เฟอร์รารี่ เสียบปลั๊ก! SF90 Stradale โมเดลไฮบริดความแรงเฉียด 1,000 ม้า!!!

ก้าวเข้าสู่ยุคพลังงานไฟฟ้าอย่างเป็นทางการ “ม้าลำพอง” Ferrari ค่ายซูเปอร์คาร์สัญชาติอิตาเลี่ยน เปิดตัว SF90 Stradale โมเดลปลั๊ก-อิน ไฮบริดรุ่นแรกที่มีกำลังมหาศาล 986 แรงม้า ติดตั้งระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ 4WD โดยทำความเร็วได้สูงสุด 340 กม./ชม. คาดพร้อมส่งมอบกลางปี 2020

SF90 Stradale นับเป็นโมเดลไฮบริดรุ่นแรกของ Ferrari ที่ผลิตขายในวงกว้าง หลังจากพวกเขาเคยมีรุ่นพิเศษ LaFerrari ออกขายจำนวนจำกัดเพียง 499 คันทั่วโลก เมื่อปี 2013 โดยจะมาพร้อมเครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จคู่ 4.0L V8 ที่มีกำลัง 769 แรงม้าที่ 7,500 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 800 นิวตันเมตรที่ 6,000 รอบต่อนาที นับเป็นขุมกำลัง 8 สูบที่ทรงพลังมากที่สุดของพวกเขาอยู่แล้ว แต่ยังจะมีมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัวเสริมกำลังให้อีก 217 แรงม้า ทำให้ “ม้าลำพอง” รุ่นล่าสุดนี้มีกำลังมหาศาล 986 แรงม้า และสร้างแรงบิดได้ 800 นิวตันเมตร

Fact: SF90 เป็นตัวย่อการฉลองครบรอบ 90 ปีของทีมแข่งฟอร์มูล่า วัน Scuderia Ferrari ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1929 และคำว่า Stradale ในภาษาอิตาเลี่ยนมีความหมายว่า ‘ถนน’ เป็นการสื่อถึงความเชื่อมโยงจากสนามแข่งมาสู่รถยนต์ที่ผลิตเพื่อขับบนถนนจริง

ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าที่เป็นไฮไลต์ของ SF90 Stradale จะใช้กำลังจากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 7.9 กิโลวัตต์ชั่วโมง ส่งกำลังสู่มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวแรกที่ติดตั้งบริเวณเพลาหน้า และมอเตอร์ไฟฟ้าอีกตัวที่เพลาหลัง โดยแบ่งโหมดการขับเป็น 4 รูปแบบสามารถเลือกจาก eManettino ที่ติดตั้งอยู่บริเวณพวงมาลัย

eDrive: จะเป็นการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าอย่างเดียว หากแบตเตอรี่มีกำลังเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์จะสามารถขับด้วยพลังงานไฟฟ้าได้ไกลถึง 25 กิโลเมตร และทำความเร็วได้สูงสุด 135 กม./ชม. เหมาะสมสำหรับการใช้งานในเมืองหรือสถานการณ์ที่คนขับไม่ต้องการให้เสียงเครื่องยนต์ 8 สูบคำรามรบกวนเพื่อนร่วมถนน

Hybrid: เป็นรูปแบบการขับพื้นฐานเมื่อสตาร์ทรถ เครื่องยนต์สันดาป (ICE) กับมอเตอร์ไฟฟ้าจะทำงานร่วมกับเพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุดภายใต้การควบคุมของระบบสมองกล โดยเจ้าของรถสามารถสนุกกับความแรงจากเครื่องยนต์ ICE ตามที่ต้องการทุกครั้งที่กดคันเร่งลงไป

Performance: โหมดนี้จะมีความแตกต่างจาก Hybrid ด้วยการควบคุมให้เครื่องยนต์ ICE ทำงานเป็นหลัก โดยจะให้ความสำคัญกับการชาร์จพลังงานไฟฟ้ากลับสู่แบตเตอรี่ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และเป็นรูปแบบการขับที่เหมาะกับคนที่อยากสัมผัสความเร้าใจของ SF90 Stradale

Qualify: เป็นโหมดที่ให้ทั้ง 2 ระบบขับเคลื่อนรีดกำลังเต็มประสิทธิภาพสูงสุด โดยมอเตอร์ไฟฟ้าทั้งหมดจะส่งกำลังสูงสุด 217 แรงม้า และระบบควบคุมจะให้ความสำคัญของสมรรถนะมากกว่าการชาร์จไฟฟ้ากลับสู่แบตเตอรี่

นอกจากนี้เครื่องยนต์ที่เป็นหัวใจสำคัญ และสร้างชื่อเสียงให้ Ferrari มายาวนานเป็นขุมกำลังเดียวกับที่อยู่ในโมเดล 488 (GTB, Spider, Pista), Portofino และ GTC4 Lusso T โดยเพิ่งจะคว้ารางวัลเครื่องยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี Engine of the Year Awards 2019 เป็นสมัยที่ 4 ติดต่อกัน เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่มีการอัพเกรดด้วยการติดตั้งระบบ 350-bar GDI เป็นครั้งแรกของขุมกำลัง V8

Did you Know?

Louis Camilleri ซีอีโอ Ferrari เปิดเผยว่าแขกวีไอพี 2,000 คนที่ได้รับเชิญให้มาสัมผัสรถคันจริงในงานเปิดตัวที่ประเทศอิตาลี เกือบทุกคนได้ตัดสินใจจอง SF90 Stradale ล่วงหน้าเป็นที่เรียบร้อย

ระบบเกียร์ 8 สปีดคลัตช์คู่ได้รับการดีไซน์ใหม่พร้อมปรับอัตราทดให้มีประสิทธิภาพดีขึ้นจากเดิม และเป็นครั้งแรกที่ Ferrari ติดตั้งระบบขับเคลื่อน 4WD ในกลุ่มรถสปอร์ตรองรับความแรงที่ออกตัวจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 2.5 วินาที และ 0-200 กม./ชม. ในเวลาเพียง 6.7 วินาที โดยความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 340 กม./ชม.

นอกจากนี้ค่ายม้าลำพองสร้างความพิเศษให้รถปลั๊ก-อิน ไฮบริด รุ่นแรกของพวกเขาด้วยการให้ลูกค้าสามารถเลือกจะซื้อรุ่น Standard และเวอร์ชั่นพิเศษ Assetto Fiorano ที่จะมีความสปอร์ตมากขึ้นด้วยการติดตั้ง Multimatic โช๊คอัพตัวเดียวกับที่ใช้ในสนามแข่งรายการ GT พร้อมติดตั้งอุปกรณ์ที่ทำจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ และไทเทเนียมลดน้ำหนักรวมของรถลง 30 กิโลกรัม รองรับแรงกด Downforce ได้สูงสุด 390 กิโลกรัมในระหว่างขับด้วยความเร็ว 250 กม./ชม. รวมถึงติดตั้งยางมิชลินรุ่น Pilot Sport Cup2 เพื่อให้ประสิทธิภาพสูงสุดหากลงขับในสนามแข่ง

SF90 Stradale นับเป็นโมเดลที่ 2 ของ Ferrari ที่เปิดตัวในปีนี้ต่อจาก F8 Tributo ที่เจนีวา มอเตอร์โชว์ เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และเป็นซูเปอร์คาร์ไฮบริดรุ่นแรกจาก 15 โมเดลที่ Ferrari คอนเฟิร์มว่าจะส่งออกสู่สาธารณชนจนถึงปี 2022 โดยการแถลงข่าวเปิดตัวเมื่อวันพุธที่ 29 พฤษภาคม ผู้บริหาร “ม้าลำพอง” ไม่มีการเปิดเผยราคาอย่างเป็นทางการ แต่สื่อต่างประเทศคาดว่าจะอยู่ระหว่าง 5-7.5 แสนปอนด์ (ราว 20-30 ล้านบาท) และเชื่อว่าจะเริ่มต้นส่งมอบรถในช่วงซัมเมอร์ปี 2020