GWM รถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี 2022
Best Hybrid SUV Under 1,600 c.c.
Haval H6 Hybrid Ultra
Great Wall Motor หรือ GWM คือแบรนด์ดังจากแดนมังกร ที่มาพร้อมวิสัยทัศน์สุดล้ำ และการทำตลาด อันรวดเร็ว ดุดัน เป็นกระแสโด่งดังในชั่วข้ามคืน จนในที่สุดปัจจุบันก็ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในตัวเลือกแถวหน้าของผู้บริโภคชาวไทย โดยเคล็ดลับสำคัญของแบรนด์ GWM ก็คือ การนำเสนอผลงานอันยอดเยี่ยม ผ่านยนตรกรรมที่ผสมผสานทั้ง “สมรรถนะ, ความรักษ์โลก และสามารถตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างครอบคลุม”
นำร่องด้วยโมเดลแรก รถอเนกประสงค์แบบ Full Size ในชื่อ Haval H6 Hybrid รุ่นย่อยสูงสุด Ultra ที่ใช้ประเทศไทยเป็นเวทีเปิดตัวระดับ World Premiere ครั้งแรกของโลก ชูไฮไลต์ความเป็นรถ SUV พลังงานไฟฟ้าแบบ Plug-in ที่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัย
ไล่เรียงมาตั้งแต่แพลตฟอร์ม GWM Lemon ตามมาด้วยขุมพลังที่ผสมผสานระหว่างเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร เสริมเทอร์โบแปรผัน (VGT) สร้างกำลังสูงสุด 243 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 530 นิวตันเมตร และการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังมอเตอร์ไฟฟ้าสูงสุด 177 แรงม้า พร้อมแรงบิดระดับ 530 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์ไฮบริดรุ่นแรก DHT (Dedicated Hybrid Transmission) ที่มี 2 เกียร์ ทั้งในส่วนของเครื่องยนต์ และมอเตอร์ขับเคลื่อน เพื่อรองรับการใช้งานที่หลากหลาย จากโหมดการขับขี่ 4 รูปแบบ ซึ่งประกอบด้วย โหมดมาตรฐาน, โหมดสปอร์ต, โหมดประหยัด และโหมดสภาพถนนลื่น แถมด้วยตัวเลขความประหยัดในระดับ 19.2 กิโลเมตร/ลิตร เลยทีเดียว มากไปกว่านั้น คือออปชันที่คำนวณแล้ว “คุ้มค่า” แบบล้นเหลือ
โดยมีไฮไลต์ภายนอกเป็น ชุดไฟหน้าแบบ Intelligent LED, ไฟท้ายแบบ LED aillight Strip พร้อมด้วยล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตขนาดใหญ่ถึง 19 นิ้ว ส่วนภายในก็มากับหน้าจอที่เชื่อมต่อกันได้ถึง 3 หน้าจอ ซึ่งประกอบด้วยหน้าจออัจฉริยะแบบ Touch screen ขนาด 12 นิ้ว, หน้าจอ Multi Information Display ขนาด 10 นิ้ว พร้อมหน้าจอ Head up Display ขนาด 9 นิ้ว บนกระจกบังลมหน้า ตลอดจนแท่นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย ไปจนถึงระบบปรับอากาศที่สามารถกรอง CN95 พร้อม Ionizer ซึ่งสามารถลดปริมาณฝุ่น PM 2.5 ให้ลดลงเหลือประมาณ 27 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ทั้งยังลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ให้ห้องโดยสาร เพื่อสร้างความสดชื่นตลอดเวลาได้อีกด้วย
ล้ำไปกว่านั้นก็คือ เทคโนโลยีอัจฉริยะที่ติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เช่น การอัปเกรด Firmware ได้เองผ่านระบบออนไลน์ FOTA โดยไม่ต้องนำรถไปเข้า
ศูนย์บริการ, การโต้ตอบหรือสั่งงานด้วยเสียงอัจฉริยะผ่านระบบ AI หรือแม้กระทั่งการควบคุมและสั่งการผ่าน GWM Application ที่เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน สำหรับสั่งการทำงานต่างๆ ของรถจากระยะไกล
ไปจนถึงระบบช่วยเหลือการขับขี่ และระบบความปลอดภัยอัจฉริยะที่บอกได้เลยว่า “มากมาย” ตั้งแต่การสร้างมาตรฐานใหม่ด้วย 9 ระบบช่วยเหลือการขับขี่ที่มีมาให้เป็นครั้งแรก เช่น ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน หรือ Adaptive Cruise Control ที่สามารถหยุด และออกตัว (Stop and Go) ได้ มาพร้อมระบบการเข้าโค้งอัจฉริยะ Cornering Brake Control, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติที่ความเร็วต่ำ, ระบบช่วยจอดรถอัตโนมัติ 3 รูปแบบ ทั้งการจอดเทียบข้าง, เข้าซอง และแนวเฉียงต่อเนื่องมาจนถึงระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติบนทางตรง และทางแยก, ระบบจะช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติที่ความเร็วต่ำ, ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง, ระบบช่วยเลี่ยงการเข้าใกล้รถใหญ่จากด้านข้าง ตลอดจนระบบช่วยชะลอความรุนแรงของการชนครั้งที่ 2 ซึ่งตัวรถจะพยายามรักษาเสถียรภาพไว้เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อน
แถมยังรวมไปถังระบบความปลอดภัยสุดล้ำสมัยอื่นๆ อีกเพียบ นอกเหนือจากอุปกรณ์มาตรฐานที่คุ้นเคย ไม่ว่าจะเป็น ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน, ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน, ระบบช่วยรักษาระยะให้อยู่กลางเลน, ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนขณะเกิดภาวะฉุกเฉิน, ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา, ระบบเตือนการชนด้านหน้าและด้านหลัง ตลอดจนกล้องแสดงภาพรอบทิศทาง 360 องศา ความละเอียดสูง
เรียกได้ว่าไฮไลต์ของ “ออปชัน” ที่แน่นขนาดนี้ ประกอบกับขีดความสามารถในเรื่องของ “สมรรถนะ” ที่ตอบสนองความต้องการได้ทั้งความ “เร้าใจ” และความ “ประหยัด” คือ สิ่งที่ทำให้คณะกรรมการต่างก็ยอมรับให้ Haval H6 Hybrid Ultra สร้างความประทับใจ จนขึ้นแท่นตัวเลือกอันดับต้นๆ ในลิสต์ ก่อนจะปิดท้ายด้วยการนำราคามาคำนวณ และพบว่าตัวเลขราว 1.25 ล้านบาท กับสารพัดสิ่งที่มากับ Haval H6 Hybrid รุ่น Ultra คือ ที่สุดแห่งความคุ้มค่า และเหมาะสมแล้ว กับรางวัล Best Hybrid SUV Under 1,600 c.c. จากงาน Thailand Car of The Year 2022
Best 5 Door EV Sport Hatchback
ORA Good Cat 500 Ultra
หลังจาก GWM นำร่องด้วย HAVAL H6 Hybrid การเดินเกมต่อเนื่องที่ทำ “เซอรไพรส์” ให้แก่ผู้บริโภคชาวไทยก็คือ การมาของยนตรกรรมพลังไฟฟ้าล้วนๆ อย่าง ORA Good Cat ซึ่งมีจุดเด่นคือการนำเสนอนวัตกรรมเทคโนโลยีอันชาญฉลาดและล้ำสมัย เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่ปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลง “โลก” ไปสู่ความอัจฉริยะ และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นอย่างชัดเจน จนทำให้ ORA Good Cat 500 Ultra เหมาะสมที่จะเก็บรางวัล The Best 5 Door EV Sport Hatchback กลับไปครอบครอง
โดยจุดเด่นของ ORA Good Cat คือ การมาพร้อมกับตัวตนอันชัดเจนในความล้ำสมัย ตั้งแต่ชื่อแบรนด์ (โอร่า) ที่มาจากการออกเสียงคล้ายเสียง Euler ซึ่งเป็นนามสกุลของ Leonhard Euler นักคณิตศาสตร์และนักฟิสิกส์ชื่อดังของโลก ที่เปี่ยมไปด้วยความอัจฉริยะ และมีผลงานที่ช่วยต่อยอดสู่นวัตกรรมต่างๆ มากที่สุดคนหนึ่ง เพื่อสะท้อนถึงความโดดเด่นด้วยฐานะของ “รถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ (Battery Electric Vehicle: BEV)
ภายใต้งานดีไซน์รูปลักษณ์ล้ำสมัย ผสมผสานไปด้วยความคลาสสิกจากแนวคิด Retro Futuristic เพื่อสร้างไลฟ์สไตล์ที่เข้าถึงได้ง่าย ตามด้วยภายในห้องโดยสาร ซึ่งเปี่ยมด้วยความประณีต พิถีพิถัน โดยคอนเซปต์ Intelligent Cockpit with Exquisite Craftsmanship
และที่สำคัญ ORA Good Cat ยังมากับฟังก์ชันอัจฉริยะ (Intelligent Functions) สำหรับช่วยเหลือการขับขี่อีกมากมาย ทั้งการอัปเกรดเฟิร์มแวร์ผ่านระบบออนไลน์ อัจฉริยะ (FOTA), Voice command ไปจนถึงการสั่งการและควบคุมรถจากระยะไกล (Advanced Telematics System) ซึ่งจะช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเข้าถึงข้อมูลแบตเตอรี่รถ
โดยนำเสนอผ่านสิ่งอำนวยความสะดวกระดับไฮไลต์ เช่น หน้าจอ Interactive Double Screen ความละเอียดสูงขนาด 17.25 นิ้ว วางแนวยาวบนคอนโซลหน้า
โดยแบ่งเป็นหน้าจอแสดงผลการขับขี่แบบดิจิทัล (Full TFT) ขนาด 7 นิ้ว และหน้าจอระบบมัลติมิเดีย ระบบสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว
แต่สิ่งที่ทำให้ ORA Good Cat เหนือชั้น จนสามารถคว้ารางวัลไปได้อย่างสวยงามก็คือสมรรถนะ ที่ประกอบด้วย GWM Lemon E Platform ที่มีน้ำหนักเบาแต่แข็งแกร่ง สำหรับติดตั้งขุมพลังขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor ที่มีกำลังสูงสุด 143 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 210 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนด้วยเกียร์อัตโนมัติ และมากับโหมดการขับขี่ให้เลือกถึง 5 รูปแบบ คือ Standard, Sport, ECO, ECO+ และ Auto โดยสามารถทำอัตราเร่งจาก 0-50 กม./ชม. ได้ภายใน 3.8 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดที่ทำได้ คือ 152 กม./ชม.
นอกจากนี้ แบตเตอรี่ของ ORA Good Cat รุ่น 500 Ultra นั้น สามารถทำระยะทางวิ่งได้สูงสุดถึง 500 กม. (NEDC Standard) โดยรองรับการชาร์จแบบเร็วด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC (0%-80%) ในเวลาเพียง 60 นาที และ 40 นาที สำหรับการชาร์จแบบเร็วด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC (30%-80%) ส่วนการชาร์จด้วยไฟบ้านแบบ AC จะมีระยะเวลาอยู่ที่ 10 ชม.
มากไปกว่านั้นก็คือ แบตเตอรี่ของ ORA Good Cat ได้รับการพัฒนาให้มีความปลอดภัยทางไฟฟ้าในระดับสูง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการใช้งาน เช่นเดียวกับการ
ติดตั้งระบบการช่วยเหลือผู้ขับขี่และระบบความปลอดภัย (Driver Assistance and Safety Systems) ที่นอกเหนือไปจากอุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน
อันประกอบไปด้วย พร้อมการช่วยเข้าโค้ง อัจฉริยะ (ACC + Intelligent Turning) มาพร้อมกล้องติดรถยนต์ ADAS ผสานการทำงานกับระบบควบคุมการขับเคลื่อนอัตโนมัติ EYEQ4, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติที่ความเร็วต่ำ (TJA), ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติบนทางตรง และทางแยก (AEBI) ที่ถือเป็นหนึ่งในระบบที่ดีที่สุดในระดับ L2+, การเบรกฉุกเฉินความเร็วต่ำ, ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน (LKA), ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน (LDW), ระบบช่วยรักษาระยะให้อยู่กลางเลน (LCK), ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนในภาวะฉุกเฉิน (ELK), ระบบช่วยเลี่ยงการเข้าใกล้รถใหญ่จากด้านข้าง (WDS)
ต่อเนื่องไปจนถึง ระบบช่วยออกตัวบนทางชัน (HSA), ระบบตรวจความดันลมยาง (TPMS), กล้องแสดงภาพรอบทิศทาง 360 องศา, ระบบช่วยจอดรถอัตโนมัติ 3 รูปแบบ (IIP), ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTA)
เรียกได้ว่าความ “ล้ำ” สุดๆ ทั้ง “เทคโนโลยี” และ “สมรรถนะ” ของ ORA Good Cat 500 Ultra ในระดับนี้ จะทำให้คณะกรรมการในงาน Thailand Car of The Year 2022 ครั้งนี้ให้ความสนใจอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับระดับ “ราคา” จนทำให้ท้ายที่สุดได้ลง ”มติ” เป็นเอกฉันท์ ให้ชนะเลิศไปแบบไร้ข้อกังขาใดๆ
The Best Hi-Tech Hybrid SUV
Haval Jolion Ultra
อีกหนึ่งรุ่นจาก GWM ที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ ด้วยกระแสที่ร้อนแรงในเรื่องของความ “คุ้มค่า” ชนิดที่ไม่อาจปฏิเสธได้ถึงความยอดเยี่ยม และเหมาะสมกับรางวัล The Best Hi-Tech Hybrid SUV ของ Haval Jolion Ultra อย่างแน่นอน
โดย Haval Jolion ถือเป็นน้องชายของ Haval H6 ที่พกพาความเพียบพร้อมของคุณสมบัติในการตอบโจทย์ความต้องการอย่างครบเครื่อง ตั้งแต่ภายนอกที่มากับรูปลักษณ์สะดุดตา ด้วยการผสมผสานความหรูหราและความโฉบเฉี่ยวเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว เช่น จุดเด่นอย่างกระจังหน้า Star Matrix เพื่อสื่อสารถึงความล้ำสมัย ตลอดจนการเลือกใช้ระบบส่องสว่างไฟ LED รอบคัน พร้อม Daytime Running Light ดีไซน์เฉี่ยว และระบบไฟ Welcome Light เมื่อปลดล็อก ไปจนถึงระบบไฟส่องสว่างหลังดับเครื่องยนต์ Follow Me Home
ขณะที่ภายในห้องโดยสารมากับความโดดเด่น ด้วยการออกแบบภายใต้แนวคิด “Future Intelligent Cockpit” กว้างขวาง สะดวกสบาย ตกแต่งแบบ Two Tone ตัดด้วยลายเส้นสี Rose Gold, Silver, Piano Black และ Chrome เสริมด้วยออปชันชุดใหญ่ อาทิ หน้าจอกลางอัจฉริยะแบบ Touch Screen Audio Display ความละเอียดสูง ขนาด 12.3 นิ้วรองรับ Apple CarPlay, MP3, Joox และ Navigator ตลอดจนการบอกตำแหน่ง Point of Interest เสริมด้วยหน้าจอ Multi Information Display ความละเอียดสูง ขนาด 7 นิ้ว และหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่บนกระจกบังลมหน้า Head-up Display สำหรับผู้ขับขี่ ไปจนถึงระบบปรับอากาศอัตโนมัติแยกอิสระซ้าย-ขวา พร้อมระบบกรองอากาศ PM 2.5
แต่นั่นยังไม่ใช่สาระสำคัญที่ทำให้ Haval Jolion Ultra เหมาะสมกับรางวัล The Best Hi-Tech Hybrid SUV มากเท่ากับ “สมรรถนะ” ที่น่าประทับใจ อันเกิดจากโครงสร้าง GWM Lemon Platform แบบเดียวกับรุ่นพี่อย่าง Haval H6 ซึ่งรวมไปถึงเครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 1.5 ลิตร แต่ไร้ระบบอัดอากาศ และยังคงทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า โดยเรี่ยวแรงสูงสุดที่ทำได้คือ 190 แรงม้า มาพร้อมแรงบิดรวมสูงสุด 375 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์แบบ DHT ที่สร้างขึ้นเพื่อรองรับระบบการขับเคลื่อนที่หลากหลาย ซึ่งมีโหมดการขับขี่มาให้เลือก 4 รูปแบบ คือ โหมดมาตรฐาน, โหมดสปอร์ต, โหมดประหยัด และโหมดสภาพถนนลื่น
ทั้งยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีคันเร่งอัจฉริยะ (Intelligent Single Pedal) ที่สามารถเร่ง หรือชะลอความเร็วได้เพียงคันเร่งเดียว จนทำให้ทั้งพละกำลัง และการประหยัดเชื้อเพลิง สามารถถูกควบคุมได้อย่างเหมาะสม โดยมีตัวเลขค่าเฉลี่ยอัตราการประหยัดเชื้อเพลิงที่ดีงามในระดับ 23.8 กิโลเมตรต่อลิตร “ทดสอบตามมาตรฐาน UN R101 ในห้องปฏิบัติการ (อัตราการประหยัดน้ำมันขึ้นอยู่กับสภาพถนนและพฤติกรรมการขับขี่ของแต่ละบุคคล)”
ตลอดจนมากับฟังก์ชันอัจฉริยะ (Intelligent Functions) ในฐานะอุปกรณ์มาตรฐาน ที่ทำให้ Haval Jolion Ultra ล้ำสมัยมากกว่าคู่แข่งในกลุ่ม เช่น การ
อัปเกรดเฟิร์มแวร์ผ่านระบบออนไลน์อัจฉริยะ (FOTA), การสั่งงานด้วยเสียงอัจฉริยะ (Voice Command), การสั่งการ และควบคุมรถผ่าน GWM Application รวมไปถึงเทคโนโลยีอื่นๆ เพื่อเสริมความปลอดภัยอีกมากมายในระดับเดียวกับรุ่นพี่อย่าง Haval H6 ตั้งแต่ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (ACC) ทำงานร่วมกับกล้องติดรถยนต์ ADAS และชิปควบคุมการขับเคลื่อนอัตโนมัติ EYEQ4, ระบบการเข้าโค้งอัจฉริยะ, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติที่ความเร็วต่ำ (TJA), ระบบช่วยจอดรถอัจฉริยะ 3 รูปแบบ (IIP), กล้องแสดงภาพรอบทิศทาง 360 องศา ความคมชัดระดับ 4 Megapixel, ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติบนทางตรงและทางแยก (AEBI), ระบบช่วยเตือนและเบรกเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTB), ระบบช่วยเลี่ยงการเข้าใกล้รถใหญ่จากด้านข้าง (WDS), ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง, ระบบช่วยลงทางลาดชัน (HDC) และระบบช่วยออกตัวบนทางชัน (HSA), ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน (LKA), ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน (LDW), ระบบช่วยรักษาระยะให้อยู่กลางเลน (LCK), ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนในภาวะฉุกเฉิน (ELK) ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา (BSD), ระบบช่วยเตือนการเปิดประตู (DOW), ระบบตรวจความดันลมยาง (TPMS) ไปจนถึงระบบช่วยเตือนความเมื่อยล้าขณะขับขี่ (DFM)
ซึ่งด้วยขีดความสามารถและออปชันมาตรฐานระดับนี้ จะเรียกว่า Haval Jolion คือร่างจำแลงของรุ่นพี่อย่าง Haval H6 ก็ว่าได้ เนื่องจากมีความต่างเพียงเล็กน้อย เช่น งานดีไซน์ และขนาดของมิติตัวถัง ที่ลงตัวกับขุมพลังแบบไร้ระบบอัดอากาศ จนได้มาซึ่งศักยภาพสูงสุด สำหรับสร้างความประทับใจให้ใครก็ตามที่ได้ลองขับ รวมไปถึงคณะกรรมการจากงาน Thailand Car of The Year 2022 ด้วยเช่นกัน และก็ไม่พลาดที่จะคว้ารางวัลมาครองอย่างสวยงาม