่วโมง นี่เป็นสเปคที่ทางทีมงานเมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้อธิบายเอาไว้ ฉะนั้น ถ้าจะขับในระยะทางเกือบ ๆ 100 กิโลเมตร จะมีโอกาสใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ล้วนๆ แค่ 2 ครั้งเท่านั้น ที่เหลือเป็นการขับและชาร์จด้วยโหมด E-Charge เท่านั้น
เมื่อเริ่มออกสตาร์ทรถทุกคันถูกชาร์จพลังงานไฟฟ้าในแบตเตอรี่เต็มมาแล้ว ผู้เขียนจึงวางแผนว่าจะขับด้วยโหมด Eco เพื่อความประหยัดที่สุด เลือกการใช้พลังงานด้วย E-Mode และเมื่อใช้แบตเตอรี่จนหมด ค่อยปรับเป็นโหมด Charge เพื่อเก็บพลังงานไฟฟ้าเข้าสู่แบตเตอรี่เพื่อใช้ในช่วงสุดท้าย
เริ่มเดินทางกดคันเร่งด้วย E-Mode ทุกสิ่งทุกอย่างดูเงียบงัน เป็นการขับเคลื่อนที่นิ่งและเงียบที่สุด โหมดนี้เป็นการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ คือใช้พลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เมื่อกดคันเร่งจะสัมผัสได้ถึงแรงต้านที่เกิดจากคันเร่งไฟฟ้าแบบ Haptic ที่ทำงานเมื่อกดแป้นคันเร่งไม่เกินแรงต้าน แต่หากกดคันเร่งเกินแรงต้าน (มีแถบสถานะบอกที่ข้างมาตรวัดความเร็ว) เครื่องยนต์จะเข้ามาทำหน้าที่แทนมอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนทันที หากพลังงานไฟฟ้าในแบตเตอรี่เหลือไม่ถึง 10% ซึ่งไม่พอที่จะขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า จะถูกปรับเข้าสู่โหมด Hybrid แบบอัตโนมัติ ในจังหวะนี้จึงต้องเลี้ยงคันเร่งเอาไว้ตลอด และไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ด้วยการใช้พลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว สามารถทำความเร็วได้ถึง 130 กิโลเมตรจริงๆ ระหว่างนั้นก็มองมาตรวัดระยะทางเอาไว้ตลอดเวลา ในช่วงที่กำลังขับกันอยู่นั้นจู่ๆ มีฝนตกลงมาอย่างหนักจึงต้องชะลอความเร็วลง ถนนที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำ ทำให้เกิดแรงต้านพอสมควร ซึ่งมีผลต่อระยะทางที่ขับได้อีกด้วย และสุดท้ายแล้วผู้เขียนสามารถขับด้วยพลังงานไฟฟ้าด้วยความเร็วเฉลี่ย 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ถึง 31 กิโลเมตร ถือว่าต่างจากสเปคไปเล็กน้อยเท่านั้น
หลังจากนั้นจึงเปลี่ยนมาเป็นโหมด Charge ซึ่งโหมดนี้รถจะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์อย่างเดียวเท่านั้น โดยแบตเตอรี่จะถูกรักษาระดับการชาร์จเอาไว้ในระดับปานกลาง จะไม่มีการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อน เพื่อให้เกิดการชาร์จไฟฟ้าเข้าสู่แบตเตอรี่อย่างต่อเนื่อง จุดนี้จะสังเกตได้ว่าหากมีการเบรค มาตรวัดการชาร์จจะดันขึ้นสูงกว่าปกติ (อย่างนี้ขับๆ เบรคๆ น่าจะชาร์จไฟเต็มได้เร็วขึ้นน่ะสิ) เมื่อถูกเปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อน ระดับของการใช้อัตราสิ้นเปลืองเริ่มขยับขึ้นมาทีละน้อย จนมาแตะที่ 7.8 ลิตร / 100 กิโลเมตร (12 กิโลเมตรต่อลิตร) และยังคงอยู่ในระดับนั้น +/- ไม่เกิน 0.3 ด้วยความเร็วเฉลี่ย 100-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่เมื่อแบตเตอรี่เต็ม จึงเปลี่ยนมาขับด้วย E-Mode อีกครั้ง แต่คราวนี้ใช้ความเร็วไม่เกิน 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตัวเลขอัตราการสิ้นเปลืองค่อยๆ ลดลงมาอยู่ที่ 7.0 ลิตร / 100 กิโลเมตร (14 กิโลเมตรต่อลิตร) และมีทีท่าว่าจะลดลงอีก แต่คำนวณระยะทางผิด จึงทำให้ถึงจุดหมายก่อนที่ตั้งไว้ 2 กิโลเมตร สรุปผู้เขียนขับด้วยความเร็วเฉลี่ยจากมาตรวัดรวมที่ 75 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีอัตราสิ้นเปลืองที่ 7.0 ลิตร / 100 กิโลเมตร (14 กิโลเมตรต่อลิตร) คว้าอันดับ 3 ไปครอง ส่วนอันดับ 1 ทำได้ 6.9 ลิตร / 100 กิโลเมตร (14.5 กิโลเมตรต่อลิตร) ซึ่งถือว่าประหยัดใช้ได้เลยทีเดียว แต่จากการใช้งานจริงจะมีค่าเฉลี่ยที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะการใช้งานในตัวเมืองที่การจราจรแออัด มั่นใจว่าแทบจะไม่ได้ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเลยสักหยด
คำถามที่เกิดขึ้นคือ มันจะคุ้มหรือไม่หากใช้รถปลั๊กอินไฮบริด เรื่องนี้คนที่จะตอบได้ดีที่สุดก็คงต้องเป็นผู้ที่เลือก The E 350 e เอาไว้ใช้งานจริงๆ เนื่องจาก 100 คน มี 100 เหตุผลในการเลือกใช้ ความคุ้มค่าที่เกิดขึ้นอาจมาจากหลายเหตุผล แต่สำหรับผู้เขียนจากที่ได้ลองสัมผัสแล้วถือว่าค่อนข้างคุ้มหากใช้รถบนเส้นทางอยู่ในเมืองเป็นส่วนใหญ่ ถ้าขับออกนอกเมือง อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงก็ยังอยู่ในเกณฑ์ประหยัดดี แต่นี่คือ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ถ้าคุณรักในตำนานและความหรูหราระดับผู้นำของแบรนด์นี้..น่าจะตัดสินใจได้ไม่ยาก
The E 350 e Exclusive ราคา 3,790,000 บาท
The E 350 e Avantgarde ราคา 3,490,000 บาท
The E 350 e AMG Dynamic ราคา 4,090,000 บาท
สำหรับ The E 350 e Avantgarde ราคา 3,490,000 บาท, The E 350 e Exclusive ราคา 3,790,000 บาท และ The E 350 e AMG Dynamic ราคา 4,090,000 บาท ราคานี้ สำหรับเทคโนโลยีระดับนี้ ถือว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากทีเดียว เอาไว้มีโอกาสทำรีวิวแบบเต็มๆ อีกครั้ง ค่อยมาบอกเล่าสู่กันฟังอย่างละเอียดอีกทีก็แล้วกันครับ
เรื่อง: พุทธิ ผาสุข
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th