Ferrari F8 Spider-ความเร้าใจของขุมกำลัง V8 แบบเปิดประทุน
เป็นครั้งที่ 2 ในระยะเวลาห่างกันเพียง 5 เดือนที่มีโอกาสสัมผัสเครื่องยนต์ V8 ที่มีชื่อเสียงของ Ferrari โดยคราวนี้เป็นการขับเวอร์ชั่นเปิดประทุน F8 Spider ในสนามแข่งปทุมธานี สปีดเวย์ ที่ถูกเลือกเป็นสถานที่ทดสอบสมรรถนะระดับ 720 แรงม้า!!!
บรรดาสาวก “ม้าลำพอง” Ferrari คงพอจะรู้ธรรมเนียมของพวกเขาในช่วงหลังเป็นอย่างดีว่าเวลาเปิดตัวโมเดลใหม่ของเครื่องยนต์ตระกูลต่างๆ จะเริ่มต้นที่รุ่นปกติ ก่อนจะตามด้วยเวอร์ชั่นเปิดประทุน และรุ่นพิเศษเพิ่มสมรรถนะความแรงให้บรรดานักสะสมรถยนต์เก็บสะสมเข้าสู่คอลเลคชั่น
รถสปอร์ตขุมกำลังเครื่องยนต์วางกลาง V8 ที่สร้างชื่อเสียงให้ Ferrari มายาวนานหลายทศวรรษ เปิดตัวโมเดลใหม่ F8 Tributo รอบเวิลด์พรีเมียร์บนเวทีเจนีวา มอเตอร์โชว์ 2019 ก่อนที่ Cavallino Motors ตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย จะนำเข้ามาเปิดตัวเมื่อปลายปีที่แล้ว และเวอร์ชั่นเปิดประทุน F8 Spider ตามมาติดๆ เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
การที่ Ferrari พัฒนาทั้ง 2 เวอร์ชั่นพร้อมกันทำให้ F8 Spider เรียกว่าโคลนนิ่ง F8 Tributo ก็คงจะไม่ผิดอะไร ทั้งดีไซน์ภายใน-ภายนอก หากไม่นับหลังคาแบบเปิดประทุน จุดที่แตกต่างที่ชัดเจนจะมีแค่น้ำหนักรถเปล่าของ F8 Spider เบากว่า 35 กิโลกรัม แต่อัตราเร่งจาก 0-200 กม./ชม. จะช้ากว่าเพียง 0.4 วินาที
ทำให้การขับทดสอบครั้งนี้เหมือนจะต้องการให้สื่อมวลชนสัมผัสทั้งสมรรถนะ และอารมณ์การขับขี่ของรถสปอร์ตเปิดประทุนในเวลาเดียวกัน หลังจากเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ ก่อนจะเข้าสู่ช่วงล็อกดาวน์ Cavallino Motors จัดงานทดสอบ F8 Tributo ที่สนามแข่งพีระ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ทำให้มีโอกาสสัมผัสความยอดเยี่ยมของเครื่องยนต์รหัส F154 ที่มีกำลังสูงสุด 720 แรงม้า ในแบบเต็มที่กันไปแล้ว
การจัดทดสอบ F8 Spider มีขึ้นในช่วงหน้าฝน ทำให้ไม่อาจหลีกเลี่ยงอุปสรรคที่เพิ่มเข้ามาอย่างสภาพน้ำที่เจิ่งนอง และเศษดินบนพื้นแทร็คของสนามปทุมธานี สปีดเวย์ กลายเป็นครั้งแรกที่ผู้เขียนมีโอกาสใช้โหมด Wet ในการขับทดสอบ Ferrari หลังจากรับรู้รูปแบบการทำงานจากตัวหนังสือมานาน
แต่ต้องบอกตามตรงว่า Wet Mode ที่ติดตั้งใน Ferrari F8 Spider (และน่าจะรวมถึงทุกโมเดลของพวกเขา) แทบจะไม่แตกต่างจากการขับปกติหากเทียบกับโหมดเดียวกันในรถแบรนด์อื่น เหมือนกับว่าระบบจะช่วยควบคุมอัตราเร่ง และแรงบิดให้เหมาะสมเพื่อประสิทธิภาพในการเกาะถนน แต่ยังสามารถรู้สึกถึงความเร้าใจเหมือนเดิม
ส่วนสำคัญอย่างหนึ่งมาจากความยอดเยี่ยมของระบบต่างๆ ที่ถ่ายทอดเทคโนโลยีจากสนามแข่งฟอร์มูล่า วัน ไม่ว่าจะเป็น Electronic Rear Differential (E-Diff3) ที่จะทำงานร่วมกับระบบ F1-Trac เพื่อช่วยเพิ่มการยึดเกาะถนน และการควบคุมรถ รวมทั้งระบบกันสะเทือนแบบ Magnetorheological Damping System (SCM-E) ช่วยลดอาการโคลงพร้อมกับเพิ่มประสิทธิภาพในการซับแรงสะเทือนหากขับบนถนนที่มีสภาพย่ำแย่
หลังจากทำความคุ้นเคยกับ F8 Spider ในแบบ Wet Mode ประมาณ 2 รอบสนาม และพื้นสนามเริ่มแห้ง คุณกรัณฑ์ ศุภพงษ์ นักแข่งรถชื่อดังที่มารับหน้าที่อินสตรักเตอร์ในการทดสอบวันนี้ อนุญาตให้ปรับสวิตช์ Manettino บนพวงมาลัย เข้าสู่โหมด Sport ที่ถือเป็นระดับต่ำสุดของซูเปอร์คาร์แบรนด์นี้ (โหมดการขับระดับสูงขึ้นจะเป็น Race, CT Off และ ESC Off)
พอกลับมาสู่โหมดเริ่มต้น F8 Spider เหมือนเป็นการปลดปล่อยสมรรถนะที่ถูกควบคุมในช่วงแรกออกมา ให้ได้สัมผัสความตื่นเต้นของการพุ่งทะยานทำความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพียงแค่อึดใจเดียว 2.9 วินาที โดยช่วงทางตรงอินสตรักเตอร์บอกกับผู้เขียนว่าสามารถทำความเร็วแตะ 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รวมถึงการเพิ่มอารมณ์ดิบๆ เวลาเข้าโค้งที่จะปล่อยให้คนขับใช้ฝีมือในการควบคุมมากขึ้น
การขับแบบ Sport ช่วยให้สัมผัสความยอดเยี่ยมของการออกแบบแอโรไดนามิกส์ใน F8 Spider ที่นำการพัฒนามาจากรถแข่ง Ferrari ในรายการ GT และ Challenge เพื่อสร้างรถสปอร์ตเปิดประทุนเครื่องยนต์วางกลางที่คุณไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ขับรถซูเปอร์คาร์มาก่อนก็สามารถปราบความพยศของ “ม้าลำพอง” ตัวนี้ได้อย่างง่ายดาย
นอกจากนี้การดีไซน์พวงมาลัยให้มีขนาดเล็กลงทำให้ควบคุมได้ดีกว่าเดิมเวลาเข้าโค้งยากๆ รวมทั้งอัพเกรดระบบสนับสนุนทั้ง Dynamic Enhancer Plus เวอร์ชั่น 6.1 และ Ferrari Dynamic Enhancer (FDE+) ซอฟต์แวร์ที่ Ferrari พัฒนาขึ้นเพื่อปรับแรงดันน้ำมันเบรกที่คาลิเปอร์ โดยเปิดตัวครั้งแรกใน 488 Pista ก่อนที่จะอัพเกรดรองรับการทำงานในขณะที่รถเข้าโค้งเพิ่มขึ้นเพื่อติดตั้งใน F8 Tributo และ F8 Spider
น่าเสียดายที่ระหว่างการขับทดสอบมีสายฝนโปรยปรายลงมาในบางช่วง ทำให้หลังคาแข็งแบบพับเก็บได้ Retractable Hard Top ที่ใช้เวลา 14 วินาทีในการเปิด-ปิดของ F8 Spider ไม่ได้ถูกใช้งาน พลาดโอกาสสัมผัสบรรยากาศการขับแบบเปิดประทุนอย่างน่าเสียดาย
Technical Specifications
เครื่องยนต์แบบ: V8-90° – Turbo – Dry sump มิติตัวถัง (ยาว x กว้าง x สูง): 4,611 x 1,979 x 1,206 มม.
ปริมาตรความจุ: 3,902 ซีซี น้ำหนักรถเปล่า: 1,400 กก.
กำลังสูงสุด: 720 แรงม้าที่ 8,000 รอบต่อนาที ขนาดยาง: หน้า 245/35 ZR 20 J9.0, หลัง 305/30 ZR 20 J11.0
แรงบิดสูงสุด: 770 นิวตันเมตรที่ 3,250 rpm อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.: 2.90 วินาที
รอบเครื่องยนต์สูงสุด: 8,000 รอบต่อนาที อัตราเร่ง 0-200 กม./ชม.: 8.2 วินาที
ระบบส่งกำลัง: 7-speed, Dual-clutch F1 Gearbox ความเร็วสูงสุด: 340 กม./ชม.
แต่จากที่เคยลองขับ Portofino เมื่อปีที่แล้ว เชื่อว่าความรู้สึกจะใกล้เคียงกัน เป็นความเร้าใจในการขับอีกรูปแบบหนึ่ง แต่การออกแบบของ Ferrari ทำให้ไม่มีเสียงลมรบกวนภายในห้องโดยสาร สามารถพูดคุยได้ปกติเหมือนเวลาปิดหลังคา และเสียงเพลงที่ผ่านลำโพงชัดเจน ข้อเสียอย่างเดียวคงจะเป็นแสงแดดของเมืองไทยที่พร้อมจะเผาร่างของเราในเวลาเพียงไม่กี่นาที
เรียกว่าเป็นการขับทดสอบอีกครั้งที่สนุกจนไม่อยากจะเลิก ด้วยความทรงพลังของเครื่องยนต์ V8 ที่มีชื่อเสียงของ Ferrari หากจะให้เลือกหลังจากมีโอกาสขับทั้ง F8 Tributo และ F8 Spider คงต้องบอกว่าขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน เพราะนี่คือ… Ferrari
เรื่อง: พูนทวี สุวัตถิกุล
ขอบคุณข้อมูล: Cavallino Motors
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th