Ford Ranger Raptor คว้ารางวัล Best Pickup 4WD
นับว่าเป็นรถที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์ปิกอัพอย่างสิ้นเชิงสำหรับ Ford Ranger Raptor รถปิกอัพระดับพรีเมียมที่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีความล้ำสมัย พร้อมด้วยขุมพลัง 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ พร้อมด้วยระบบช่วงล่างระดับโลก Fox Racing Shox ที่สามารถใช้งานได้ทุกการเดินทาง ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญ ที่เหล่าคณะกรรมการลงมติความเห็นว่า Ford Ranger Raptor คือที่สุดของกลุ่ม Best Pickup 4WD Under 2,000 c.c.
ในด้านการออกแบบ Ford Ranger Raptor ได้แรงบันดาลใจจาก F-150 Raptor กันชนหน้ายึดติดกับเฟรมรถ แผงกันชนหน้าสี Super Alloy ไฟตัดหมอกแบบ LED พร้อมช่องรีดอากาศ บันได้ข้างอะลูมิเนียม ออกแบบรองรับการระบายทราย โคลน ป้องกันหินกระแทกตัวถังรถ กันชนท้ายเสริมชุดตะขอเกี่ยว 2 ชุด เซนเซอร์ท้ายเสมอถัง ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว ยาง All-Terrain BFGoodrich ขนาด 285/70R17 เส้นผ่าศูนย์กลางยาง 838 มิลลิเมตร กว้าง 285 มิลลิเมตร
ภายในเติมเต็มในฟังก์ชันการใช้งานในรูปแบบปิกอัพพรีเมียม ถ่ายทอดดีเอ็นเอของ Ford Performance อย่างชัดเจน อาทิ เบาะนั่งปรับได้แบบ 6 ทิศทาง เบาะผู้โดยสารตอนหน้าปรับด้วยมือ 6 ทิศทาง เบาะนั่งหุ้มด้วย Alcantara แดชบอรด์หน้าบุนุ่ม เดินตะเข็บด้ายสีน้ำเงิน โลโก Raptor บนแผงหน้าปัด แป้นเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย Paddle Shift ผลิตจาก Magnesium แถบบอกตำแหน่งองศาพวงมาลัย On-Center Marker สลักตัวโลโก Raptor ที่ขอบพวงมาลัย ปุ่มสตาร์ท Push Start Button
ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัส 8 นิ้ว รองรับ วิทยุ AM/FM/CD/MP3 ระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC 3 รองรับ Apple CarPlay / Andriod Auto ช่องเชื่อมต่อ USB 2 ตำแหน่ง ระบบเชื่อมต่อไร้สาย Bluetooth ระบบนำทาง Navigation System ลำโพง 6 ตัว
ขุมพลัง Diesel 2.0 EcoBlue Bi-Turbo พร้อมระบบช่วงล่าง
เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบแถวเรียง ขนาด 2.0 ลิตร 1,996 ซี.ซี. เทอร์โบคู่ โดยเทอร์โบคู่ทำงานร่วมกันระหว่าง High-Pressure (HP Turbo) เทอร์โบแรงดันสูง และ Low-Pressure (LP Turbo) เทอร์โบแรงดันต่ำ ควบคุมด้วยวาล์ว Bypass ให้กำลังสูงสุด 213 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ช่วยเพิ่มพละกำลังเครื่องยนต์ให้สูงขึ้น เมื่อผู้ขับขี่ต้องการอีก ด้วย จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ
ผลิตจากเหล็กกล้า-อะลูมิเนียมอัลลอย และคอมโพสิท
เพื่อให้มีความทนทานและมีน้ำหนักเบา ทำให้สามารถขับขี่ออฟโรดความเร็วสูงและทนต่อแรงกระแทกที่อาจเกิดจากการขับขี่โดยเฉพาะ
ช่วงล่าง Ford Ranger Raptor มาพร้อมโช้คอัพแบบ Position Sensitive Damping (PSD) ที่ผลิตโดย FOX ซึ่งจะเพิ่มแรงต้านเมื่อมีการกระแทกเต็มช่วงยุบกระบอกสูบ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขับขี่แบบออฟโรดให้ดียิ่งขึ้น และจะลดแรงต้านเมื่อขับขี่บนถนนทางเรียบเพื่อการขับขี่ที่นุ่มนวล ระบบกันสะเทือนวัตต์ลิงก์ Watt-Link Coil Over Shock ยังได้รับการออกมาเพื่อรับมือกับการขับขี่ความเร็วสูงบนสภาพผิวถนนที่ขรุขระโดยเฉพาะ ขณะเดียวกัน ผู้ขับขี่ก็ยังสามารถควบคุมรถได้อย่างสมบูรณ์และได้รับความสบายอย่างเต็มที่ จับคู่กับพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า EPAS ทำให้ควบคุมได้ง่ายยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ Ford Ranger Raptor มาพร้อมกับระบบโหมดการขับเคลื่อน Terrain Management System (TMS) ระบบปรับสภาพการขับขี่อัจฉริยะที่มาพร้อม 6 โหมด เพื่อตอบรับทุกประสบการณ์การขับขี่ โดยใช้ปุ่มบนพวงมาลัย ให้คุณควบคุมได้ดังใจ ไม่ว่าจะเป็นจากโหมดธรรมดา สู่โหมดสปอร์ต, ลุยพื้นหญ้า, ฝ่าก้อนกรวด, ลุยหิมะ, โคลน, ทราย หรือหิน และ โหมดบาฮา (Baja off-road sport mode) ทำให้พร้อมลุยทุกเส้นทางออฟโรด
Special Test
เข้าสู่บททดสอบความเป็นสุดยอด Best Pickup 4WD Under 2,000 c.c. ของ Ford Ranger Raptor เริ่มต้นด้วยสถานีทดสอบอัตราเร่ง Acceleration Test คณะกรรมการต้องเหยียบคันเร่งอย่างเร้าใจตั้งแต่ออกตัว เพื่อหาเวลาดีที่สุดในระยะทาง 100 เมตร เครื่องยนต์ดีเซล EcoBlue TDCi 4 สูบแถวเรียง ขนาด 2.0 ลิตร 1,996 ซี.ซี. เทอร์โบคู่ ที่มอบขุมพลังสูงสุด 213 แรงม้า สามารถแสดงประสิทธิภาพได้อย่างยอดเยี่ยม และยิ่งทำงานร่วมกับระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ที่ได้รับการพัฒนามาเป็นพิเศษ จากทีมวิศวกรฟอร์ด สร้างความเร้าใจได้อย่างต่อเนื่อง รวดเร็ว ซึ่งนับว่าเป็นจุดเด่นสำคัญในการทดสอบครั้งนี้
สถานีที่ 2 Lane Change การทดสอบเสถียรภาพการควบคุม คณะกรรมการผู้ทดสอบจะต้องคอนโทรลพวงมาลัยในการเปลี่ยนเลนกะทันหัน เพื่อทดสอบความแม่นยำของพวงมาลัยและการทำงานของระบบช่วงล่างในช่วงเวลาฉุกเฉิน ซึ่งในสถานีนี้คณะกรรมการได้สัมผัสถึงความแตกต่างของการควบคุมที่แม่นยำเหนือรถปิกอัพทั่วไป ด้วยพวงมาลัยแบบไฟฟ้า (EPAS) สามารถสั่งการระบบช่วงล่างได้อย่างแม่นยำและลงตัว แม้ในช่วงการหักพวงมาลัยเปลี่ยนเลนกะทันหัน ระบบความปลอดภัยอันชาญฉลาด สามารถตอบสนองได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่มีอาการสะบัดหรือท้ายโยนให้รู้สึกหวิวแต่อย่างใด
ปิดท้ายด้วยการทดสอบความนุ่มนวลของระบบช่วงล่าง
Suspension Test ซึ่งคณะกรรมการจะได้พบกับบททดสอบในการเข้าโค้งต่างๆ ที่ทีมงานได้จัดเตรียมวางทางไว้ให้ ซึ่งมีหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น โค้งแคบ โค้งกว้าง และโค้งตัวเอส ระบบกันสะเทือนวัตต์ลิงก์ Watt-Link Coil Over Shock มาพร้อมโช้คอัพแบบ Position Sensitive Damping (PSD) ที่ผลิตโดย Fox สามารถให้การทรงตัวได้เป็นอย่างดี นุ่มนวลทุกสภาพถนน และตอบโจทย์การใช้งานได้ทุกรูปแบบ
และนี่คือบทพิสูจน์ของ Ford Ranger Raptor ที่เหล่าคณะกรรมการต่างลงคะแนนว่าคือที่รถที่ดีที่สุดในกลุ่ม Best Pickup 4WD Under 2,000 c.c.
Best PPV Diesel 2WD Under 2,000 c.c.
Ford Everest 2.0L Turbo 4×2 Trend
หนึ่งในรถ PPV ที่ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างอเนกประสงค์ ลงตัวและคุ้มค่า Ford Everest 2.0L Turbo 4×2 Trend นับว่าเป็นเรือธงสำคัญที่คนต่างนึกถึง ด้วยการออกแบบที่โฉบเฉี่ยว ล้ำสมัย คงสไตล์อเมริกันได้อย่างครบถ้วน พร้อมทั้งตอบสนองทุกการใช้งานได้อย่างลงตัว จึงทำให้ได้รับผลโหวตจากคณะกรรมการให้เป็น “ที่สุด” ของรถยนต์ PPV ขับเคลื่อน 2 ล้อ ในการทดสอบ Car of The Year 2019 ซึ่งความสุดยอดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามได้ในบททดสอบครั้งนี้…
สำหรับ Ford Everest 2.0L Turbo 4×2 Trend ภายในยกระดับให้มีความหรูอย่างเห็นได้ชัด เริ่มด้วย เบาะหุ้มด้วยหนัง พร้อมระบบปรับอากาศอัตโนมัติแยกโซนสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง พร้อมสวิตช์ปรับแรงลมแยกส่วน สำหรับเบาะนั่งแถวที่ 2 แยกอิสระ 60:40 ปรับเอนได้ และสามารถเลื่อนหน้า-ถอยหลังได้ ส่วนเบาะนั่งแถวที่ 3 แยกอิสระ 50:50 เพิ่มความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ด้วยกุญแจรีโมทอัจฉริยะและปุ่มสตาร์ทรถอัตโนมัติ
ในส่วนของคอนโซลหน้าเพิ่มความหรู ด้วยการติดตั้งจอขนาด 8 นิ้ว ได้รับการติดตั้งระบบซิงค์ 3 (SYNC 3) ซึ่งรองรับ Apple CarPlay และ Android Auto พร้อมระบบบลูทูธ ระบบตัดเสียงรบกวน Active Noise Cancellation และกล้องมองหลัง ผู้ขับขี่ยังสามารถใช้งาน Apple Maps และระบบช่วยโทรฉุกเฉิน (Emergency Assistance) สำหรับระบบ SYNC® ที่อยู่ใน Ford Everest 2.0L Turbo 4×2 Trend ได้รับการพัฒนาขึ้นมาอีกขั้น เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือผ่านบลูทูธด้วยระบบ SYNC® และต่อสายไปที่เบอร์ 1669 เมื่อเกิดอุบัติเหตุ หรือต้องการความช่วยเหลือฉุกเฉิน
เครื่องยนต์ 180 แรงม้า พร้อมระบบความปลอดภัยที่เป็นเอกลักษณ์
Ford Everest 2.0L Turbo 4×2 Trend มาพร้อมกับเครื่องยนต์แบบใหม่ คือ ดีเซล เทอร์โบ 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร (เทอร์โบเดี่ยว) ให้กำลังสูงสุด 180 แรงม้า ที่ 3,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 420 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด พร้อมโหมดบวก/ลบ ทำให้การขับเคลื่อนและควบคุม รวมถึงการเร่งแซงทำได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ Ford Everest 2.0L Turbo 4×2 Trend ยังมาพร้อมระบบความปลอดภัยเต็มรูปแบบ อาทิ ระบบป้องกันล้อล็อก ABS และระบบกระจายแรงเบรก EBD, ระบบช่วยเบรกฉุกเฉิน ระบบจะช่วยรักษาแรงเบรกในกรณีที่มีการหยุดรถอย่างฉุกเฉิน BA, ระบบช่วยการทรงตัวขณะลากจูง TSC (Trailer Sway Control), ระบบลดความเสี่ยงจากการพลิกคว่ำ (Rollover Mitigation), ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TC และระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP (Traction Control and Electronic Stability Program), ระบบช่วยการออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน HLA (Hill Launch Assist) ถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง (คู่หน้า-ด้านข้าง-ม่านนิรภัย-หัวเข่าคนขับ) เซนเซอร์กะระยะช่วยจอดด้านหลัง กล้องมองภาพขณะถอยจอด ระบบกุญแจ Immobilizer สัญญาณกันขโมย Burglar Alarm จุดยึดเบาะนั่งเด็ก ISOFIX
Special Test
เข้าสู่ช่วงการทดสอบ Ford Everest 2.0L Turbo 4×2 Trend ในสถานี Acceleration Test ดีเซล เทอร์โบ 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร (เทอร์โบเดี่ยว) ให้กำลังสูงสุด 180 แรงม้า ที่ 3,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 420 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด สามารถรีดประสิทธิภาพเครื่องยนต์ได้สูงสุด และเสริมความประหยัดเชื้อเพลิงให้มีความลงตัวมากยิ่งขึ้น ส่งกำลังได้ต่อเนื่อง รวดเร็วยิ่งขึ้น เพียงแค่กดคันเร่งออกตัวก็สั่งรถพุ่งทะยานไปข้างหน้าทันที ถึงแม้ว่าจะมีมิติตัวถังขนาดใหญ่ก็ไม่สามารถทำให้ด้อยประสิทธิภาพออกตัวลงแม้แต่น้อย
ถัดมาสถานี Lane Change คณะกรรมการผู้ทดสอบจะต้องควบคุมด้วยการบังคับรถเปลี่ยนเลนแบบกะทันหัน พวงมาลัยเพาเวอร์พร้อมผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า สามารถสั่งการได้อย่างเฉียบคม ควบคุมง่าย นอกจากนี้ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวยังสั่งการได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ผ่านอุปสรรคได้อย่างง่ายดาย
ปิดท้ายด้วยสถานี Suspension Test การทดสอบความนุ่มนวลระบบช่วงล่าง ในสถานีนี้ Ford Everest 2.0L Turbo 4×2 Trend ต้องพบบททดสอบในทางโค้ง ระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระ ปีกนก 2 ชั้น พร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง และด้านหลังแบบคอยล์สปริงพร้อมวัตต์ลิงก์และเหล็กกันโคลง ช่วยถ่ายเทน้ำหนักในการเข้าโค้งได้อย่างลงตัวแบบ “มั่นใจได้” ไม่มีอาการดีดหรือยวบให้สัมผัส นอกจากนี้ ระบบเบรกยังให้แรงฉุดรั้งที่เหลือเฟือ สามารถตอบสนองได้ทุกการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานแบบหนัก หรือต้องการประคองแบบนุ่มนวล สามารถสั่งการได้อย่างง่ายดาย
Best PPV Diesel 4WD Under 2,000 c.c.
Ford Everest 2.0L Bi-Turbo Titanium+ 4×4 10AT
ด้วยดีไซน์ภายนอกที่โดดเด่นและยังอัดแน่นด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยด้วย ทำให้ Ford Everest 2.0L Bi-Turbo Titanium+ 4×4 10AT เป็นรถ PPV ที่ตอบรับความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างลงตัว ด้วยขุมพลังเครื่องยนต์ใหม่ขนาด 2.0 ลิตร Bi-Turbo ให้กำลังสูงสุด 213 แรงม้า พร้อมด้วยระบบความปลอดภัยเต็มรูปแบบ ทำให้สามารถคว้ารางวัล Best PPV Diesel 4WD Under 2,000 c.c. มาครองได้อย่างไร้ข้อกังขา ซึ่งความโดดเด่นจะมีอะไรบ้าง สามารถติดตามได้ใน Car of The Year 2019
ขุมพลัง 2.0L Bi-Turbo 213 แรงม้า และระบบขับเคลื่อน 4WD เต็มรูปแบบ
สำหรับ Ford Everest 2.0L Bi-Turbo Titanium+ 4×4 10AT มาพร้อมกับขุมพลังใหม่ในรูปแบบเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร ไบเทอร์โบ (Bi-Turbo) พร้อมระเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ให้กำลังสูงสุด 213 แรงม้า พร้อมแรงบิดระดับ 500 นิวตันเมตร ที่ 1,750 รอบ/นาที ขับเคลื่อน 4 ล้อแบบฟูลไทม์ ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ ที่สามารถปรับโหมดบวก/ลบได้ นอกจากนี้ Ford Everest 2.0L Bi-Turbo Titanium+ 4×4 10AT ยังมีโหมดขับเคลื่อนหลากหลาย (ระบบ i4WDTerrain Management System) อาทิ โหมดขับขี่บนพื้นลื่น (โคลน) โดยระบบจะควบคุมรอบและแรงบิดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม พร้อมเสริมระบบการทำงานของเบรก ABS โหมดพื้นทราย ระบบจะส่งแรงบิดไปที่ล้ออย่างเต็มประสิทธิภาพ พร้อมปรับคันเร่งและพวงมาลัยตอบสนองได้เร็วมากยิ่งขึ้น โหมดพื้นหิน ควบคุมการทำงานของระบบ 4WD ไว้ที่เกียร์หนึ่ง เพื่อให้รถถ่ายแรงบิดมาที่ล้อสูงสุด พร้อมเสริมการทำงานของเบรก ABS และส่งต่อแรงบิด ซึ่งโหมดเหล่านี้ผู้ใช้สามารถปรับเปลี่ยนได้ด้วยตัวเองตามความเหมาะสมของสภาพถนน
ระบบความปลอดภัยเหนือระดับ วางใจในทุกการขับขี่
Ford Everest 2.0L Bi-Turbo Titanium+ 4×4 10AT ระบบเทคโนโลยีความปลอดภัย อาทิ ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control), ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง (Lane Keeping System), ระบบเตือนการชนด้านหน้า (Forward Collision Warning System), ระบบแจ้งเตือนการขับขี่ (Driver Alert System), ระบบเปิด-ปิด ไฟสูงอัจฉริยะ (Auto High Beam Control), ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ (Active Park Assist), ระบบตรวจจับรถในจุดบอด (BLIS-Blind Spot Information System) ที่มาพร้อมระบบตรวจจับรถขณะออกจากซองจอด (Cross Traffic Alert), กล้องมองหลังขณะถอยจอด และสัญญาณเตือนระยะจอดด้านหน้า (Rear View Camera and Sensors) และระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติและระบบตรวจจับคนเดินถนน โดยผสานระบบเบรกแบบ Autonomous Emergency Braking (AEB) เข้ากับระบบตรวจจับคนเดินถนน และระบบตรวจจับยานพาหนะบริเวณรอบตัวรถ เพื่อหยุดรถ และช่วยลดอัตราการชนท้ายและการชนคนเดินถนน ซึ่งจะทำงานที่ความเร็วสูงกว่า 3.6 กม./ชม.
นอกจากนี้ Ford Everest 2.0L Bi-Turbo Titanium+ 4×4 10AT มาพร้อมความสะดวกสบายยิ่งขึ้นกว่าเดิม ด้วยฟีเจอร์ใหม่มากมาย เช่น ระบบตรวจจับลมยาง (Tire Pressure Monitoring System) ซึ่งได้รับการติดตั้งในรถระดับนี้เป็นครั้งแรก จะคอยตรวจวัดความดันลมในยางล้อทั้ง 4 ล้อ และเตือนผู้ใช้งานเมื่อความดันลมเปลี่ยนแปลง ระบบนี้นอกจากจะช่วยเสริมประสิทธิภาพการใช้น้ำมันแล้ว ยังช่วยเพิ่มความปลอดภัย และยืดอายุการใช้งานของยางอีกด้วย ระบบประตูท้ายเปิด-ปิด ด้วยไฟฟ้าแบบแฮนด์ฟรี เพียงยื่นเท้าไปที่ใต้กันชนท้าย ประตูท้ายจะเปิดโดยอัตโนมัติ กุญแจรีโมทอัจฉริยะ และปุ่มสตาร์ทรถอัตโนมัติ เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถสตาร์ทรถได้รวดเร็วยิ่งขึ้น และขึ้น-ลง รถได้สะดวกสบายกว่าเดิม เพิ่มความปลอดภัยด้วยถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง (คู่หน้า-ด้านข้าง-ม่านนิรภัย-หัวเข่าคนขับ) เซนเซอร์กะระยะช่วยจอดด้านหลัง กล้องมองภาพขณะถอยจอด ระบบกุญแจ Immobilizer สัญญาณกันขโมย Burglar Alarm จุดยึดเบาะนั่งเด็ก ISOFIX และยังสามารถพับเก็บเบาะที่นั่งในแถวที่ 3 ได้ด้วยระบบไฟฟ้า เพื่อเพิ่มพื้นที่บรรทุกสัมภาระให้กว้างขึ้นตามต้องการ และด้วยประตูท้ายที่สามารถเปิด-ปิด ด้วยไฟฟ้า ทำให้คุณสะดวกยิ่งขึ้นในการขนย้ายสัมภาระขนาดใหญ่
สำหรับความพิเศษอีกจุดคือ ได้ติดตั้งระบบซิงค์ 3 (SYNC 3) ซึ่งรองรับ Apple CarPlay และ Android Auto พร้อมระบบบลูทูธ จอทัชสกรีน ฟูลคัลเลอร์ ขนาด 8.0 นิ้ว และกล้องมองหลัง ผู้ขับขี่ยังสามารถใช้งาน Apple Maps และระบบแผนที่นำทางด้วยดาวเทียมซึ่งติดตั้งมากับรถ เมื่อออกนอกพื้นที่ที่มีสัญญาณโทรศัพท์อีกด้วย ระบบซิงค์ 3 ยังมาพร้อมระบบจดจำเสียง และระบบสั่งงานเสียงด้วยภาษาไทย เพื่อการใช้งานที่คล่องตัวยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีระบบช่วยโทรฉุกเฉิน (Emergency Assistance) คือ ระบบ SYNC® ที่ได้รับการพัฒนามาขึ้นอีกขั้น เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือผ่านบลูทูธ ด้วยระบบ SYNC® และต่อสายไปที่เบอร์ 1669 เมื่อเกิดอุบัติเหตุ หรือต้องการความช่วยเหลือฉุกเฉิน
Special Test
เข้าสู่บททดสอบความเป็นสุดยอด Performance PPV ในสถานี Lane Change การทดสอบเสถียรภาพการควบคุมพวงมาลัยแบบไฟฟ้า (EPAS) สามารถสั่งการระบบช่วงล่างแบบคอยล์สปริงพร้อมวัตต์ลิงก์ได้อย่างแม่นยำและลงตัว แม้ในช่วงการหักพวงมาลัยเปลี่ยนเลนกะทันหัน นอกจากนี้ระบบป้องกันรถพลิกคว่ำ (Roll Stability Control) ที่มี gyroscopic sensor เพื่อตรวจสอบการเข้าโค้งว่ารถมีโอกาสในการหมุน พลิกคว่ำ หรือไม่ และช่วยปรับการทรงตัวเพื่อให้รถกลับมาเกาะถนนอีกครั้ง ระบบความปลอดภัยอันชาญฉลาดสามารถตอบสนองได้อย่างยอดเยี่ยม
ในสถานีทดสอบอัตราเร่ง Acceleration Test คณะกรรมการต้องเหยียบคันเร่งอย่างเร้าใจตั้งแต่ออกตัว เพื่อหาเวลาดีที่สุดในระยะทาง 100 เมตร ขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร ไบเทอร์โบ (Bi-Turbo) พร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ให้กำลังสูงสุด 213 แรงม้า พร้อมแรงบิดระดับ 500 นิวตันเมตร ที่ 1,750 รอบ/นาที ขับเคลื่อน 4 ล้อแบบฟูลไทม์ สร้างอัตราเร่งได้อย่างต่อเนื่องและนุ่มนวล ทำให้ผู้ขับสามารถสัมผัสถึงกำลังเครื่องยนต์ที่มีพละกำลังมหาศาลที่พร้อมขับเคลื่อนไปในทุกพื้นที่
ปิดท้ายด้วยการทดสอบความนุ่มนวลของระบบช่วงล่าง Suspension Test ระบบช่วงล่างแบบอิสระ ปีกนก 2 ชั้น พร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง และด้านหลังแบบคอยล์สปริงพร้อมวัตต์ลิงก์และเหล็กกันโคลง สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างลงตัว ควบคุมได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นการเข้าโค้งที่แคบ โค้งกว้าง และโค้งตัวเอส ช่วงล่างและระบบความปลอดภัย รับมือได้อย่างลงตัว
Best American Sport Car
Ford Mustang 5.0 L V8
หนึ่งในรถนำเข้าที่สร้างกระแสอย่างต่อเนื่องในชั่วโมงนี้คงหนีไม่พ้น Ford Mustang 5.0 L V8 รถสปอร์ตระดับตำนานส่งตรงมาจากประเทศสหรัฐอเมริกา พี่มาพร้อมเครื่องยนต์ 460 แรงม้า และเทคโนโลยีล้ำสมัยแบบดุดันในสไตล์อเมริกันอย่างครบถ้วน จนทำให้ Ford Mustang 5.0 L V8 ได้รับการโหวตจากคณะกรรมการให้เป็น Best American Sport Car ซึ่งความพิเศษจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ใน Car of The Year 2019
รูปลักษณ์ภายนอกของ Ford Mustang 5.0 L V8 ดูปราดเปรียวและโฉบเฉี่ยวมากขึ้นแต่ยังคงเอกลักษณ์ที่เป็นที่จดจำตลอด 50 ปีที่ผ่านมาไว้อย่างครบถ้วน ฝา
กระโปรงหน้าได้รับการปรับให้แบนราบลง พร้อมช่องระบายอากาศในตัว ดีไซน์กระจังหน้ากดต่ำลง ดูดุดัน และสอดคล้องกับหลักอากาศพลศาสตร์ วิศวกรของฟอร์ดทำการปรับลดความสูงของช่วงหน้าและเพิ่มขนาดของสปลิตเตอร์หรือลิ้นหน้า เพื่อเพิ่มแรงกดในช่วงหน้าของตัวรถให้สามารถยึดเกาะถนนได้อย่างมั่นคงยิ่งขึ้น แผงกันชนด้านหลังล้อหน้ายังช่วยให้อากาศไหลผ่านใต้ตัวรถได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งช่วยลดแรงต้านได้มากถึง 3% กันชนหลังและดิฟฟิวเซอร์แบบใหม่ ช่วยเพิ่มความโฉบเฉี่ยวให้กับด้านท้าย ในขณะที่ท่อไอเสีย 4 ท่อ พร้อมรองรับความแรงของเครื่องยนต์ V8 ขนาด 5.0 ลิตร และมีสปอยเลอร์เป็นมาตรฐานในรุ่น GT
Ford Mustang 5.0 L V8 มาพร้อมชุดแต่ง Performance Pack ที่ให้เฟืองท้ายแบบ Limited-Slip ให้การขับขี่ในโค้งสนุกสนานขึ้น ล้ออัลลอยสีดำขนาด 19 นิ้ว ในทั้งสองรุ่น รวมถึงระบบเบรก Brembo ในรุ่น GT และฟีเจอร์เสริมอีกมากมายที่เข้ากับเอกลักษณ์ในการขับขี่ที่สนุกสนาน และยังคงตำนานอันโดดเด่นกว่า 50 ปี ในแบบฉบับของ Ford Mustang ได้เป็นอย่างดี
ภายในได้รับการออกแบบให้มีความหรูหรา สะดวกสบาย แผงหน้าปัดแสดงผลเป็นจอภาพ LCD ขนาดใหญ่ถึง 12 นิ้ว จะแสดงข้อมูลที่เหมาะสมกับโหมดขับขี่แต่ละโหมด คล้ายกับที่มีในรถซูเปอร์คาร์ อย่าง รถฟอร์ด จีที เพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่สัมผัสประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในทุกการขับขี่ โดยการแสดงผลจะเปลี่ยนตามโหมดขับขี่โดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ เมื่อใช้งานฟีเจอร์ Electronic Line Lock ผู้ขับขี่ยังจะเห็นแอนิเมชันแบบวิดีโอเกมเป็นครั้งแรกบนหน้าจอ 12 นิ้วอีกด้วย
ระบบ Infotainment อย่าง SYNC 3 ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเชื่อมต่อและควบคุมสมาร์ทโฟน ระบบเสียง ระบบนำทางและระบบปรับอากาศ ด้วยการสั่งงานด้วยเสียงและการสั่งงานด้วยการสัมผัสบนหน้าจอทัชสกรีนกลาง ขนาด 8 นิ้ว โดยระบบ SYNC 3 รองรับทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto™ ซึ่งลูกค้าฟอร์ดน่าจะคุ้นเคยกันดีอยู่แล้วกับระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC ที่พัฒนาต่อเนื่องมาหลายปี จนมาถึง SYNC 3 ที่ฉลาดมากขึ้น แสดงข้อมูลเป็นภาษาไทยได้ดีเยี่ยมและครบถ้วนสมบูรณ์
ขุมพลัง V8 ขนาด 5.0 ลิตร 460 แรงม้า พร้อมเทคโนโลยีสนามแข่ง
Ford Mustang 5.0 L V8 มาพร้อมกับขุมพลังเครื่องยนต์ V8 ขนาด 5.0 ลิตร ให้ขุมพลังสูงสุดถึง 460 แรงม้า แรงบิด 556 นิวตันเมตร โดยได้รับการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น เพื่อมอบพลังที่มากกว่าและรอบเครื่อง red line ที่สูงกว่าที่เคยมีมา ด้วยระบบหัวฉีดสองระบบ (Dual-Fuel) ที่ผสานระบบไดเร็คอินเจคชั่นแรงดันสูง (High-Pressure Direct Injection) และระบบฉีดเชื้อเพลิงที่ท่อแบบแรงดันต่ำ (Low-Pressure Port Fuel Injection) อีกทั้งยังเพิ่มแรงบิดในช่วงรอบเครื่องต่ำ ประหยัดน้ำมันได้สูงถึง 7.8 กิโลเมตร/ลิตร และมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่ 297 กรัม/กิโลเมตร ส่งผ่านกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีดใหม่ จากฟอร์ด เร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายในเวลาเพียง 4.3 วินาทีเท่านั้น
ระบบควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ของเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ช่วยให้สามารถปรับแต่งเครื่องตามโหมดการขับขี่ต่างๆ ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์แบบ
เรียลไทม์ ช่วยให้สามารถปรับเกียร์ตามสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว และมีแป้นเปลี่ยนเกียร์หลังพวงมาลัยแพดเดิ้ลชิฟต์ ช่วยให้ผู้ขับขี่ควมคุมรถได้ทุกจังหวะ
สำหรับ Ford Mustang 5.0 L V8 มีโหมดการขับขี่ใหม่ 2 โหมด เพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่ปรับการควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว การตอบสนองของคันเร่ง รูปแบบการเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติ พวงมาลัยและการทำงานโหมดปรับระดับความดังของชุดท่อไอเสีย Active Valve Performance Exhaust ให้เหมาะกับการขับขี่แบบต่างๆ โดยมี 2 โหมดใหม่ นอกจากโหมดปกติ (Normal) โหมดสปอร์ต (Sport) โหมดแทร็ก (Track) และโหมดหิมะ/พื้นเปียก (Snow/Wet) ก็ยังมีโหมดแข่งทางตรง (Drag Strip) เพื่อประสิทธิภาพอัตราเร่งสูงสุด และการแข่งขันแบบควอเตอร์ไมล์ในสนามแข่ง กับโหมด My Mode ให้ผู้ขับขี่ได้เลือกตั้งค่าสมรรถนะการขับขี่และเสียงท่อไอเสียได้ตามอิสระต้องการ
นอกจากนี้ Ford Mustang 5.0 L V8 ยังมาพร้อมระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระ แมคเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง (Double-ball-joint MacPherson strut with stabilizer bar) ส่วนด้านหลังอิสระ แบบอินทิกรัลลิงค์ พร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง (Integral-link independent with coil springs and stabilizer bar) จับคู่กับโช้คอัพที่ได้รับการปรับแต่งใหม่ ช่วยให้เข้าโค้งได้อย่างมั่นคง ในขณะที่ช่วงล่างได้รับการออกแบบให้แข็งแกร่งขึ้น ด้วยข้อต่อแบบ Cross-Axis ช่วยลดการเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็นในการเข้าโค้งที่สามารถนำไปสู่การบิดของตัวถังได้ เหล็กกันโคลงที่หนาขึ้นยังช่วยลดอาการโคลง (body-roll) และช่วยให้ควบคุมรถได้เฉียบคมยิ่งขึ้น
ระบบความปลอดภัยแบบเหนือชั้น มั่นใจในทุกการขับขี่
Ford Mustang 5.0 L V8 มาพร้อมกับ ระบบเตือนการชน (Pre-Collision Assist) ที่ผสานระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ พร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน (AEB) และระบบตรวจจับยานพาหนะ (Vehicle Detection) ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อลดความรุนแรง และในบางกรณียังสามารถลดอัตราการชนยานพาหนะหรือคนเดินถนนจากด้านหน้ารถได้ ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control) และระบบแจ้งเตือนระยะห่าง (Distance Alert) เป็นครั้งแรก ช่วยรักษาระยะห่างที่เหมาะสมจากรถคันหน้า ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง และแจ้งเตือนเมื่อออกนอกช่องทาง ซึ่งทำการเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเส้นทางโดยไม่ตั้งใจ และช่วยหักพวงมาลัยเล็กน้อยเพื่อนำรถกลับเข้าสู่ช่องทาง (Lane Keeping System)
ซึ่งทั้งหมดที่เรากล่าวมานี้ คือความคุ้มค่าแบบเหนือชั้น ที่ทำให้เหล่าคณะกรรมการผู้ทดสอบได้ลงความเห็นให้ Ford Mustang 5.0 L V8 คว้ารางวัล Best American Sport Car ใน Car of The Year 2019
เรื่อง: กองบรรณาธิการ
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th