GWM TANK 300 2.0 HEV ขับลุยทางออฟโรดได้จริงไหม
GWM TANK 300 2.0 HEV ได้เวลาลองขับทดสอบจริงบนทางออฟโรด มาดูกันว่า เอสยูวีสุดหรู สายโหดคันนี้จะรอดหรือจะร่วง กับการใช้งานจริงเพื่อพิชิดเส้นทางออฟโรด “เขายายเท่ียง”
กระแสเอสยูวีน้องใหม่อย่าง Tank 300 ที่มีดีทั้งหน้าตา และสมรรถนะ ด้วยดีไซน์ที่มีความคล้ายกับออฟโรดสายลุยฝั่งอเมริกาซึ่งถือว่ามีความคลาสสิคมีกลิ่นไอในแบบฉบับที่มันซึมลึกในความทรงจำ ไม่ว่าจากประวิติศาสตร์หรือหนังสงคราม หนังผจญภัย เราได้เห็นรถทรงนี้โลดแล่นติดตา เพียงปรับให้มันทันยุคทันสมัย พร้อมสีฉูดฉาดเพิ่มความโดดเด่นบนท้องถนน ในราคาแบบจีนขายถูกกว่าพวกแบรนด์ฝรั่ง แถมยังใส่เครื่องไฮบริดเข้าไป กับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบรถหรู เท่านี้คือส่วนผสมที่ลงตัว ไม่เชื่อไปดูที่จีนว่าฮิตกันขนาดไหน ยอดขายวิ่งฉิวติดลม ไม่เพียงแต่ผู้ชายแมนๆ ที่ซื้อมาขับ ผู้หญิงชาวเอเชียก็ชอบเพราะมันสะท้อนความเป็นแฟชั่นคาร์ที่บ่งบอกบุคลิกของเจ้าของได้อย่างดี “ในงบที่เอื้อมถึงง่าย” เสียดายไม่มีสีชมพู ขียว เหลือง ให้เลือก
เกรท วอลล์ มอเตอร์ ประกาศราคา 2 สายลุยตระกูล TANK
แบรนด์ Tank เองระยะหลังฝากผลงานไว้เพียบมีแฟนๆ ติดกันเกรียวชื่อชั้นมันคือสุดยอดออฟโรดฝั่งเอเชีย ที่ทุ่มวิจัยและพัฒนาผลิตภัฑณ์ให้มีขีดความสามารถเชิงออฟโรดแบบเต็มพิกัด ภายใต้บ้านใหญ่อย่าง GWM
นึกตามทันนะถ้ารถไฟฟ้านึกถึง ORA ถ้ารถเอสยูวีธรรมดาไป HAVAL แบบนั้น พร้อมเปิดตัวในไทยอย่างเป็นทางการกับรถสองรุ่นในปีนี้ทั้ง Tank 500 และ Tank 300 ใช่ครั้งสองรุ่นนี้คนละเรื่อง วันนี้เราจะมาพูดถึงน้องเล็ก Tank 300 HEV
ก่อนเปิดตัว GWM วางแผนโชว์ตัวดูท่าทีตลาดไทย ฟังเสียงคนไทยดูแล้วแหมือนจะขายดี ก็แน่อยู่คนแอเซียด้วยกันทำรถมาน่าจะเข้าใจความต้องการได้ดีกว่าฝรั่ง เรียกจุดเด่นเอสยูวีแบรนด์ยอดนิยมมีอะไรคันนี้มีให้หมด บางอย่างก็ใส่มาเยอะเกินตัว ขอให้มีใช้ไม่ใช้ไม่ต้องคิดแทนคนซื้อ…อันนี้ยอมรับกันนะบางคนซื้อรถขับเคลื่อนสี่ล้อมาทุกวันนี้ก็ยังไม่เคยเข้าเกียร์ 4L เลยก็มี ฉันอยากมีแต่ไม่ได้อยากใช้!
เหลือแต่วันเปิดตัวอย่างเป็นทางการกับราคาขายไทยเท่านั้น แต่เชื่อหรือไม่ ว่าผู้บริโภคที่เห็นรถคันจริงวันนั้น และเฝ้ารอมีการหาข้อมูลอยู่ตลอดจน ตั้งความหวังไว้สูงว่างานนี้เราจะได้มีเอสยูวีสายลุยในราคาย่อมเยาว์เปิดตัวให้เลือกอีกหนึ่งรุ่นเหมือนกับในตลาดจีน แต่ทว่าราคาที่เปิดออกมานั้นไม่ถูกใจ หลายคนออกมาตีโพยตีพายกันยกใหญ่ “ทำไมไทยขายแพง” ซึ่งทาง GWM ก็มีคำอธิบายเรื่องนี้ ซึ่งก็จริง ไม่ว่าจะเป็นการตั้งฐานการผลิตในไทยซึ่งยังไม่มีผู้ผลิตชิ้นส่วนรองรับ ชิ้นส่วนตอนนี้หลายอย่างต้องนำเข้า และบ้านเราก็ไม่ได้สิทธิทางภาษี เหมือนกับตลาดออสเตรเลียที่นำรถเข้าจากจีน ทำให้ราคาถูกกว่า และที่จีนรถรุ่นนี้มียอดสั่งซื้อจำนวนมาก ทำให้ยิ่งผลิตเยอะราคายิ่งถูกกว่าไทยที่มีจำนวนการผลิตนิดเดียว แถมรถรุ่นนี้ใช้แต่วัสดุที่มีราคา ประเด็นสุดท้ายคือไทยค่าแรงแพง สรุปให้ฟังได้ว่าทำราคานั้นไม่ได้เลย…
ส่วนคนที่เห็นราคาแล้ว ขายไทยด้วยกัน 2 รุ่น เริ่มต้นที่รุ่น Pro ราคา 1,649,000 บาท และรุ่น ULTRA ราคา 1,799,000 บาท คุณอาจจะเอาไปเปรียบเทียบว่าเงินเท่านี้ฉันซื้ออะไรได้บ้าง คิดแบบนั้นก็ไม่ผิด บางที่ได้รถยนต์ไฟฟ้าแรงๆ เลย ตามสมควรเจอมาเยอะ รถพีพีวีทรงนิยมไม่จุกจิกก็เล่นได้ หรือรถซีดานฝั่งญี่ปุ่นแบบหรูๆ เลย เคยเรียนหลักสูตรญี่ปุ่นมาเหมือนกันนะว่าจะซื้อรถต้องดูการใช้งาน ดูสมาชิกครอบครัว และดูความเหมาะสมต่างๆ นาๆ หรือดูรถเซ็กเม้นไหนก็แค่รถสไตล์กลุ่มนั้น แต่คนไทยระยะหลังดูแค่งบเท่าฉันได้อะไรบ้าง…แบบนั้นมันจะเลือกยากมากไม่เน้นการใช้งานที่คุ้มค่า แต่จะเน้นภาพลักษณ์มากกว่า
ส่วนคนที่ชอบรถทรง Tank 300 คุณจะไม่คิดเยอะหรอกเชื่อว่าคนที่รับรถล๊อตแรกไปเป็นแบบนี้ อย่างแรกคือรสนิยมเห็นปุ๊บหลงรักปั๊บ อย่างที่สองรู้ดีว่าอยากได้รถแบบนี้เงิน 3 ล้านยังหาซื้อไม่ได้เลย มันเป็นได้ทั้งรถใช้งานในเมือง แต่อยากลุยหนักในวันหยุดก็ทำได้ แต่ที่ชอบที่สุดคือจอดตรงไหนก็ถ่ายรูปสวย เอาแบบนี้ดีกว่า ออปชั่นแบบรถ 4-5 ล้าน ฉันก็มีให้ใช้
ส่วนใครถามว่าสองรุ่นนี้ต่างกันอยู่แสนกว่า เลือกยังไง เลือกตัวท๊อปแหละเพราะจัดผ่อนไฟแนนซ์มันไม่ต่างกันมากหรอกต่อเตือน เมื่อเทียบสเป็คดูจะเห็นได้ว่าของสำคัญๆ หายไปเพียบ แม้จะเป็นแบรนด์ใหม่ในในไทยแต่ก็ใช้โชว์รูมเดียวกันกับ GWM เพื่อใครยังไม่รู้ มีให้เห็นทุกถนนหนทางแล้ววันนี้ในเมืองใหญ่
เอาละมาทำความรู้จักรถทรงกล่อง สายลุยกันนี้กันดีกว่า
การทดสอบครั้งนี้ GWM ตั้งใจให้ทุกคนได้สัมผัสประสบการณ์ขับขี่แบบออฟโรดชนิดที่ว่าไม่หวงรถกันเลย เราจะเดินทางไปลุยเส้นทางธรรมชาติกันที่เขายายเที่ยง เพื่อลองใช้โหมดการขับเคลื่อนสี่ล้อในแบบต่างๆ ก่อนเดินทางจากกรุงเทพฯ มีโอกาสได้สัมผัสการขับขี่บนถนนดำ
สิ่งที่อยากรู้คืออัตราเร่งของ Tank 300 เป็นอย่างไร เพราะตัวรถมีขนาดใหญ่บอดี้มีความต้านลม พิกัด 2 ตัน ขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ AWD เครื่องยนต์เบนซินบวกกับมอเตอร์ไฟฟ้าพาร่างอันใหญ่โตแหวกการจราจรไปได้คล่องตัวเอาเรื่อง มีกำลังให้เรียกใช้ได้หมดห่วง
ซึ่งถ้ามองสเป็คเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบแปรผัน VGT ขนาด 2.0 ลิตร ให้กำลัง 244 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 380 นิวตันเมตร ขนาดอาจดูขนาดน่ารักน่าชัง แต่อย่าลืมเค้ามีกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าอีก 106 แรงม้า และแรงบิดอีก 268 นิวตันเมตร ลองเอาตัวเลขมารวมกันดูมีกำลังรวมถึง 350 แรงม้า! ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบ 9 สปีด ที่คุยว่าสร้างขึ้นเพื่อรองรับการขับขี่ที่หลากหลายของรถยนต์ไฮบริด
มีโหมดการขับขี่มาให้ถึง 7 รูปแบบ อาทิ โหมดปกติ โหมดสปอร์ต โหมดประหยัด โหมดพื้นหิมะ โหมดพื้นโคลน โหมดพื้นทราย และโหมด 4L ซึ่งดูจากนิสัยการกินน้ำมันแล้วต้องบอกว่าเอาเรื่องนะ ลองขับแล้วพบว่ากำลังจากระบบไฮบริดนั้นมาช่วยเสริมแรงม้าและแรงบิดเวลาที่คุณเหยียบคันเร่งเหมือนเป็นตัวเสริมอัตราเร่ง ไม่ใช่ระบบไฮบริดที่มาช่วยในการประหยัดน้ำมัน
พันมาดูหน้าจอแสดงระยะทางวิ่งได้เมื่อน้ำมันเต็มถัง แจ้งว่าวิ่งได้ 840 กม. (ถังน้ำมันใหญ่มาก) ซึ่งเอาเข้าจริงออกจากรังสิตไปเขายายเที่ยงร้อยกว่าโลระยะทางวิ่งได้ลดลงเร็วมาก เรียกว่าเท่าตัวจากระยะจริง ไปคำนวณเอาเองนะ… อัตราเร่งกำลังดีให้ความมั่นใจได้ดี ขับสนุกแต่ไม่ถึงกับหลังติดเบาะ ส่วนที่กังวลมีสองเรื่องคือรถมีน้ำหนักมาก เบรกจะเป็นยังไง ซึ่งต้องบอกว่าทำได้ดีไม่มีอาการเอาไม่อยู่ไหลไปเรื่อย ขับเหมือนรถทั่วไป ทัศนวิสัยมุมมองรอบคันดี ไม่มุมอับให้เห็น โดยเฉพาะเพิ่งขึ้นมานั่งหลังพวงมาลัยขับออกไปได้เลย ขับง่ายมาก แถมช่วงล่างเก็บเสียงดี แม้ด้วยรูปทรงรถคาดการณ์ว่าจะมีเสียงลมปะทะ แต่วิ่งตามกฎหมายกำหนดไม่พบเสียงเล็ดลอด ส่วนเสียงยางเสียงเครื่องก็เก็บได้เงียบสนิทดี ส่วนถามว่าโหมดไหนดีที่สุด เราลองโหมดปกติแล้วในแบบ AWD พบว่ากินน้ำมันเท่าตัวเมี่อเปรียบเทียบกับโหมดขับเคลื่อน 2 ล้อ มันเป็นการขับสี่ล้อแต่ไม่ได้แบ่งเป็น 50:50 รถจะจัดการระบบขับเคลื่อนเฉลี่ยนให้เราตามสภาพถนนเอง
แต่เมื่อหมุนปุ่มไปที่ “ขับประหยัด “ Eco Mode ปรับสู่ขับเคลื่อน 2 ล้อ หน้าจออัตรากินน้ำมันตัวเลขดีขึ้นเยอะ ซึ่งแนะนำเลยถ้าขับในเมืองใช้งานปกติเน้นโหมดนี้เป็นหลัก เผลอไปอันอื่นค่าเดินทางพุ่งแน่ต่อกิโลเมตร ด้านตัวเลขสถิติเอามาฝากกัน อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ทำได้ภายใน 8 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดทำได้ 180 กม./ชม.
- ภายในโทนสีดำตกแต่งด้วยเปียโนแบล๊ก ช่องแอร์ขนาดใหญ่ เย็นฉ่ำดีมาก อย่างที่บอกอะไรที่เป็นปุ่มได้ควรคงไว้ อย่าเอาไปรวมบนหน้าจอจนหมดมันใช้งานยาก ซึ่ง Tank เข้าใจดีเลยจัดวางเลเอ้าปุ่มต่างๆ มาให้ตามสมควร
- ดีไซน์พวงมาลัยเน้นการใช้งาน ช่วงขับออฟจับถนัดดีมากชอบร่องตรงก้านด้านล่างเอานิ้วเข้าไปเกี่ยวช่วยบังคับพวงมาลัยตอนหลบหลุมสลับได้สบายมาก
บรรยายกาศในห้องโดยสารโปร่งโล่งสบาย Tank ตั้งใจอยากทำให้เป็น Premium Off-road ชอบหลังคาซันรูฟแบบเปิด-ปิด ด้วยระบบไฟฟ้าได้ สร้างบรรยากาศพร้อมไฟในห้องโดยสารนอนดูดาวโรแมนติกมาก ส่วนกลางวันเอาไว้ปีนออกไปถ่ายรูปก็มีประโยชน์ดี อุปกรณ์ต่างๆ ติดตั้งมาให้ครบครันใช้งานง่าย อันไหนที่ควรเป็นปุ่มกดก็ยังมีให้ใช้ เดี๋ยวนี้รถรุ่นใหม่มักเอาทุกอย่างไปรวมหน้าจอมันไม่ได้ดูล้ำสมัยหรอกนะกลับเป็นว่าใช้งานยาก แถมต้องละสายตากจากถนนมาคอยปรับหน้าจออีก แต่สำหรับ Tank 300 ปุ่มยังมีอยู่ อาทิ ปุ่มแอร์ ซึ่งดีเลยใช้มือจับๆ แตะๆ เอาก็เจอ เข้าใจง่าย ดีไซน์ปุ่มที่ใช้งานเห็นปุ๊ปรู้เลยว่าไว้ทำอะไร
ส่วนหน้าจอมัลติมีเดียอันใหญ่ขนาด 12.3 นิ้ว มองเห็นชัดเจนทัชสกรีนลื่น แถมหน้าจอในโหมดออฟโรดออกแบบมาได้น่าสนใจด้วย ที่ชอบเล่นน่าจะเป็นระบบเครื่องเสียงเห็นว่าเป็นแบรนด์ดัง Infinity จำนวน 8 ตำแหน่ง และมีซับวูฟเฟอร์ด้านหลังมาให้ด้วยสตรีมผ่านมือถือให้เสียงเร้าใจดี รองรับทั้ง Apple Car Play และ Android Auto
ขณะขับขี่ลองปรับน้ำหนักพวงมาลัย ผ่านหน้าจอกลาง ถามมาหลายคนชอบไม่เหมือนกัน ด้านนี้ชอบแบบเบาะสบายๆ ไม่ต้องออกแรงเยอะ บางคนก็ชอบแบบสปอร์ตตีงมือหน่อยดูดุดัน ซึ่งมี 3 ระดับ ต่างกันแบบชัดเจนดี เป็นพวงมาลัยไฟฟ้ามาพร้อม Paddle Shift มีเวลาลองปรับเบาะไฟฟ้าเล่น มีระบบนวดและดันหลัง มีระบบเป่าเบาะด้วยเย็นถึงใจเหมือนเอาแป้งเย็นมาโรยกางเกงดี ซึ่งตัวเบาะเองก็มีฟังชันเพียบเลยตามสไตล์รถจีนจัดชุดใหญ่มาเลย
ส่วนระบบความปลอดภัย ช่วงหลังที่ทดสอบรถขึ้นมาต้องปิดปุ่มพวกนี้ก่อน แต่เชื่อไหม ใน Tank 300 มันเตือนแบบผู้ดีมากไม่น่ารำคาญ เลยปล่อยให้เค้าทำงานไปเพื่อทดสอบระบบต่างๆ ที่ให้มา ทั้งเตือนให้รถอยู่ในเลน ช่วยหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้รถใหญ่ เตือนจุดอับสายตา เตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนด้านหลัง ฯลฯ อ้อคันนี้มีระบบช่วยจอดอัตโนมัติด้วย 3 รูปแบบ เข้าซอง ขนาน และจอดเฉียง
ย่อหน้านี้ยกให้ “ช่วงล่าง” ตอนเป็นผู้ขับขี่รู้สึกว่าเฟิร์มดี มั่นใจในทุกช่วงความเร็วขับสนุก ตอนเป็นคนนั่งข้าง รู้สึกเหมือนกัน แต่พอเป็นคนนั่งหลัง ทั้งความนุ่มของเบาะ พื้นที่วางแขน ความกว้างของห้องโดยสารประโยชน์ใช้สอยโดยรวมดีมาก แต่ช่วงล่างทำให้เราไม่สบายตัวเท่าไร มันมีความนั่งไกลแล้วไม่ชอบอาการตึงตัง ต่างจากตอนนั่งด้านหน้าสิ้นเชิง เหมือนว่าถ้านุ่มกว่านี้น่าจะนั่งสบายกว่า แต่อย่าเพิ่งตัดใจทุกอย่างล้วนมีที่มา เดี๋ยวมาดูกันตอนขับออฟโรด!
- บรรยากาศ ทางเข้าเส้นทางออฟโรดที่ยังพอถ่ายทำกันได้
ลองขับ GWM TANK 300 2.0 HEV ลุยป่า มีของเล่นอะไรให้ใช้บ้าง
ด้วยภาพลักษณ์ที่มีความโมเดิร์น มีความแมนๆ แบบผู้ชายรูปทรงแบบนี้เกิดมาเพื่อลุย ลองสำรวจรอบคันดูแล้ว ชอบมุมมองด้านหน้า บังโคลนด้านข้างขนาดใหญ่ และด้านหลังที่เป็นประตูบานใหญ่แบบ horizontal ติดยางอะไหล่บนประตูท้ายมาให้พร้อกล้องมองหลังที่ซ่อนอยู่บนฝาครอบยางอะไหล่ดูลงตัวดี ตัวรถมีความสูงจากใต้ท้องรถดีเลย แถมมีมุมไต่ทั้งด้านหน้าด้านหลังที่เรียกกันว่า Angle พร้อมลุยทางชันๆ ออกแบบมาได้ดีเทียบชั้นแลงเลอร์เลยก็ว่าได้ บันไดข้างแข็งแกร่งขึ้นไปยืนหลายคนได้สบาย แร็คหลังคาที่ใช้งานรับน้ำหนักเต้นนอนได้จริง กันชนหลังขนาดใหญ่จะขึ้นไปยืนไปนั่งก็ทำได้ ทั้งหมดนี้ไม่ได้มีไว้ประดับให้โก้หรู แต่เน้นฟังชั่นใช้งานจริง
แถมรถรุ่นนี้เรายังได้ดิสก์เบรก 4 ล้อเลยนะ ด้านระบบกันสะเทือนด้านหน้าเป็นแบบอิสระ ดับเบิล ครอสอาร์ม ด้านหลังเป็นแบบมัลติลิงก์ ซึ่งเมื่อต้องมาเจอทางแบบออฟโรดแบบเปียก ทั้งทางดินหนังหมู ปีนหิน หลุมสลับ กลับให้ความรู้สึกนุ่มนวลฝ่าฟันอุปสรรคไปได้แบบสบายๆ เหมือนเรานั่งอยู่ในรถบนถนนปกติเลยทีเดียว ข้อสำคัญได้ยางแบบ AT มาด้วยในรุ่น Ultra ขนาด 265/65 R17 รัดกับยาง Continental Horse
ส่วนช่วงล่างการให้ตัวแต่ละล้อทำได้ดีมากแถมเบาะนั่งคู่หน้ายังมีปีกไว้โอบรับผู้ขับขี่ไม่ให้กระเด็นกระดอนไปไหน ส่วนผู้โดยสารก็มีที่จับติดตั้งไว้รอบคัน คอนโซลหน้าก็มี เอาไว้ใช้เวลาแบบนี้สนุกดี ไม่ได้เอาไปจับตอบปีนขึ้นรถอย่างเดียว
- ทางแบบนี้สนุกมาก อาการเหมือนรถจะแปลงร่างเป็นปู เอาข้างไป…ปิดระบบช่วยเหลือจะมันโครต น่าจะเสียดายทางโหดๆ มีเพียบแต่ฝนตกการบันทึกภาพไม่อำนวย
- ได้ยาง AT ลุยได้ดีในระดับหนึ่งเลยนะ ไม่อยากคิดว่าเอารุ่นเริ่มต้นยาง HT มาคงเสียวหน้าดู
ลองขับโหมดลุย เดินคันเร่งเข้าป่ารถแทบจะบริการจัดการให้เราเสร็จ เพียงแค่เลือกโหมดขับเคลื่อนที่เหมาะสม ซึ่งถ้าเป็นในรุ่นพี่ Tank 500 จะได้โหมดขับขี่ถึง 11 แบบ เริ่มเข้าเส้นทางลูกรัง ฝนเริ่มต้นทางเปียกๆ เริ่มมีหลุมบ่อ ยังไม่ต้องพึ่งพาอาวุธอะไรที่ให้มา ลองวิ่งตามรอยล้อบ้าง เปิดทางใหม่บ้าง แต่พอเข้าไปลึกสักหน่อยเริ่มต้นปีนป่ายก้อนหิน เข้าเกียร์ว่างปรับสู่โหมด 4L ให้ได้ออกำลัง ช่วงนี้เสียงเครื่องยนต์จะกระหึ่มขึ้นมาเราเพียงควบคุมคันเร่งกับพวงมาลัยที่เหลือรถพาผ่านอุปสรรค์ไปได้หมด
ส่วนโหมดย่อยๆ ที่ให้ส่วนใหญ่จะเซ็ตมาที่เกียร์ต่ำ แต่ต้องการแรงบิดสูงในโหมดขับเคลื่อน 4 ล้อ ถามว่าช่วงลุยแบบนี้ระบบไฮบริดยังทำงานอยู่นะ แต่เป็นการส่งแรงเสริมเครื่องยนต์ในช่วงที่ต้องการกำลัง แถมยังมีเอ็นจิ้นเบรกที่สมูทมากๆ ส่วนเรื่องของการลุยน้ำสามารถลุยได้น้ำสูงไม่เกิน 70 เซนติเมตรกำลังดี
- แป้นกลมๆ ด้านซ้าย โหมด ECO ขับบนถนนปกติเช็คให้ดี “ประหยัดได้ประหยัด” กินน้ำมันน้อยสุด
หันมาดูเทคโนโลยีที่ให้มา ทั้งระบบช่วยลงเนินอัตโนมัติก็มี กล้องมองรอบคัน ช่วยดูมุมอับในแบบออฟโรดอันนี้ดี ที่เรียกว่า Body Transparent แสดงภาพใต้ท้องรถและหน้ารถ ลองดูเป็นภาพเสมือนจริง มันก็ดีนะแต่ถ้าขับไปมองไปมีตกท้องร่องแน่เอาไว้ใช้คนนั่งข้างช่วยดูดีกว่า ส่วนเส้นทางที่สาหัสมากๆ เริ่มใช้ระบบล๊อกเฟืองขับ (ดริฟล๊อก) เน้นใช้ตัวล็อกหลังมากกว่าส่วนดริฟหน้า(ไม่มีทางโหดๆ ให้ลอง) ช่วยดันกันหลุดจากเนินดินชันๆ ได้สบาย แต่ที่อยากแบ่งปันคือโหมดออฟโรดครุยคอนโทรล ระบบจะควบคุมเครื่องยนต์และเบรกให้อัตโนมัติ เมื่อก่อนเคยใช้ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติบนทางปกติ ตอนนี้เข้าป่าก็มีแล้ว แต่อย่าเพลินไปดูวิวข้างทาง จะลงไปนอนร่องเขาได้ ยังไงก็ควรมีสมาธิกับการขับขี่ดูเส้นทางด้วย เหมาะกับการขับตามกันเป็นหมู่คณะเธอไปฉันตาม… เอาเป็นว่ามันลุยได้หมดแถมเปรียบเส้นทางโหดๆ เป็นเรื่องง่ายๆ เลย ส่วนคำถามว่าระบบพวกนี้จะแข็งแกร่งขนาดไหนระยะยาววิศวกรบอก “ฉันใช้เทคโนโลยีระดับโลกไม่แพ้ใครหรอก” ปล.ในส่วนการทดสอบนี้ “น่าจะกินน้ำมันที่สุด”
- จุดทดสอบการเลี้ยวมุมแคบ Tank Turn ตูดปัดดริฟอ้อมต้นไม้
อันนี้คือดี กับระบบช่วยกลับรถในที่แคบ Tank Turn ใช้ได้เฉพาะทางออฟโรด เวลาเจอจุดกลับรถและจอดนิ่งเตรียมพร้อม อยู่ในโหมดขับเคลื่อน 4 ล้อ กดปุ่มฟังชั่นนี้ให้ทำงานจากนั้นหักเลี้ยวให้สุดรอจนเซ็นเซอร์ตรวจจับว่าคุณต้องการเลี้ยวจะมีเสียงดังเตือน พร้อมเดินคันเร่งเล็กน้อย รถจะดริฟไปทางที่คุณสั่งตูดไหลออก ทำให้เลี้ยวได้แคบมาก “โครตสนุกเลย” เสียดายมาเป็นขบวนได้ทำรอบเดียว ซึ่งหลักการทำงานระบบจะส่งแรงเบรกไปที่ล้อหลังด้านในเพื่อลดรัศมีวงเลี้ยว
- ติดอุปกรณ์เสริมเต้นนอนบนหลังคาของแบรนด์ Tank เองด้วยแอบเห็นว่ามีโลโก้ติดอยู่
อย่างที่จั่วหัวไว้ ลองขับ Tank 300 ในทางลุยจริง สรุปว่าเกินคาดลุยได้ง่าย ขับสบาย เพียงต้องรู้ว่าโหมดไหนทำงานยังไง ใช้เมื่อไร และเลือกใช้ยังไง อาทิ ต้องเข้าเกียร์ว่างก่อนปรับไป 4L แต่คาดว่าคนซื้อรถคันนี้ไปน้อยคนนักจะกล้าเอามาลุย ถ้าคุณไม่ใช่คอออฟโรด มีบ้านสวน มีกลุ่มเพื่อนชวนออกทริ๊ป แต่นั่นแหละภาพลักษณ์ของออฟโรดคนเมืองมีรถที่ครบเครื่องใช้งานได้แบบนี้เลย นี่ยังไม่ได้พูดถึงความเอนกประสงค์ของออฟชั่นที่ให้มาเพียบทั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวก และระบบความปลอดภัยที่ไม่กั๊กเลยอะไรที่มีในโลกใน Tank เค้าใส่มาให้เหมือนกันหมด แต่ต้องรุ่น Ultra นะรุ่น Pro เริ่มต้นตัดทิ้งหมด ไม่คุ้มเพิ่มเงินไปเถอะ ขนาดยางยังได้ HT เลยลุยไม่ได้…มีให้เลือก 4 สี ส้ม ดำ เทา และขาว สวยหมดทุกสี แต่วัยรุ่นอย่างเราต้องส้มซ่า เอาไว้มีโอกาสยืมมาลองขับกันอีกรอบจะได้เก็บรายละเอียดให้ครบ เสียดายช่างภาพไม่ได้ถ่ายช่วงปีนหินซึ่งเป็นทางแคบๆ เลาะไหล่เขาอันตรายพอตัว! พอฝากผู้อ่าน
เรื่อง : ณัฐพล จีระมงคลกุล
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th