ทำไม Ford Ranger Wildtrak ก็เกินพอ?
หลายคนที่กำลังจะตัดสินใจซื้อรถกระบะพันธุ์แกร่งสัญชาติอเมริกัน Ford Ranger ต้องมีอาการลังเลว่าจะเลือกตัวไหนดีระหว่างรุ่นท็อป Wildtrak 4×4 หลังจากการบิ๊กไมเนอร์เชนจ์เมื่อกลางปีที่แล้ว ได้รับการอัพเกรดมาใช้เครื่องยนต์ดีเซลใหม่ 2.0L Bi-Turbo และเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีดเหมือนกับที่อยู่ในจอมโหด Raptor แต่จ่ายน้อยกว่าราว 4 แสนบาทนิดๆ ทำให้เราลองนำรถทั้ง 2 รุ่นมาเปรียบเทียบให้เห็นกันเลยว่ามีจุดแตกต่างกันตรงไหนบ้าง…
มิติตัวถัง
เหตุผลอันดับต้นๆ ของการตัดสินใจว่าจะซื้อ Ranger Wildtrak หรือ Raptor คงเป็นขนาดที่หลายคนถือเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะความแออัดบนท้องถนนในกรุงเทพฯ และจังหวัดใหญ่ๆ ของประเทศ ทำให้มีโอกาสถูกเบียดกระจกมองข้างจากมอเตอร์ไซค์ รวมถึงความยากลำบากในการหาที่จอดตามห้างสรรพสินค้า
ตัวเลขเป็นมิลลิเมตรอาจจะดูเยอะ แต่พอเปลี่ยนเป็นเซนติเมตรจะต่างกันแค่ 3.2, 0.36 และ 0.58 ตามลำดับในตาราง แต่ที่ทำให้ Raptor ดูหลอกตาว่าใหญ่กว่า มาจากระยะช่วงล้อหน้า-ล้อหลังที่กว้างขึ้นเป็น 1,710 มม. ด้วยเหตุผลว่าเพื่อให้ลุยออฟโรดได้อย่างเต็มที่ ส่วนเรื่องลุยน้ำท่วมที่เป็นอีกเหตุผลสำคัญของการซื้อรถกระบะสำหรับคนไทย ตามข้อมูล Ranger สามารถขับลุยระดับน้ำสูงสุด 800 มม. แพ้ Raptor เพียงแค่ 50 มม. หรือครึ่งเซนติเมตรเท่านั้น
ดีไซน์
ต้องยอมรับว่าในวันแรกที่ออกจากโชว์รูม Ranger ที่เป็นต้นกำเนิดของฉายา “กระบะพันธุ์แกร่ง” จะมีหน้าตาที่เรียบร้อยไปหน่อยสำหรับขาลุย แต่ไม่ใช่เรื่องยากอะไรสำหรับเจ้าของรถรุ่นนี้ที่เต็มใจจะจ่ายเพื่อเปลี่ยนกระจังหน้าใหม่ที่มีให้เลือกทั้งสัญลักษณ์ม้าป่า Mustang หรือตัวอักษร Ford ขนาดใหญ่เหมือนกับ F-150 Raptor ที่ขายในอเมริกา ก่อนจะถูกถ่ายทอดมาสู่ Raptor เวอร์ชั่นอาเซียน
ลองพิมพ์คำว่า “กระจังหน้า เรนเจอร์” ใน Google อึดใจเดียวก็มีเว็บร้านอุปกรณ์ตบแต่งที่ขายกระจังหน้าของ Ranger ให้เลือกตั้งแต่ราคา 2,000-6,000 บาท ขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้ผลิต และก่อนจะตัดสินใจเลือกร้านก็ควรอ่านคอมเม้นต์ของลูกค้าที่ซื้อไปก่อนหน้าว่าเป็นอย่างไรด้วย
เช่นเดียวกับล้อที่เป็นอีกจุดที่พวกคลั่งไคล้การแต่งรถให้ความสำคัญ Ranger Wildtrak จะใส่ล้ออัลลอย 18 นิ้ว ติดตั้งยาง 265/60 ขณะที่ Raptor จะเป็นล้ออัลลอย 17 นิ้ว ใส่ยางแบบ All-terrain ของแบรนด์ BF Goodrich ไซส์ 285/70 โดยหากซื้อเปลี่ยนเองราคาทั้งชุด 4 ล้อก็เฉียดๆ 4 หมื่นบาท
นอกจากนี้การออกแบบโครงสร้างของชิ้นส่วนต่างๆ ของ Raptor เลือกใช้วัสดุเหล็กอัลลอย HLSA (High-Strength Low-Alloy) พร้อมด้วยแผงกันกระแทกด้านล่างผลิตจากเหล็กกล้าที่มีความหนา 2.3 มิลลิเมตร เพื่อให้สามารถปกป้องห้องโดยสารจากแรงกระแทกขณะขับขี่บนเส้นทางออฟโรดได้อย่างไร้กังวล
เครื่องยนต์ & ระบบการขับขี่
ตรงนี้อาจจะดูตลกที่ Ranger Wildtrak รุ่นท็อปขับเคลื่อนสี่ล้อสามารถรองรับกำลังของเครื่องยนต์ดีเซล 2.0L Bi-Turbo ที่มีกำลังสูงสุด 213 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตรเท่ากับ Raptor ทั้งที่ควรจะปรับให้แรงน้อยกว่าตามราคา ทำให้อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้หลายคนเลือกจ่ายถูกกว่าเพื่อซื้อ Wildtrak
ที่สำคัญระบบเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ช่วยยกระดับการขับของ Ranger ได้ดีขึ้นจากเดิมผิดหูผิดตา หลังจาก Ford พากลุ่มสื่อมวลชนร่วมขับทดสอบที่จังหวัดเชียงราย เมื่อช่วงเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว หากเทียบกับ Ranger ก่อนปรับโฉมเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 3.2 ลิตร ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ในการขับบนทางขึ้นเขาที่เป็นโค้งตัวยูที่คล้ายกัน Ranger Wildtrak 2018 มีการคำนวณกำลังเครื่องยนต์ และการเปลี่ยนเกียร์ที่ละเอียดกว่าทำให้ไม่ต้องปรับมาใช้โหมด Manual เพื่อช่วยรักษากำลังเลยสักโค้งเดียว
แต่ที่ทำให้ Raptor เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมาจากระบบ Terrain Management System (TMS) เพื่อรองรับการขับขี่ถึง 6 รูปแบบที่เหมือนกับใน Everest แต่เพิ่ม Baja Mode สำหรับการขับบนเส้นทางออฟโรดด้วยความเร็วสูงเข้ามาเป็นจุดขายสำคัญ ทำให้คนที่จะเลือกซื้อ Raptor ต้องพิจารณาว่าตัวเองใช้งานแบบสมบุกสมบันขนาดไหน
ระบบช่วงล่าง
Ranger Wildtrak จะใช้ช่วงล่างหน้าแบบอิสระ Double Wishbone with Coil Spring และช่วงล่างด้านหลังแหนบซ้อน Leaf Spring ที่มีการเซ็ตใหม่เพื่อรองรับเครื่องยนต์ที่น้ำหนักเบาลง แต่การขับจริงไม่ได้รู้สึกว่าแตกต่างจากรุ่นก่อนเท่าไรนัก เพราะว่า Ford ทำได้ลงตัวอยู่แล้ว
ในขณะที่ Raptor จะมาพร้อมชุดโช๊คอัพ Fox Racing Shox ที่ผลิตขึ้นมาเป็นพิเศษราคาหลักแสนบาท รวมทั้งระบบกันสะเทือนหน้าที่เป็นแบบอิสระปีกนกคู่ใช้วัสดุอลูมิเนียมน้ำหนักเบาช่วยลดอาการ Unsprung Weight ให้ช่วงล่างทำงานได้มีประสิทธิภาพดีขึ้น ส่วนระบบกันสะเทือนหลังเป็นแบบวัตต์ลิงค์ และสปริงคอยล์โอเวอร์ช็อค ทำให้ตรงจุดนี้ Wildtrak หมดสิทธิ์จะสู้จริงๆ
อัตราประหยัดน้ำมัน
ด้วยน้ำหนักรวมของรถที่มากกว่า 168 กิโลกรัม ทำให้ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไม Raptor จะมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงสูงกว่าที่ 11.9 กม./ลิตร ในการทดสอบแบบสภาวะรวม (ตามข้อมูลอีโคสติกเกอร์) ในขณะที่ Wildtrak พอได้เครื่องยนต์ใหม่อัตราสิ้นเปลืองจะอยู่ที่ 13.2 กม./ลิตร หรือขับไป 100 กิโลเมตรใช้น้ำมันแค่ 7.6 ลิตรเท่านั้น ถึงตอนนี้ราคาน้ำมันจะไม่โหดร้าย แต่เป็นอีกองค์ประกอบสำคัญในการตัดสินใจซื้อรถของหลายคนเช่นกัน
• ระบบความปลอดภัย (เพิ่มเติมจาก Ranger รุ่น Limited)
• อุปกรณ์เสริม (เพิ่มเติมจาก Ranger รุ่น Limited)
เรื่อง: พูนทวี สุวัตถิกุล ภาพ พิศวัส/ภูดิท
ขอบคุณข้อมูล: ฟอร์ด ประเทศไทย
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th