GMC HUMMER EV SUV สายพันธ์ off-road

HUMMER สร้างชื่อในฐานะผู้ผลิตยานขาลุยสายพันธ์แท้ โดยมีจุดเริ่มต้นมาจาก HUMVEE พาหนะที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับภารกิจในกองทัพ รวมทั้งหน่วยงานต่างๆ ที่ต้องเดินทางได้แบบไร้ข้อจำกัด ไปในทุกภูมิภาคทั่วโลก ทั้ง on-road และ off-road เมื่ออุตสาหกรรมยานยนต์ปรับตัวเข้าสู่ยุค EVs จึงไม่แปลกที่ค่ายนี้จึงรักษาจุดแข็งของแบรนด์เอาไว้อย่างเหนียวแน่น การหวนคืนวงการรอบนี้มาภายใต้สังกัด GMC ในชื่อรุ่น HUMMER EV SUV ที่แบ่งรุ่นย่อยมาให้ลูกค้าสายลุย ได้เลือกชอปสเปกรถได้ตรงความต้องการของตัวเองมากที่สุด

HUMVEE นับเป็นตำนานของรถ off-road และกลายเป็นต้นแบบของการสร้างรถเพื่อรองรับการใช้งานในพื้นที่ทางทุรกันดารโดยเฉพาะ เราจึงเห็นรถ HUMVEE กระจายอยู่ในกองทัพของหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งหน่วยงานต่างๆ ของ UN นับตั้งแต่ปี 1992 ที่รถเริ่มเปิดตัว โดยบริษัทผู้ผลิตและเจ้าของในยุคนั้น คือ บริษัท AM General ถัดมาช่วงปี 1998 บริษัท General Motors หนึ่งใน Big Three ของอุตสาหกรรมยานยนต์ในสหรัฐอเมริกา ได้ซื้อกิจการของ AM General และสร้างแบรนด์ HUMMER ต่อมา

HUMMER EV SUV คือผู้สืบสานตำนานยานลุยสายพันธ์แท้มาจาก HUMVEE (M998)

เมื่อ HUMVEE กลายเป็นพาหนะหลักของกองทัพในหลายประเทศ มันจึงมีโอกาสแสดงแสนยานุภาพในทุกภูมิภาค ทั้งทะเลทราย ป่าเขา โคลนเลน ลุยน้ำลึก ตะกายข้ามภูเขาหิมะ ไม่เกี่ยงในเรื่องอุณหภูมิ ลุยได้ทั้งในที่ร้อนจัด และเย็นจัด จึงไม่แปลกที่ HUMVEE จะเป็นที่ต้องการของพลเรือนสายฮาร์ดคอร์ นั่นเป็นที่มาของ HUMMER H1 ซึ่งใช้หน้าตาเหมือน HUMVEE (M998) ทุกประการ เพียงแต่ลดสเปก ตัดบางคุณสมบัติที่ไม่จำเป็นสำหรับชาวบ้านออกไป อาทิ การกันกระสุน จากนั้นแทนที่ด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบาย เพื่อรองรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน ได้แก่ ระบบปรับอากาศ, เครื่องเสียง เบาะนั่งที่นั่งสบายยิ่งขึ้น ฯลฯ และลูกค้า H1 คนสำคัญ คือ ลุงอาร์โนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์ ‘ฅนเหล็ก’ จากภาพยนตร์ Terminator นั่นเอง

จอ 3 นิ้ว หลังพวงมาลัย แสดงข้อมูลในส่วนของผู้ขับ

จาก HUMMER H1 มาสู่ H2 และมาหยุดอยู่ที่รุ่น H3 ตัวถังรถเล็กลงตามลำดับ ดีไซน์ของรถโดยรวมเป็นมิตรกับผู้พบเห็นมากยิ่งขึ้น นั่งสบายขึ้น และขับง่ายขึ้น ทว่า คุณสมบัติหลักในเรื่อง off-road ที่ถูกส่งต่อกันมายังคงไม่เปลี่ยนแปลง ในปี 2009 เมื่ออุตสาหกรรมยานยนต์โลกประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ General Motors โดนไปด้วยแบบเต็มๆ จึงตัดสินใจยุบรถหลายแบรนด์ในเครือทิ้ง ได้แก่ SATURN, PONTIAC, SAAB และ HUMMER

ในปี 2020 HUMMER หวนคืนวงการรถลุย ทว่า การมารอบนี้ General Motors ไม่ลังเลในการเลือกพัฒนารถโมเดลใหม่ของพวกเขา (ระหว่าง ICE กับ EVs) แพลตฟอร์มเจเนอเรชันใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นใช้ชื่อ ‘Ultium Platform’ เป็นชุดพื้นฐานโครงสร้างที่ถูกออกแบบสำหรับรถบรรทุกไฟฟ้าจากค่าย GMC โดยตรง (GMC’s Electric supertruck lineup) รองรับการปรับแต่งอุปกรณ์พื้นฐานของระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าได้อย่างหลากหลาย ทั้งจำนวนมอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้ขับเคลื่อน ขนาดแบตเตอรี่เพื่อรองรับการเดินทางที่ไกลยิ่งขึ้น ล้อแต่ละขนาดตามวัตถุประสงค์ในการใช้งาน ไล่เรียงไปจนถึงระบบกันสะเทือน และรถ HUMMER รุ่นแรกจากแพลตฟอร์มนี้ คือ GMC HUMMER EV SUV

HUMMER EV PICKUP

HUMMER EV SUV

HUMMER EV SUV ถูกแบ่งออกไปอีก 5 รุ่นย่อย ได้แก่ EV² SUV, EV^2X SUV, EV^3X SUV, EV SUV Edition 1 และ EV SUV Edition 1 with Extreme off-road Package

EV² SUV และ EV^2X SUV ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว แบ่งกันขับเคลื่อนล้อหน้าและล้อหลังอย่างอิสระ แรงม้ารวม 625 PS แรงบิดสูงสุดมหาศาลถึง 10,033 Nm (7,400 lb-ft) โดย ‘รุ่นยกกำลัง 2’ ใช้แบตเตอรี่ 16 โมดูล มีพิสัยในการเดินทางประมาณ 400 กิโลเมตร/ชาร์จ ขณะที่ ‘รุ่นยกกำลัง 2X’ ขยับไปเล่นกับแบตเตอรี่ 20 โมดูล มีพิสัยในการเดินทางราว 480 กิโลเมตร/ชาร์จ

สำหรับ ‘รุ่นยกกำลัง 3X’ เพิ่มมอเตอร์ขับเคลื่อนอีก 1 ตัว ติดตั้งที่ล้อหลัง เฉพาะล้อหลังจึงใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนรวม 2 ตัว แยกกันขับเคลื่อนล้อซ้ายและล้อขวา กำลังรวมขยับขึ้นมาที่ 830 PS แรงบิดสูงสุดทะยานแตะ 15,591 Nm (11,500 lb-ft) ขณะที่รุ่น ‘Edition 1’ จะเพิ่มเติมด้วยล้อขนาด 22 นิ้ว และค่าตัวสูงสุดในสายการผลิต จะเป็น ‘Edition 1 with Extreme off-road Package’ ล้อลดขนาดเหลือ 18 นิ้ว จับคู่กับยาง Mud Terrain (GOODYEAR Wrangler Territory MT), ใต้ท้องรถเสริมการ์ดกันกระแทก พร้อม rock sliders รองรับการปีนข้ามก้อนหินขนาดใหญ่, eLocker ล็อกเพลาขับของล้อขณะขับเคลื่อน แต่ละล้อของแต่ละเพลา จะแบ่งแรงขับเคลื่อนกันไปแบบ 50:50 ใช้ตะกายผ่านร่องโคลนลึกๆ และระบบ UltraVision ติดตั้งกล้องรวม 17 ตัว รอบตัวถัง ใต้ท้องรถ พร้อมระบบฉีดน้ำทำความสะอาด

แบตเตอรี่เลือกได้ ระหว่าง ‘16 โมดูล’ (400 กิโลเมตร/ชาร์จ) กับ ‘20 โมดูล’ (480 กิโลเมตร/ชาร์จ)

Ultium Platform เป็นชุดพื้นฐานโครงสร้างที่ถูกออกแบบสำหรับรถบรรทุกไฟฟ้าจากค่าย GMC โดยเฉพาะ

Ultium Platform ถูกออกแบบมาพร้อมกับ Adaptive Air Suspension with Extract Mode เป็นช่วงล่างแบบถุงลม นอกจากเรื่อง ‘ปรับการตอบสนอง’ ได้ตามความเร็วรถแล้ว ยังสามารถ ‘ปรับระดับความสูงของตัวถัง’ ได้ด้วย ขับลุยน้ำได้ลึกกว่า 60 เซนติเมตร และระยะการทำงานของช่วงล่างมีให้มากถึง 13 นิ้ว แพลตฟอร์มใหม่ (Ultium Platform) ใช้ระบบบังคับเลี้ยว 4 Wheel Steer with CrabWalk โดยที่ล้อทั้งสี่จะมีฟังก์ชันในการหักเลี้ยวที่หลากหลาย เพื่อให้ควบคุมรถ SUV คันใหญ่ได้ง่ายขึ้น ปิดท้ายด้วยระบบขับเคลื่อน e4WD with torque vectoring ใช้มอเตอร์แยกกันขับเคลื่อนล้อหน้าและล้อหลัง จากนั้นระบบยังช่วยคอนโทรลระดับในการกระจายแรงขับเคลื่อน ขณะรถอยู่ในโค้ง

จอ 13.4 นิ้ว กลางคอนโซล รองรับระบบ Infotainment

คอนโซลเกียร์กว้างกว่ารถทั่วไป แต่ยังห่างไกลกับ HUMMER H1

สำหรับระบบ 4 Wheel Steer with CrabWalk ทาง GMC ลงทุนทำคลิปอธิบายรูปแบบการเลี้ยวที่เรียกว่า CrabWalk ความหมายตามชื่อก็คือ ‘การเดินของปู’ โดยล้อทั้งสี่จะหักเลี้ยวไปในทิศทางเดียวกัน และองศาการหักเลี้ยวของล้อหลังจะทำได้มากกว่าระบบเลี้ยว 4 ล้อ ในรถยุคปัจจุบัน (ทำองศาได้เกือบเท่าล้อหน้า) ช่วยให้ขับ HUMMER EV SUV ผ่านในทางแคบๆ ได้ง่ายขึ้น รวมทั้งขับเข้าช่องจอดแบบขนาน ที่มีรถดักอยู่ทั้งด้านหน้าและด้านหลังได้ง่ายขึ้นด้วย โดยระบบนี้จะมีกล้อง UltraVision รวมทั้งเซ็นเซอร์รอบคัน มาเป็นตัวช่วยในการกะระยะ

ห้องเก็บสัมภาระใต้ฝากระโปรงหน้า

กล้องจากดุมล้อ เพิ่มมุมมองสำหรับการใช้งานในรูปแบบ off-road เป็นส่วนหนึ่งของระบบ UltraVision (ใช้กล้องรวม 17 ตัว)

อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. GMC เคลมว่าเร็วกว่า 3.5 วินาที ระบบชาร์จเร็วเริ่มต้นที่ 400-volt DC (เฉพาะ EV² SUV) และไปสุดที่ 800-Volt DC, 300 kW (ทุกรุ่นที่เหลือ) การขับขี่มาพร้อมฟังก์ชัน One-Pedal Driving and Terrain Mode สามารถคอนโทรลรถทั้งการเร่ง การหน่วง การหยุดรถ ผ่านแป้นคันเร่งเพียงอย่างเดียว และจากการใช้ระบบเลี้ยว 4 ล้อ ส่งผลให้ HUMMER EV SUV ที่มีความยาวตัวถังร่วม 5 เมตร ใช้วงเลี้ยวเพียง 10.8 เมตร ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับรถ off-road ในคลาสเดียวกัน