รีวิว – ทดสอบ Mercedes-Benz GLC 350e ครั้งแรกบนถนนเมืองไทย
The New GLC เจเนอเรชั่นใหม่ของรถอเนกประสงค์ยอดนิยมของ Mercedes-Benz เปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทย เมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ในรหัส GLC 350e 4MATIC AMG Dynamic ขุมกำลังปลั๊ก-อิน ไฮบริด และการ ทดสอบ ขับบนถนนประเทศไทยครั้งแรกมีขึ้นในเส้นทางภูเก็ต-พังงา-กระบี่ ระยะทางรวม 140 กิโลเมตร รีวิว
ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา Mercedes-Benz พยายามพุ่งเป้าหมายสู่อนาคตของยานยนต์พลังงานไฟฟ้า ด้วยการเร่งพัฒนาเทคโนโลยีพร้อมเปิดตัวโมเดลที่ใช้พลังงานไฟฟ้า 100% ไม่ว่าจะเป็น EQB, EQC, EQE และ EQS
แต่ผู้ผลิตรถยนต์พรีเมียมสัญชาติเยอรมันไม่อาจทอดทิ้งเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE-Internal Combustion Engine) ตลาดเก่าแก่ที่ยังคงเป็นรายได้หลักของพวกเขาในปัจจุบัน และการเป็น 1 ในโมเดลที่มียอดขายดีที่สุดทั่วโลก ทำให้เจเนอเรชั่นใหม่ของ GLC คอมแพ็คครอสส์โอเวอร์จะมีตัวเลือกขุมกำลังครบตั้งแต่เบนซิน, ดีเซล และรุ่นปลั๊ก-อิน ไฮบริด
แต่สำหรับตลาดประเทศไทย เมอร์เซเดส เลือกจะเปิดตัว The New GLC ในรุ่นปลั๊ก-อิน ไฮบริด ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร เทอร์โบ แบบ 4 สูบแถวเรียง 16 วาล์ว พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ เสริมพลังด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า Permanently Excited Synchronous Machine ทำให้กำลังรวมสูงสุดทะลุไปที่ 313 แรงม้า และแรงบิดมหาศาล 550 นิวตันเมตร โดยสามารถขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าเป็นระยะทางไกลกว่า 120 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง (มาตรฐาน WLTP)
แนวทางการออกแบบ: ความสวยงามที่เรียบง่าย
คอนเซ็ปต์การออกแบบของ The New GLC เป็นแนวทางเดียวกับไลน์อัพเอสยูวีของ Mercedes-Benz ในปัจจุบัน ทำให้ดีไซน์ของเจเนอเรชั่นนี้ถูกเปลี่ยนใหม่หมดทั้งคัน โดยชุดไฟหน้าจะเชื่อมต่อกับกระจังหน้าใหม่ที่ช่วยเพิ่มความกว้างให้ตัวรถ
รูปทรงของตัวรถถูกกำหนดคาแรกเตอร์ให้มีความกว้าง และเพิ่มเหลี่ยมคมให้บริเวณด้านข้าง ทั้งหมดช่วยทำให้สัดส่วนของรถมีความโดดเด่น, ซุ้มล้อที่มีขนาดใหญ่ให้ความแข็งแกร่ง และสร้างสมดุลระหว่างความโดดเด่นกับสมรรถนะในยามขับขี่แบบ Off Road เช่นเดียวกับชุดไฟท้ายแบ่งการออกแบบเป็น 2 ส่วน สร้างรูปทรงให้เป็น 3 มิติ ทำให้ด้านท้ายของรถดูกว้างขึ้น
สำหรับโมเดลที่ขายในประเทศไทยการมีรหัส AMG อยู่ด้วย ทำให้ New GLC 2023 จะมาพร้อมชุดแต่ง AMG Bodystyling ใส่กระจังหน้าแบบ Star Pattern ออกแบบมาได้อย่างลงตัวกับกันชนหน้าดีไซน์ใหม่ A-shape และติดตั้งราวหลังคาอลูมิเนียม เสริมบันไดข้างแบบสแตนเลสดีไซน์สปอร์ต รวมถึงล้ออัลลอย AMG 5-Twin Spoke ขนาด 20 นิ้ว
ด้วยคอนเซปต์หลักของทีมออกแบบเมอร์เซเดส ทำให้ GLC 350e 4MATIC AMG Dynamic เหมือนเป็นการผสมผสานระหว่างเอสยูวีพรีเมียมที่ใช้งานในเมืองที่พร้อมจะออกผจญภัยบนเส้นทางออฟโรดในทุกเวลาที่คุณต้องการ
ภายในห้องโดยสาร: ความทันสมัยที่ผสมผสานความหรูหราเร้าใจ
แนวทางหลักในการออกแบบห้องโดยสารของ The New GLC แสดงให้เห็นถึงการเข้าสู่ยุคใหม่ของ Mercedes สะท้อนความสปอร์ตหรูหราของแบรนด์ โดยแดชบอร์ดถูกกำหนดให้มีความเรียบง่าย ด้านบนมีความคล้ายปีก และรูปทรงที่เหมือนเครื่องยนต์ของอากาศยานพร้อมเส้นสายโค้งมนที่กลมกลืน
แต่ The New GLC เวอร์ชั่นที่ขายในประเทศไทยภายในห้องโดยสารจะใส่ชุดแต่ง AMG Interior Package ใส่ความรู้สึกสปอร์ตเพิ่มเติมเข้ามา
เบาะหนังคู่หน้าแบบ Sport Seats ปรับระดับด้วยระบบไฟฟ้า 10 ทิศทางพร้อม Memory Seat 3 ตำแหน่ง และระบบดันหลัง 4 ทิศทางแบบ Lumbar Support
แผงคอนโซลกลางใช้วัสดุแบบ High-Gloss Black สีดำเงา และ Metal Structure Trim คอนโซลหน้า และแผงประตูหุ้มหนัง ARTICO Man-made ตกแต่งลวดลายแบบ Nappa พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันเจเนอเรชั่นที่ 5 ออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์หุ้มด้วยหนัง Nappa เช่นกัน และอีกความพรีเมียมคือการติดตั้งหลังคาพาโนรามิกซันรูฟ เปิด-ปิด ด้วยระบบไฟฟ้า
หนึ่งในจุดขายสำคัญของ GLC 350e 4MATIC AMG Dynamic ที่ทางเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย พยายามนำเสนอคือระบบเสียงรอบทิศทาง Burmester 3D ที่รองรับการเล่นไฟล์เพลงที่ผ่านการมิกซ์ด้วยเทคโนโลยี Dolby Atmos โดยผู้ใช้ iPhone สามารถเลือกเพลงที่รองรับผ่านบริการ Apple Music หรือแอปพลิเคชั่น Spotify แต่ต้องเป็นการเชื่อมต่อด้วย Bluetooth เท่านั้น ไม่ใช่การเล่นผ่าน Apple CarPlay เหมือนที่หลายคนคุ้นเคย
ตอนที่ลองระบบเสียงทีมงาน Grand Prix Online เลือกเพลย์ลิสต์ Dolby Atmos ที่อยู่ใน Spotify เปิดเทียบกับไฟล์เพลงเดียวกันที่อยู่ในแอปฯ ความแตกต่างที่รู้สึกได้ทันทีคงเป็นซาวน์ดที่มีความอิ่มของเนื้อเสียงมากกว่าไฟล์เสียงแบบอื่นอย่าง Elysium เพลงประกอบภาพยนตร์ Gladiator จะมีมิติการบรรเลงของวงออร์เครสตร้ามากขึ้น หรือเพลงสแตนดาร์ดแจ๊ซซ์ Beyond the Sea เวอร์ชั่น Robbie Williams ลำโพงทั้ง 15 ตำแหน่งจะแยกเสียงเครื่องดนตรีให้คุณได้สัมผัสความชัดเจนมากขึ้นเหมือนได้ย้อนกลับไปดูวงบิ๊กแบนด์แสดงในคลับยุค 1960
เริ่มต้นการเดินทาง: The New GLC ที่ไม่เหมือนเดิม
กับเทคโนโลยีปลั๊ก-อิน ไฮบริด เจเนอเรชั่นที่ 4
การ ทดสอบ ครั้งนี้ออกสตาร์ทจากหาดไม้ขาว จังหวัดภูเก็ต มุ่งหน้าสู่จังหวัดกระบี่ ระยะทางประมาณ 140 กิโลเมตร โดยทีมงาน Grand Prix Online อยู่ใน GLC 350e 4MATIC AMG Dynamic สีเงิน Mojave Silver โดยแบตเตอรี่มีกำลังไฟฟ้าน้อยกว่า 75 เปอร์เซ็นต์ ระยะการขับในโหมด EL (Electric) เหลืออยู่ 61 กิโลเมตร หลังจากช่วงเช้ามีการให้สื่อมวลชนนำออกไป รีวิว มาก่อน
ก่อนอื่นต้องบอกว่า GLC 350e ให้ความรู้สึกใหม่ตั้งแต่เปิดประตูเข้าไปนั่งในห้องโดยสารที่ถูกดีไซน์การใช้งานในรูปแบบ Digital Cockpit เพิ่มความลงตัวในการควบคุมระบบต่างๆ หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ Digital Instrument Cluster ขนาด 12.3 นิ้ว สามารถเลือกแสดงข้อมูลที่ต้องการได้ครบถ้วน และจอควบคุมตรงกลางความละเอียดสูงขนาด 11.9 นิ้ว ใกล้เคียงกับแท็บแล็ตเหมือนรถยนต์รุ่นใหม่นิยมใช้งาน โดยติดตั้งในมุมที่คนขับควบคุมได้สะดวก และสามารถควบคุมผ่านพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นได้อีกด้วย
Mercedes-Benz GLC 350 e รองรับการชาร์จพลังงานไฟฟ้าแบบกระแสตรง (DC Charge) สูงสุด 60 kWh ใช้เวลา 20 นาทีชาร์จจาก 10–80% และชาร์จแบบกระแสสลับ (AC Charge) รองรับสูงสุด 11 kWhจาก 0–100% ในเวลา 2 ชั่วโมง 45 นาที
การขับช่วงแรกทีมงาน Grand Prix Online เลือกใช้โหมด EL ที่เป็นรูปแบบการขับมาตรฐานของ The New GLC เจเนอเรชั่นนี้ พูดง่ายๆ คือทุกครั้งที่คุณกดปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์จะใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนความจุ 31.2 kWh ขับเคลื่อนระบบต่างๆ
เส้นทางที่มีทั้งโค้ง และเนินชันจากภูเก็ตเข้าสู่พังงาถือว่าเป็นบททดสอบที่ดีของ The New GLC การขับโหมด EL มีความใกล้เคียงกับรถยนต์ไฟฟ้าด้วยการที่สามารถทำความเร็วได้สูงสุดที่ 140 กม./ชม. ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานจริงอยู่แล้ว และการขับโหมดนี้จะเหมือนกับรถปลั๊ก-อิน ไฮบริด รุ่นอื่นๆ ของเมอร์เซเดส เวลากดคันเร่งจะมีอาการขืนๆ เพื่อไม่ให้คนขับใช้ความเร็วเกินจนเปลี่ยนเข้าสู่โหมด H (Hybrid) ที่เครื่องยนต์จะกลับมาทำงาน
หลังจากลองสลับไปมาระหว่างโหมด EL, B (Hold Battery) และ H เส้นทางการขับช่วงจังหวัดพังงาจะมีทั้งเนินสูงต่ำ และโค้งต่อเนื่อง ทำให้มีโอกาสลองโหมด Sport เพื่อสัมผัสสมรรถนะจริงที่ซ่อนอยู่ของ GLC 350e 4MATIC AMG Dynamic
แน่นอนว่าการใช้เวลา 6.7 วินาที ทำความเร็วจากสูง 0-100 กม./ชม. ไม่ได้เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นของรถรุ่นใหม่ๆ แต่ต้องยอมรับว่าระบบเกียร์ 9G-TRONIC มีส่วนสำคัญที่ทำให้การเร่งความเร็วมาอย่างต่อเนื่อง ถึงจะขัดใจกับเสียงท่อสังเคราะห์ที่ยังไม่ให้ความรู้สึกสมจริงเหมือนกับแบรนด์รถพรีเมียมค่ายอื่นๆ
แต่จุดที่ประทับใจจริงๆ ในการขับ New GLC 350e คงจะเป็นระบบช่วงล่างแบบ Comfort Suspension และระบบช่วงล่างด้านหลังแบบถุงลมที่ไม่ได้มีแค่ความนุ่มนวลอย่างที่ระบุในสเปค แต่มีประสิทธิภาพในการเกาะถนนที่ดีมาๆ จนทำให้นึกถึงระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ quattro ของ Audi คู่แข่งร่วมชาติของพวกเขา
ไม่ใช่แค่โหมด Sport ที่รถจะยกระดับการควบคุมต่างๆ ขึ้นมา โดยตั้งแต่โหมดไฟฟ้าจะสัมผัสได้ถึงระบบช่วงล่างที่มั่นใจได้ในการเข้าโค้ง และที่สำคัญคือ Agility หรือความยืดหยุ่นของโครงสร้างตัวถัง The New GLC ทำได้ยอดเยี่ยมมาก สร้างความรู้สึกมั่นใจหากอยู่ในสถานการณ์ต้องหักเลี้ยวกระทันหันบนท้องถนน
นอกจากนี้ออปชั่นใหม่ที่ Mercedes ติดตั้งมาใน GLC 350e เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การขับขี่แบบออฟโรดในทุกเส้นทางด้วยการติดตั้ง Off-Road Engineering Package สำหรับปกป้องตัวถังรูปแบบใหม่ที่แข็งแรงทนทานด้วยโครงสร้างแบบ Underbody Protection ควบคู่ไปกับหน้าจอแสดงผลที่สามารถรายงานทุกข้อมูลภายนอกตัวรถ โดยมีกล้องรอบคัน 360 องศาที่ให้การแสดงผลแบบ Transparent Bonnet ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถมองเห็นภาพจริงในจุดอับสายตาบริเวณหน้ารถช่วยลดความเสี่ยงที่รถจะเกิดความเสียหายในการขับบนเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย
ไฮไลต์สุดท้ายของ GLC 350e ที่ต้องรอถึงช่วงค่ำถึงจะทดสอบได้คือระบบไฟหน้าความละเอียดสูง 1.3 ล้านพิกเซล ติดตั้งเทคโนโลยี Digital Light และ Ultra Range Highbeam ที่สามารถส่องสว่างไกลถึง 650 เมตร
พร้อมระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Adaptive Highbeam Assist Plus) และระบบปรับไฟหน้าตามองศาการเลี้ยวรถ (Cornering Light) โดยเส้นทางเลียบหาดคลองม่วงขึ้นมาเป็นทางโค้งที่ไม่มีไฟถนนทำให้เห็นความแตกต่างได้ชัดเจนถึงความสว่าง และความเร็วในการปรับระดับไฟหน้าที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้ผู้ขับขี่
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ไฮไลต์หลักๆ ที่อยู่ในคอมแพ็กต์เอสยูวีคันนี้ ระบบช่วยเหลือการขับขี่มาตรฐานยังคงติดตั้งมาครบ เช่นเดียวกับสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เรียกว่าจ่ายเงิน 4.18 ล้านบาท กับ Mercedes-Benz GLC 350 e 4MATIC AMG Dynamic คุ้มค่าแน่นอน
ทางเลือกเครื่องยนต์แบบอื่น
สำหรับคนที่อยากรอตัวเลือกเครื่องยนต์ดีเซลของ The New GLC เพื่อเปรียบเทียบเท่าที่ทีมงาน Grand Prix Online ได้ข้อมูลจากผู้บริหารเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ในงานเปิดตัว The New GLC เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาว่าพวกเขามีแผนจะนำรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลเข้ามาจำหน่าย แต่ยังไม่อาจเปิดเผยรายละเอียด แต่บรรดาสื่อรถยนต์เชื่อว่าไม่น่าจะเกินปลายปีนี้
การทำตลาดในยุโรปจะเริ่มต้นด้วยเครื่องยนต์เบนซิน ระบบ Mild Hybrid รหัส 200 4MATIC ไปจนถึงระบบปลั๊ก-อิน ไฮบริด เครื่องยนต์ดีเซล ในรหัส 300 de 4MATIC ที่มีกำลังรวมสูงสุด 335 แรงม้า และแรงบิด 750 นิวตันเมตร
เรื่อง: พูนทวี สุวัตถิกุล
ขอบคุณข้อมูล: เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th