ปราบพยศ Ferrari 812 Superfast-โมเดลที่ทรงพลังที่สุดของ ‘ม้าลำพอง’
ทดลองขับ Ferrari 812 Superfast ซูเปอร์คาร์ตัวแรงสุดของค่าย “ม้าลำพอง” เครื่องยนต์ V12 ที่มีกำลังสูงสุด 789 แรงม้า ทำความเร็วทะลุ 200 กม./ชม. ในเวลาแค่ 7.9 วินาที…
ไม่บ่อยครั้งนักที่ตัวแทนจำหน่ายรถซูเปอร์คาร์ในประเทศไทย จะจัดรถทดสอบให้สื่อมวลชนได้สัมผัสสมรรถนะบนถนนจริง และยิ่งเป็นไปได้ยากกับโอกาสสัมผัสรุ่นท็อปหรือตัวแรงสุดเท่าที่มีในไลน์อัพปัจจุบัน แต่ทีมงานของคาวาลลิโน มอเตอร์ ตัวแทนจำหน่าย Ferrari อย่างเป็นทางการในบ้านเรา เปิดโอกาสพิเศษให้ทีมงาน Grand Prix Online ได้สัมผัสโมเดลที่ทรงพลังที่สุดของค่าย “ม้าลำพอง” เป็นครั้งแรก
อ่านข่าว: เปิดตัวครั้งแรกในเมืองไทย Ferrari 812 Superfast
ความรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ขับ 812 Superfast ไม่ได้อยู่ที่การเป็น ‘The Most Powerful Ferrari Ever Launch’ เท่านั้น แต่รถทดสอบคันที่เราจะได้ขับ เพิ่งจะข้ามน้ำข้ามทะเลจากอิตาลี มาถึงโชว์รูมที่กรุงเทพฯ ได้เพียงแค่ 1 วันก่อนจะขึ้นรถสไลด์ส่งมาสู่สถานที่นัดหมาย เรียกว่าทุกอย่างใหม่กริ๊บ มีคนได้แตะพวงมาลัยน่าจะยังไม่ถึง 5 คน
812 Superfast ไม่เพียงจะเป็นรถรุ่นฉลองครบรอบ 70 ปีของ Ferrari แต่ยังต้องรับช่วงต่อจาก F12berlinetta ในฐานะโมเดลเครื่องยนต์ 12 สูบที่สร้างชื่อให้พวกเขามาอย่างยาวนาน ทำให้ทีมงาน Ferrari Styling Center กำหนดนิยามใหม่ของภาษาในการออกแบบสำหรับรถ Ferrari เครื่องยนต์วางหน้าให้มีความลงตัวทั้งมิติตัวถังภายนอก และพื้นที่ภายในห้องโดยสารที่สะดวกสบายมากกว่าในอดีต
การควบคุม 812 Superfast เป็นเรื่องง่ายเหมือนม้าแข่งที่ถูกฝึกมาเป็นอย่างดีพร้อมรับคำสั่งของจ๊อกกี้ที่เป็นผู้กุมบังเหียนว่าจะให้พุ่งทะยานออกตัวด้วยความเร็วอย่างสุดกำลังหรือเดินโชว์ตัวอย่างสง่างามท่ามกลางสายตาของผู้คน
เส้นสาย และรูปทรงของรถที่มีความสปอร์ตในสไตล์ Fastback และแนวทางดีไซน์แบบ Two-Box ทำให้ 812 Superfast มีด้านท้ายที่สูงเหมือนกับ Ferrari 365 GTB4 ปี 1969 การปรับตำแหน่งสปอยเลอร์หลังให้ต่ำลงช่วยเพิ่มแรงกด (Downforce) ให้รถมีประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนนได้ดีขึ้นเวลาขับด้วยความเร็ว โดยเส้นสายด้านข้างที่เป็นแนวเฉียงจากซุ้มล้อหน้าเป็นส่วนหนึ่งของระบบ Aerodynamic หรืออากาศพลศาสตร์ช่วยลดแรงต้านของกระแสลมที่ปะทะกับตัวรถ
ในขณะที่ไฟท้ายทรงกลมทั้ง 4 ดวง ได้แรงบันดาลใจจากดีไซน์ดั่งเดิมที่เป็นเอกลักษณ์ของ Ferrari ถูกออกแบบให้ลงตัวกับเส้นตัดแนวนอนบนตัวถัง ทำให้หากมองจากภายนอก 812 Superfast เป็นรถสปอร์ตแบบ 2 ที่นั่ง ที่มีความกว้าง แต่น่าหลงใหล ทั้งที่ความจริงความกว้างของตัวถังเพิ่มขึ้นจาก F12berlinetta เพียงแค่ 29 มม. เท่านั้น รวมทั้งการปรับตำแหน่งพื้นที่ห้องโดยสารให้มีความสบายมากขึ้น โดยไม่เบียดเบียนพื้นที่ส่วนอื่นหรือที่เก็บสัมภาระด้านหลัง
เช่นเดียวกับการออกแบบภายในห้องโดยสาร แฟนๆ Ferrari อาจจะรู้ว่าพวกเขามีโปรแกรม Personalization Programme เพื่อให้เจ้าของรถเลือกวัสดุตบแต่งตามสไตล์ของตัวเอง แต่ทีมออกแบบไม่ลืมที่จะรักษาความพิเศษที่คุณสามารถสัมผัสได้ทันทีเมื่อขึ้นมานั่งบนรถเหมือนกับที่รถ Ferrari รุ่นเครื่องยนต์วางหน้า 12 สูบเคยเป็นมาตลอด แต่ 812 Superfast จะถูกเพิ่มอารมณ์สปอร์ต และความดุดัน ใส่เส้นสายที่เล่นมิติกับตำแหน่งปุ่มควบคุมต่างๆ ผสมผสานระหว่างความตื่นเต้นแบบรถแข่งกับความสง่างามที่ลงตัว
Get In!
เพียงแค่เปิดประตูเข้าสู่ห้องโดยสารก็สามารถสัมผัสถึงความประณีตของทีมช่างจากโรงงานผลิตที่เมืองมาราเนลโล่ ตั้งแต่การเดินตะเข็บด้ายสีแดงที่เพิ่มอารมณ์สปอร์ตด้วยแถบหนัง Alcantara โทนสีแดงพิเศษ Rosso Ferrari กลางเบาะนั่งทั้ง 2 ฝั่ง, คอนโซลหน้า และแผงข้างประตู รวมทั้งปักลายโลโก้ Prancing Horse ตรงพนักพิงศีรษะที่เป็นอีกหนึ่งออปชั่นพิเศษของ Personalization Programme ที่ให้ลูกค้าเลือกวัสดุตบแต่งทุกอย่างเพื่อให้รถ Ferrari ทุกคันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแต่ละคน
เช่นเดียวกับภายนอกตัวถังของ 812 Superfast ที่นำมาทดสอบจะเป็นโทนสีแดง Rosso Corsa ล้อหน้า-หลังขนาด 20 นิ้วเป็นลาย Standard 5 ก้านจากที่มีให้เลือกทั้งหมด 6 แบบ ใช้ยาง Pirelli P Zero ขนาด 275/35 ZR20 สำหรับล้อหน้า และล้อหลังจะมีหน้ายางใหญ่กว่าเล็กน้อยที่ 315/35 ZR20 โดยเพิ่มความดึงดูดสายตาด้วยคาลิเปอร์เบรกสีเหลือง รวมทั้งมีออปชั่นให้เลือกฝาครอบดุมล้อเป็นคาร์บอนไฟเบอร์สีดำที่มีความดุดันมากขึ้น และอัพเกรดน็อตล้อไทเทเนียมเข้ามาเพิ่ม
ในส่วนของ Personalization Programme สำหรับตัวถังภายนอก (Body Components) มีให้เลือกทั้งหมด 37 โทนสี และออปชั่นให้เลือกเพิ่มเติมมากกว่า 10 รายการ โดยหลักๆ จะเป็นการเปลี่ยนเป็นวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ แต่ที่เจ้าของรถ Ferrari ทุกคนน่าจะสั่งมากที่สุดคงเป็นป้ายสัญลักษณ์ Scuderia Ferrari Shield ที่จะติดอยู่เหนือซุ้มล้อหน้าทั้ง 2 ฝั่งเพิ่มความคลาสสิกให้ 812 Superfast ที่จะต้องจ่ายเพิ่มอีกราว 100,000 บาท
ปราบพยศ V12—789 แรงม้า
หลังจากฟังข้อมูลรายละเอียด และทำความรู้จักออปชั่นต่างๆ ของรถคันนี้เป็นที่เรียบร้อย ถึงเวลาที่จะเข้ามานั่งอยู่หลังพวงมาลัยของ Ferrari 812 Superfast อย่างเป็นทางการ เบาะนั่งแบบ Standard โอบกระชับเป็นอย่างดี มีพื้นที่วางขาค่อนข้างเยอะ ถึงจะเป็นคนที่รูปร่างสูงระดับ 180 เซนติเมตรก็ไม่รู้สึกอึดอัด เทียบกับรถซีดานแบรนด์ยุโรปบางรุ่นยังรู้สึกคับแคบกว่าด้วยซ้ำ แต่ใครอยากได้อารมณ์เร้าใจกว่านี้จะมีเบาะนั่ง Carbon Fibre Racing Seats และ Daytona Racing Seats เป็นตัวเลือกเพิ่มเติม
เครื่องยนต์ V12 6.5-litre ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ของ 812 Superfast ถึงจะมีความแรงระดับ 789 แรงม้า และแรงบิดมหาศาลถึง 718 นิวตันเมตร แต่ไม่ใช่ว่าจะพยศจนควบคุมยาก หลังจากขับได้ประมาณ 10 นาทีเริ่มคุ้นเคย และสนุกกับการลองอัตราเร่งที่ซูเปอร์คาร์ยุคนี้ไม่พูดกันที่ 0-100 กม./ชม. แต่กลายเป็น 0-200 กม./ชม. ที่รถคันนี้สามารถพาคุณไปสู่สัมผัสเขตแดนนั้นในเวลา 7.9 วินาทีเท่านั้น
อัตราเร่งที่ดีมาจากการพัฒนาระบบ Aerodynamic ที่เป็นหนึ่งในเคล็ดลับความสำเร็จของ Ferrari ตลอด 7 ทศวรรษ โดย 812 Superfast มีการติดตั้งกระจังหน้า Aero Cluster พร้อมช่องดักลมแบบ Active Diffuser ที่จะดูดลมที่ปะทะเข้ากับตัวรถให้ไหลผ่านออกทางฝากระโปรงหน้า, ด้านล่างตัวรถ, ด้านข้าง และด้านท้ายที่มีการทำ Aerodynamic by-pass เพื่อเพิ่มแรงกด (Downforce) ให้กับตัวรถมีประสิทธิภาพในการเกาะถนนดีขึ้น รวมถึงลดค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ (Coefficient of Drag) รวมทั้งใช้กระแสลมที่ไหลผ่านช่วยลดอุณหภูมิอุปกรณ์เบรกอีกด้วย
การทำงานของระบบเกียร์ 7 Speed F1 Dual-clutch หนึ่งในเทคโนโลยีที่ถ่ายทอดจากสนามแข่ง Formula One มีการปรับอัตราทดให้สั้นลงเฉลี่ย 6 เปอร์เซ็นต์จาก F12berlinetta ช่วยเพิ่มกำลัง และรอบเครื่องยนต์ที่สูงขึ้น โดยการขับวันนี้ถึงจะใช้โหมด Sport ที่เป็นระดับเริ่มต้นในรถ Ferrari เพียงอย่างเดียว แต่ก็สัมผัสได้ถึงจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ที่ตอบสนองได้รวดเร็วในทุกครั้งที่กดคันเร่งลงไป
รวมถึงตอนที่เจอการจราจรหนาแน่นต้องขับด้วยความเร็วต่ำ จังหวะเปลี่ยนเกียร์ไม่ได้กระตุกรุนแรงจนสร้างความรำคาญให้คนขับหรือคนที่นั่งข้างๆ และระบบช่วงล่างที่มีความนุ่มนวลกว่าที่คิดจากการที่ลองขับด้วยความเร็วประมาณ 80-100 กม./ชม. ผ่านพื้นผิวถนนที่ไม่เรียบ แต่ภายในห้องโดยสารก็ไม่รู้สึกกระเทือนมากนักหากเทียบกับรถสปอร์ตแบรนด์อื่น
เช่นเดียวกับการควบคุม ตามการเรียกอย่างเป็นทางการของ Ferrari รถรุ่นนี้วางตำแหน่งเครื่องยนต์แบบกลางกึ่งหน้าหรือ Mid-Front Engine และใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง แต่การติดตั้งพวงมาลัยไฟฟ้าแบบสปอร์ต (Electric Power Steering-EPS) นับเป็นการก้าวสู่ยุคใหม่ของระบบควบคุมในรถยนต์ของพวกเขา ด้วยการทำงานร่วมกับระบบ Passo Corto Virtuale 2.0 (PCV) ที่มีการอัพเกรดขึ้นมาจากรุ่นพิเศษ F12tdf ช่วยรักษาเสถียรภาพของตัวรถหากต้องหลบหลีกสิ่งกีดขวางในขณะที่ขับด้วยความเร็วสูง โดยระบบส่งกำลัง และระบบควบคุมทั้งหมดของรถรุ่นนี้จะทำงานภายใต้ Side Slip Control (SSC) เวอร์ชั่น 5.0 ใหม่ล่าสุดที่เป็นสิทธิบัตรเฉพาะของ Ferrari รวมถึงการนำเทคโนโลยีที่ถ่ายทอดจากสนามแข่ง Formula One มาใช้งาน ทำให้การควบคุม 812 Superfast เป็นเรื่องง่ายเหมือนม้าแข่งที่ถูกฝึกมาเป็นอย่างดีพร้อมรับคำสั่งของจ๊อกกี้ที่เป็นผู้กุมบังเหียนว่าจะให้พุ่งทะยานออกตัวด้วยความเร็วอย่างสุดกำลังหรือเดินโชว์ตัวอย่างสง่างามท่ามกลางสายตาของผู้คน
ไม่เพียงแต่อัตราเร่งหรือการควบคุมที่ดี 812 Superfast มีการปรับปรุงระบบเบรกให้ดีขึ้นกว่า F12berlinetta ราว 5.8 เปอร์เซ็นต์ ด้วยการใช้เบรกคาร์บอน-เซรามิกรุ่น Brembo Extreme Design ทำให้หากขับด้วยความเร็ว 100 กม./ชม. จะใช้ระยะเบรกเพียง 2.5 เมตรเพื่อให้รถหยุดสนิท เรียกได้ว่าสร้างความมั่นใจให้คนขับในทุกด้านจริงๆ
นอกจากนี้มีออปชั่นเสริมระบบ Front Suspension Lift เพื่อช่วยยกตัวรถให้สูงขึ้นอีก 40 มม. ในกรณีขับผ่านที่กั้นชะลอความเร็วหรือถนนที่มีความลาดชัน ทำให้ Ferrari ทุกรุ่นที่ขายอยู่ในปัจจุบันกลายเป็นรถที่สามารถใช้งานในชีวิตประจำวันปกติ ไม่จำเป็นต้องเก็บไว้ขับเที่ยวในช่วงสุดสัปดาห์เหมือนในอดีตอีกแล้ว
น่าเสียดายที่มีเวลาได้สัมผัส 812 Superfast มีเพียงไม่นานนัก แต่ก็พอจะได้ข้อสรุปว่าซูเปอร์คาร์ก็คือซูเปอร์คาร์ มีครบทั้งความเร้าใจ และความสะดวกสบาย ถ้าจะพูดแบบติดตลกข้อเสียอย่างเดียวของ Ferrari คงเป็นราคาที่สูงเกินกว่าที่หลายคนจะเอื้อมถึง แต่หากมีโอกาสได้สัมผัสรถคันนี้หรือโมเดลอื่นๆ ภายใต้สัญลักษณ์ “ม้าลำพอง” คุณจะเข้าใจได้ว่าเงินที่จ่ายไปคุ้มค่าตั้งแต่ได้ยินเสียงสตาร์ทเครื่องยนต์
812 Superfast – Technical Specifications
ราคาเริ่มต้น: 787,000 ยูโร (ประมาณ 30.7 ล้านบาท)
เครื่องยนต์: V12 – 65องศา มิติตัวถัง
ความจุกระบอกสูบ: 6,496ซีซี ความยาว 4,657 มม.
กำลังสูงสุด: 588 กิโลวัตต์ (789 แรงม้า) ที่ 8,500 รอบ/นาที ความกว้าง 1,971 มม.
แรงบิดสูงสุด: 718 นิวตัน เมตรที่ 7,000 รอบ/นาที ความสูง 1,276 มม.
รอบเครื่องยนต์สูงสุด: 8,900 รอบ/นาที ระยะฐานล้อ 2,720 มม.
สมรรถนะ อัตราสิ้นเปลือง และค่าไอเสีย
ความเร็วสูงสุด >340 กม./ชม. ความจุถังน้ำมัน: 92 ลิตร
0-100 กม./ชม.: 2.9 วินาที อัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน 14.9 ลิตร/100กม.
0-200 กม./ชม. 7.9 วินาที ค่าไอเสีย CO2: 340 กรัม/กม.
เรื่อง: พูนทวี สุวัตถิกุล
ภาพ: พิศวัส พงษ์พุฒิโสภณ
ขอบคุณข้อมูล: Cavallino Motors
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th