Ford รถยอดเยี่ยมแห่งปี 2023
นับเป็นที่สุดของรถปิกอัพที่ดุดันไม่เกรงใจใคร FORD RANGER RAPTOR รถปิกอัพระดับพรีเมียมที่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีความล้ำสมัย พร้อมด้วยขุมพลังแบบ V6 ขนาด 3.0 ลิตร เทอร์โบคู่ 397 แรงม้า และให้แรงบิดสูงสุด 583 นิวตันเมตร พร้อมด้วยระบบช่วงล่างระดับโลก ที่สามารถใช้งานได้ทุกการเดินทาง ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่เหล่าคณะกรรมการลงมติความเห็นว่า FORD RANGER RAPTOR คือที่สุดของ BEST 4WD PETROL PICKUP
จุดเด่นที่คณะกรรมการลงคะแนน
การออกแบบ
FORD RANGER RAPTOR มาพร้อมกับการตกแต่งรูปลักษณ์ภายนอกในสไตล์ออฟโรด เสริมความดุดันด้วยกระจังหน้าสีดำขนาดใหญ่ พร้อมตัวอักษร FORD ไฟหน้าเป็นแบบ Matrix LED โคมรมดำ มีระบบเปิด-ปิดและระบบปรับมุมลำแสงไฟแบบอัตโนมัติ ไฟส่องสว่างในเวลากลางวันและไฟตัดหมอกแบบ LED ตกแต่งสีดำต่อเนื่องกับคิ้วกันกระแทกซุ้มล้อ พร้อมแผงกันกระแทกสีเงิน กระจกมองข้างปรับและพับด้วยไฟฟ้า ไฟส่องสว่างข้างตัวรถ บันไดข้างอะลูมิเนียมพร้อมผิวกันลื่นสีดำ มีฝาท้ายแบบผ่อนแรง และล้ออัลลอยสีดำ ขนาด 17 นิ้ว ยาง All-Terrain ตัวถังใหญ่กว่ารุ่นปกติ ด้วยความยาว 5,381 มม. กว้าง 2,028 มม. และสูง 1,922 มม.
ภายในห้องโดยสารตกแต่งแบบสปอร์ต รองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 5 ที่นั่ง เบาะนั่งหุ้มหนังและหนังสังเคราะห์ ดีไซน์เฉพาะรุ่น RAPTOR เบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้าได้ 10 ทิศทาง จออินโฟเทนเมนต์แบบสัมผัสขนาด 12 นิ้วสั่งงานได้ด้วยเสียง รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth ลำโพง 10 ตำแหน่ง พร้อมระบบนำทาง ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ แยกอิสระ ซ้าย-ขวา มีช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง มาตรวัดเรือนไมล์เป็นดิจิทัล ขนาด 12.4 นิ้ว และแท่นชาร์จสมาร์ทโฟนแบบไร้สาย เป็นต้น
ขุมเทอร์โบคู่ 3.0 ลิตร EcoBoost V6 พร้อมโหมดการขับ 7 รูปแบบ
FORD RANGER RAPTOR ดุดันด้วยขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบคู่ 3.0 ลิตร EcoBoost V6 ให้พละกำลังถึง 397 แรงม้า ที่ 5,650 รอบต่อนาที และแรงบิด 583 นิวตันเมตร ที่ 3,500 รอบต่อนาที ปรับแต่งโดยทีมฟอร์ด เพอร์ฟอร์แมนซ์ เพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่ทั้งบนทางเรียบและเส้นทางออฟโรด ทำงานคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด แบบ e-Shifter ที่ปรับจูนตามมาตรฐานของฟอร์ด เพอร์ฟอร์แมนซ์
ระบบช่วงล่างปรับได้ 3 โหมด คือ Normal, Sport และ Off-road พร้อมโหมดการขับขี่ 7 โหมด ได้แก่ โหมด Normal สำหรับการขับขี่แบบปกติ, โหมด Sport เน้นสมรรถนะ, โหมด Slippery สำหรับทางลื่น, โหมด Mud/Ruts ลุยโคลน, โหมด Sand ไว้ลุยทราย, โหมด Baja เมื่อต้องการสมรรถนะบนทางออฟโรด และโหมด Rock Crawl บนเส้นทางที่เป็นแง่งหิน ระบบเบรกใหม่พร้อมบูสเตอร์ไฟฟ้า จานดิสก์ขนาดใหญ่ คาลิเปอร์แบบลูกสูบคู่ และดิสก์เบรกแบบมีร่องระบายความร้อนทั้ง 4 ล้อ โช้คอัพ Fox ขนาด 2.5 นิ้ว ระบบไอเสียแบบแปรผันควบคุมไฟฟ้า
ครั้งแรกในรถกระบะ ช่วยให้ผู้ขับขี่ตั้ง
ค่าเสียงของฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ ได้
ด้วยระดับความดัง 4 โหมด ได้แก่ โหมดเงียบ โหมดปกติ โหมดสปอร์ต และโหมดบาฮา FORD RANGER RAPTOR มาพร้อมกับระบบความปลอดภัยเต็มรูปแบบอาทิ ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ, ระบบตรวจเช็กลมยาง, ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ พร้อมระบบ Stop-and-Go และระบบควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง, กล้องมองรอบคัน 360 องศา, ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน, ระบบป้องกันการชนเมื่อถอยหลัง ด้วยความเป็นสุดยอดทั้งเทคโนโลยีและความแรง จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไม FORD RANGER RAPTOR ถึงเป็นรถปิกอัพที่คนพูดถึงมากที่สุด จนทำให้สามารถคว้ารางวัล Car of The Year 2023 มาครองได้สำเร็จ
FORD RANGER
WILDTRAK
ด้วยดีไซน์ภายนอกที่โดดเด่นและยังอัดแน่นด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ทำให้ FORD RANGER WILDTRAK เป็นรถปิกอัพที่ตอบรับความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างลงตัว ด้วยขุมพลังเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร เทอร์โบ พร้อมด้วยระบบความปลอดภัยเต็มรูปแบบ ทำให้สามารถคว้ารางวัล BEST HIGH-LIFT PICKUP UNDER 2,000 c.c. ซึ่งความโดดเด่นจะมีอะไรบ้าง สามารถติดตามได้ใน Car of The Year 2023
จุดเด่นที่คณะกรรมการลงคะแนน
การออกแบบ
FORD RANGER WILDTRAK ในเวอร์ชันปี 2023 มีการออกแบบให้มีความดุดัน สปอร์ต แข็งแกร่ง สไตล์ออฟโรด มากยิ่งขึ้น กระจังหน้าและกันชนตกแต่งด้วยสีดำ ไฟหน้าแบบ Matrix LED พร้อมระบบเปิด-ปิด ไฟหน้าอัตโนมัติ ไฟส่องสว่างในเวลากลางวัน และไฟตัดหมอกแบบ LED กระจกมองข้างปรับและพับด้วยไฟฟ้า มีไฟส่องสว่างข้างตัวรถ ซุ้มล้อตกแต่งคิ้วกันกระแทกสีดำ กระบะท้ายติดตั้งสปอร์ตบาร์และราวยึดอุปกรณ์ กันชนหลังมีบันไดข้างสำหรับเหยียบขึ้นตัวกระบะ ฝาท้ายมีระบบช่วยผ่อนแรง EasyLift ส่วนล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว
ภายในห้องโดยสารตกแต่งสไตล์สปอร์ต เน้นโทนสีดำ เบาะหุ้มหนังและหนังสังเคราะห์ ดีไซน์เฉพาะรุ่น Wildtrak เบาะคนขับและผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง มาตรวัดเป็นจอดิจิทัลขนาด 8 นิ้ว คอนโซลกลางติดตั้งจออินโฟเทนเมนต์แบบสัมผัส Multi-Touch ขนาด 12 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto ลำโพง 6 ตำแหน่ง ระบบเชื่อมต่อ Bluetooth และสามารถสั่งงานด้วยเสียง รวมถึงมีช่องเชื่อมต่อ USB 4 จุด ช่องเชื่อมต่อจ่ายกระแสไฟ 12V
1 ช่อง และ 230V 1 ช่อง
ขุมพลัง 2.0L Bi-Turbo
พร้อมด้วยระบบความปลอดภัยเต็มรูปแบบ
FORD RANGER WILDTRAK มาพร้อมกับขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล แบบ 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ ให้กำลังสูงสุด 210 แรงม้า ที่ 3,750 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,000 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ สามารถปรับเปลี่ยนเป็นโหมด +/- ได้
ทางด้านเทคโนโลยีช่วยเหลือการขับขี่และอุปกรณ์ด้านความปลอดภัย FORD RANGER WILDTRAK อัดแน่นมาทุกระบบ อาทิ ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ พร้อมระบบ Stop-and-Go และระบบควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง, กล้องมองรอบคัน 360 องศา, ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน, ระบบป้องกันการชนเมื่อถอยหลัง, ระบบช่วยการหักพวงมาลัยเพื่อเลี่ยงการปะทะ, และเบรกมือไฟฟ้า
จากความโดดเด่นที่เหนือชั้น ทำให้ FORD RANGER WILDTRAK ได้รับการโหวตจากคณะกรรมการว่ามีความเหนือชั้นกว่าคู่แข่งในคลาสเดียวกัน จนทำให้สามารถคว้ารางวัล BEST HIGH-LIFT PICKUP UNDER 2,000 c.c. มาครองได้สำเร็จ
FORD EVEREST
TITANIUM+ 4×4
สำหรับความลงตัว BEST DIESEL PPV UNDER 2,000 c.c. ในปีนี้คงต้องยกความเป็นสุดยอดให้กับ FORD EVEREST TITANIUM+ 4×4 นอกจากความสวยงามที่มีเอกลักษณ์และบึกบึนสไตล์อเมริกัน ยังมาพร้อมการตอบสนองทุกการใช้งานได้อย่างลงตัว จึงทำให้ได้รับผลโหวตจากคณะกรรมการให้เป็น “ที่สุด” ของรถยนต์ PPV ขับเคลื่อน 4 ล้อ ใน Car of The Year 2023 ซึ่งความสุดยอดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามได้ในบททดสอบครั้งนี้…
จุดเด่นที่คณะกรรมการลงคะแนน
การออกแบบ
รูปโฉมภายนอกของ FORD EVEREST TITANIUM+ 4×4 ได้รับการออกแบบใหม่ให้ ดูดุดันมากยิ่งขึ้น ด้วยกระจังหน้าใหม่ ขนาดใหญ่สีดำ MATRIX LED พร้อมระบบเปิด-ปิด ไฟหน้าแบบอัตโนมัติ ไฟ Daytime Running Lights แบบ LED รูปตัว C-Clamp ไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED ฝาท้ายเปิด-ปิด ด้วยระบบไฟฟ้า
FORD EVEREST TITANIUM+ 4×4 มาพร้อมการออกแบบที่สมบุกสมบัน โดยที่ยังคงความเรียบหรู พร้อมกับขยายในช่วงระยะฐานล้อให้ยาวขึ้น 50 มม. ยาวกว่ารุ่นที่ผ่านมา รวมถึงเพิ่มระยะระหว่างล้อหน้าและหลังที่มากขึ้น เพื่อให้ดูล้ำสมัยและบึกบึน โดยมีมิติตัวถังความยาว 4,914 มม., กว้าง 1,923 มม., สูง 1,842 มม. และมีระยะฐานล้อ 2,900 มม.
ภายในห้องโดยสารมีการออกแบบจัดวางที่ลงตัวมากขึ้น ด้วยมาตรวัดดิจิทัลเต็มระบบ ขนาด 12.4 นิ้ว ปรับการแสดงผลได้หลายรูปแบบ เพิ่มพื้นที่ในห้องโดยสารด้วยการออกแบบแผงคอนโซลให้ขยับไปด้านหน้ามากขึ้น ทำให้ห้องโดยสารดูเรียบโล่ง และมีพื้นที่มากขึ้นสำหรับที่เก็บของและที่วางแก้วน้ำ รวมทั้งมีช่องจ่ายไฟฟ้าทั้งแบบ USB-A, USB-C, Wireless Charger ช่องจ่ายไฟฟ้า 12 โวลต์ และปลั๊กไฟ 400 วัตต์ เบาะนั่งแถวที่ 2 และ 3 ออกแบบมาให้พับได้ราบสนิท เพื่อการบรรทุกสัมภาระขนาดยาวได้อย่างปลอดภัย
จอสัมผัสที่คอนโซลกลางขนาด 12 นิ้ว เชื่อมต่อการสื่อสาร SYNC 4A® เหมือนการใช้สมาร์ทโฟนผ่านแอปพลิเคชัน FordPass สั่งงานรถได้หลายอย่าง ทั้งสตาร์ทเครื่องยนต์, เปิดแอร์, ล็อกและปลดล็อกรถ, ค้นหารถ หรือดูสถานะของรถ เช่น น้ำมันที่เหลือในถัง
เครื่อง 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่
พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ FORD EVEREST TITANIUM+ 4×4 ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ แถวเรียง ขนาด 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ ให้กำลัง 210 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ E-Shifter 10 สปีด พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ เสริมด้วยระบบ Terrain Management System ที่มอบตัวเลือกการขับขี่ 6 โหมด คือ โหมดปกติ, โหมดประหยัด, โหมดลากจูง, โหมดทางลื่น, โหมดโคลน และโหมดทราย พร้อมระบบดิฟล็อกหลังแบบไฟฟ้า 4×4 เพิ่มความสามารถในการบุกตะลุยในทุก
สภาพพื้นผิวได้ดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้ FORD EVEREST TITANIUM+ 4×4 มาพร้อมระบบความปลอดภัยและเทคโนโลยีช่วยขับขี่เต็มรูปแบบ อาทิ ช่วยให้เข้าจอดแบบอัตโนมัติ ได้ทั้งการจอดขนานและถอยเข้าช่องจอดทำให้ผู้ขับขี่จอดรถในพื้นที่แคบได้อย่างปลอดภัยเพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส,ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control with Stop-and-Go) เสริมความมั่นใจให้ผู้ขับขี่ได้มากขึ้น, ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง, ระบบช่วยหักพวงมาลัยเพื่อเลี่ยงการปะทะ, ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน
…และนี่คือความโดดเด่นเหนือใคร ที่ทำให้ FORD EVEREST TITANIUM+ 4×4 ได้รับการคัดเลือกให้เป็น BEST DIESEL PPV UNDER 2,000 c.c. ประจำปี 2023 จากคณะกรรมการ