First Impression..The All-New BYD e6 ยานยนต์ไฟฟ้าที่พัฒนาไม่หยุดนิ่ง
ใช้เวลาในการพิจารณาการลองขับครั้งนี้ของ The All-New BYD e6 อยู่พอสมควร หลังจากที่ได้พรีวิวและทำคลิปลงในช่อง Youtube ของ Grandprix Online ไม่ใช่เพราะขับแล้วอธิบายยาก แต่มันกลายเป็นการมองภาพจากอดีตของค่าย BYD (Build Your Dreams) ที่คนไทยเราอาจจะไม่คุ้นชื่อ ซึ่งที่จริงแล้วค่ายรถรายนี้หากดูจากประวัติแล้วไม่ธรรมดาเลย
จากผู้ผลิตแบตเตอรี่สำหรับใช้ในรถโฟล์คลิฟท์ (แบตเตอรี่โฟล์คลิฟท์ไฟฟ้า หรือ Traction Battery คือ แบตเตอรี่ชนิดตะกั่วกรด) พัฒนาสู่การเป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมรายใหญ่ ที่วันนี้ทำให้ขนาดของแบตเตอรี่ที่มีขนาดใหญ่ น้ำหนักมาก กลายเป็นแบตเตอรี่น้ำหนักเบา บาง แต่เก็บพลังงานไฟฟ้าได้มากขึ้น และกลายมาเป็นผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่มีทั้งรถโฟล์คลิฟท์, รถตู้, รถส่วนบุคคล, จักรยานไฟฟ้า ยันรถบัสโดยสาร แต่ไม่หยุดแค่นั้น เพราะเค้าพัฒนาเหมารวมทั้ง เครื่องยนต์สันดาปภายใน, EV และ Plug-in Hybrid ไม่คิดเลยว่าค่ายรถจากซีอาน มณฑลส่านซี ที่ก่อตั้งเมื่อปี 2003 ใช้เวลาไม่ถึง 20 ปี กลับพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้อย่างก้าวกระโดดขนาดนี้
The All-New BYD e6 รุ่นปี 2021
BYD e6 รุ่นเดิม จะเห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปมากเลย
แผงคอนโซลของใหม่
แผงคอนโซลของเดิม
ส่วน The All-New BYD e6 รุ่นปี 2021 คันนี้ เป็นการนำเข้ามาจำหน่ายโดย EV Society รายเดียวกับที่เป็นเจ้าของธุรกิจ EV TAXI VIP รถแท็กซี่ไฟฟ้าสาธารณะเจ้าแรกและเจ้าเดียวในไทย ที่ถือว่าเป็นผู้เริ่มต้นคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ต้องการกระตุ้นให้เกิดความใส่ใจต่อสภาพแวดล้อมที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษและฝุ่นควัน PM 2.5 ซึ่งรถที่ใช้เป็น BYD e6 รุ่นก่อนหน้านี้ ที่มีความแตกต่างจากรุ่นใหม่นี้อย่างสิ้นเชิง และที่สำคัญยังรู้มาว่า EV TAXI VIP ที่ให้บริการมา 3 ปี ขับมาแล้วเกือบๆ 3 แสนกิโลเมตร ยังมีประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ที่สูงกว่า 90% อีกด้วย เรื่องนี้ถือว่าการันตีคุณภาพของแบตเตอรี่ได้เลย
กลับมาที่ The All-New BYD e6 กันอีกครั้ง พาอ้อมไปนิดหน่อย บอกแล้วว่าเรื่องราวมันเยอะมาก..ความประทับใจแรกคือ การออกแบบที่ดูทันสมัยกว่าเดิม มีความเฉียบคม หน้าตาดูหล่อเหลาเอาการ และตัวรถมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ดูดีขึ้นในทุกมิติ เริ่มต้นจากไฟหน้าที่ออกแบบได้เฉียบคมเป็นแบบฮาโลเจน พร้อมไฟ LED Daytime Running Lights ทั้งด้านหน้าและหลัง มีขนาดตัวถังที่ยาวถึง 4,695 มม. กว้าง 1,810 มม. สูง 1,670 มม. ระยะฐานล้อ 2,800 มม. ความสูงจากพื้นถึงตัวถัง 145 มม.พื้นที่บรรทุกสัมภาระ 580 ลิตร มาพร้อมยางขนาด 215/55 R17 และเบาะแบบ 5 ที่นั่ง ที่เป็นเบาะหนังที่ลูบคลำดูแล้วให้สัมผัสที่นุ่มนวลใช้ได้
ในส่วนของสมรรถนะ มอเตอร์แบบ AC Permanent Magnet Synchronous Motor ระบบขับเคลื่อนแบบล้อหน้า มอเตอร์ไฟฟ้าให้พละกำลังสูงสุด 70 kW และแรงบิดสูงสุด 180 นิวตันเมตร ระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบแมคเฟอร์สันสตรัท ด้านหลังแบบมัลติลิงก์ ดิสก์เบรกทั้งสี่ล้อ
ระยะการขับต่อการชาร์จ 1 ครั้ง สามารถขับได้ไกล 520 กิโลเมตร ทำความเร็วสูงสุดได้ 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แบตเตอรี่เป็นแบบ Blade Battery หรือแบตเตอรี่ทรงใบมีดที่ออกแบบให้บางและยาว รวมทั้งมีน้ำหนักเบา มีความแตกต่างจากแบตเตอรี่ทั่วไปของยานยนต์ไฟฟ้าอื่น ซึ่งนั่นทำให้รถคันนี้ลดน้ำหนักรวมของตัวถังไปได้เยอะเลย
เข้าเว็บเล่นเน็ต หรือ เปิดฟังเพลง เปิด youtube ได้
จอทัชสกรีนที่ปรับหมุนให้เป็นแนวตั้งได้
ส่วนภายในห้องโดยสาร แผงแดชบอร์ดทำได้หรูหรากว่าเดิม โดดเด่นด้วยหน้าจอ TFT ขนาด 5 นิ้ว ที่คมชัดมาก ประกบข้างด้วยมาตรวัดปริมาณ kW ด้านซ้าย และความเร็ว km/h ด้านขวา พวงมาลัยมีขนาดที่กระชับพอดีมือ พร้อมปุ่มปรับโหมดการทำงานที่หน้าจอที่ด้านขวา และที่น่าสนใจคือ หน้าจอทัชสกรีนขนาด 10 นิ้ว ที่สามารถหมุนจากแนวนอนให้เป็นแนวตั้งได้ด้วยอีกนะ เสริมความหรูหราด้วยลายไม้สีน้ำตาลเข้มเคลือบมันตัดขอบด้วยสีเงินดูโดดเด่นและไม่น่าเบื่อ ถัดลงมาจะเจอกับปุ่มควบคุมเครื่องเสียง ปุ่มปรับโหมดการขับ ไฟฉุกเฉิน ระบบควบคุมการทรงตัว สัญญาณเตือนขณะจอด และเครื่องปรับอากาศ ส่วนเกียร์เป็นแบบปุ่มหมุนตามสมัยนิยมของยานยนต์ไฟฟ้าทั่วไป คือ การเข้าเกียร์ใช้วิธีกดปุ่มทั้งหมด รวมทั้งมีเบรกมือไฟฟ้าติดตั้งมาให้ด้วย
ส่วนระบบความปลอดภัยต่างๆ มีครบเท่าที่รถในยุคนี้ควรมี ไม่ว่าจะเป็น EPS (Electronic Power Steering), Anti-Lock Braking System (ABS), ESP (Electronic Stability Program), EPB (Electric Park Brake), Vehicle Dynamic Control System (VDC), BOS (Brake Override System), Traction Control System (TCS), Electric Brakeforce Dis-tribution (EBD), Hill-Start assist Control (HHC) และ Hydraulic Brake Assist System (HBA) พร้อมแอร์แบคคู่หน้า
ในส่วนของการทดลองขับ จากโชว์รูม EV Society สุทธิสาร ขับมาตามถนนวิภาวดีแล้วยูเทิร์นที่ 5 แยกลาดพร้าว กลับมาทางดินแดงแล้วขับเข้าโชว์รูม ตอนแรกรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เพราะตอนออกตัวการตอบสนองของคันเร่งค่อนข้างช้า เป็นการออกตัวที่ต่างจากยานยนต์ไฟฟ้าทั่วไปที่จะออกตัวได้รวดเร็ว ทันใจ แต่สำหรับ The All-New BYD e6 จะค่อยๆ ออกตัว ไม่ปรู๊ดปร๊าด อารมณ์คล้ายๆ ขับรถที่ใช้เกียร์ CVT คือช่วงออกตัวจะค่อยเป็นค่อยไป แต่พอความเร็วขึ้นมาแล้วก็จะไหลต่อเนื่องแบบไม่สะดุด พอมานึกดูแล้วด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าให้พละกำลังสูงสุด 70 kW ที่แบกตัวถังขนาดใหญ่แล้วต้องคำนึงถึงการดึงพลังงานออกมาใช้ นั่นไม่แปลกที่จะทำให้รู้สึกว่ารถคันนี้จะออกตัวได้ช้ากว่ายานยนต์ไฟฟ้ารุ่นอื่นๆ แต่นั่นกลับเป็นข้อดี เพราะเวลาที่ออกตัวจากจุดหยุดนิ่งหรือจากที่ติดไฟแดง ทำให้สามารถกะน้ำหนักของแป้นคันเร่งในการออกตัวได้ปลอดภัยยิ่งขึ้น ส่วนการทำความเร็วถือว่าทำได้ดีไม่ต่างจากยานยนต์ไฟฟ้าอื่นๆ แม้ว่าจะไม่ได้แรงแบบหลังติดเบาะ แต่เหมาะสมกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน
เรื่องที่ชอบ คือ ตำแหน่งการนั่งขับที่ทำให้ทัศนวิสัยในการมองเห็นกว้างมาก มุมบดบังน้อย น้ำหนักพวงมาลัยเบาแบบที่ผู้หญิงชอบแน่นอน การเก็บเสียงในห้องโดยสารทำได้ดี ได้ยินเสียงยางดังเข้ามาเล็กน้อย (ขับในเมืองความเร็วไม่ถึง 100 กม./ชม.) ช่วงล่างออกไปทางนุ่มนวล ฝั่งคนขับจะรู้สึกนุ่มมาก แต่ฝั่งเบาะหลังเวลาเจอหลังเต่าหรือทางขรุขระหน่อยจะรู้สึกว่ากระเด้งพอสมควร ช่วงล่างด้านหลังอาจจะต้องปรับอีกหน่อยให้หนึบขึ้น และห้องโดยสารที่กว้าง ไม่อึดอัด เบาะนั่งสบาย คือถ้าเอามาเป็นรถใช้งานทั่วไปถือว่าตอบโจทย์แบบครอบครัวมาก
แต่มีจุดที่ต้องปรับปรุงอีกหน่อย คือ เบาะหลังไม่สามารถพับได้, ประตูท้ายน้ำหนักเยอะมาก และไม่มีระบบเปิดด้วยไฟฟ้า นั่งทำให้ต้องใช้แรงในการโหนปิดประตู เหนื่อยหน่อยนะ กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ให้ทางโชว์รูมทำให้ได้อย่างกระจกมองข้างไม่ได้พับไฟฟ้า เบาะหน้าไม่เป็นเบาะปรับไฟฟ้าประมาณนั้น
เบาะหน้านั่งสบายมาก ฟองน้ำนุ่มพอดีไม่แข็ง
พื้นที่จัดวางสัมภาระขนาดใหญ่
น่าเสียดายที่เบาะหลังปรับพับไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระได้อีกเพียบ
ปรับเบาะด้านหน้ามาจนสุด ยังมีพื้นที่ระหว่างเบาะกับหัวเข่าอีกพอสมควร นั่งสบายไม่อึดอัด
โดยสรุป The All-New BYD e6 รุ่นปี 2021 คันนี้ มีจุดดีที่น่าสนใจมากกว่าจุดด้อยเล็กๆ น้อยๆ ถ้าอยากได้ยานยนต์ไฟฟ้าเอาไว้ใช้งานโดยที่ต้องการรถขนาดใหญ่ ถือว่าตอบโจทย์ได้ดี เรื่องของระยะทำการตามสเปคกับการใช้งานจริง ถึงจะยังไม่ได้ลองแบบเต็มๆ แต่จากประสบการณ์ลองขับทั้ง e6 รุ่นก่อนหน้านี้ และการขับรถ EV ค่ายอื่นๆ ขอตีระยะทางเอา 400 กิโลเมตร +- อีก 50 กิโลเมตร ซึ่งเพียงพอต่อการใช้งานใน 1 วัน ขับใช้งานแล้วกลับมาชาร์จไฟที่บ้าน เอาจริงๆ ถ้าขับใช้งานในเมืองต่อ 1 วัน ระยะทางไปกลับวันละ 80 กิโลเมตร ที่ถือว่าเยอะมากหากใช้งานในเมือง ใน 1 สัปดาห์ชาร์จไฟแค่ 1 ครั้งเอง..โลกของการขับรถมันเริ่มเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ นะ
ประตูท้ายขนาดใหญ่มาก และน้ำหนักเยอะมาก ไม่มีระบบเปิดปิดด้วยไฟฟ้า ตรงนี้เหนื่อยหน่อยนะ
โดยตอนนี้ทาง EV Society เคาะราคาล่าสุดมาแล้วอยู่ที่ 1,390,000 บาท พร้อมรับฟรีประกันภัย และถ้าจองรถภายในเดือนมิถุนายนนี้ รับฟรีแท่นชาร์จไปด้วยเลย ซึ่งจะมีการส่งมอบรถล็อตแรกเดือนสิงหาคมนี้ สำหรับสีตัวถังเท่าที่ทราบมาจะมีสามสี คือ สีขาว, สีดำ และสีฟ้า
ส่วนตอนนี้ใครที่สนใจอยากเป็นสัมผัสกับคันจริง สามารถไปได้ที่ EV Society สุทธิสาร อยู่อาคารเดียวกับโชว์รูม ซูบารุ สุทธิสาร หรือคลิ๊กเข้าไปที่แฟนเพจ EV Society https://www.facebook.com/EVTaxivip มาลองเปิดโลกกัน แล้วจะรู้ว่าทุกวันนี้ค่ายรถจากจีนพัฒนาไปไกลกว่าที่เราคิดเอาไว้มากเลยล่ะ
เรื่อง/ภาพ : พุทธิ ผาสุข
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th