GWM คว้ารางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี ในงาน Thailand Car of The Year 2025

BEST HYBRID 4X4 OFF ROAD
GWM TANK 300
GWM TANK 300 คือยนตรกรรมที่เริ่มต้นด้วยการเป็นหนึ่งในยนตรกรรมที่โดดเด่นที่สุดของงาน Thailand Car of The Year 2025 ก่อนเผยผลสรุปด้วยการครองรางวัล BEST HYBRID 4×4 OFF ROAD อย่างสมศักดิ์ศรี แบบที่ไม่มีใครปฏิเสธได้
GWM TANK 300 มากับความสะดุดตาของรูปลักษณ์ที่เกิดขึ้นจากแนวคิด “แฟชั่น นำสมัย และแข็งแกร่ง” ภายใต้การผสมผสานสไตล์ Off Road เข้ากับดีไซน์ BOXY นำเสนอความแข็งแกร่งผ่านดีไซน์สไตล์ออฟโรดร่วมสมัย เสริมรายละเอียดความสะดุดตาจาก กระจังหน้าแบบ Rectangle ตัดขอบสีดำเงา, ชุดไฟหน้าทรงกลมแบบ Intelligent LED, ชุดไฟ Daytime Running Light ทรงเหลี่ยม, ไฟตัดหมอก LED, ช่องระบายอากาศสีดำเงา, โลโก้ TANK, บันไดข้าง, ไฟท้ายแบบ Vertical LED, ไฟเบรกดวงที่ 3, ไฟตัดหมอก LED, ประตูท้ายแบบ Horizontal ติดตั้งยางอะไหล่ และกล้องมองหลังที่ซ่อนอยู่บนฝาครอบ, หลังคา Sunroof เปิด-ปิด ด้วยระบบไฟฟ้า และเสาอากาศแบบ Shark Fin ก่อนปิดท้ายด้วยล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว สีดำ พร้อมยาง A/T เพื่อเสริมภาพลักษณ์ความแกร่ง
ภายในยังคงมากับความเป็น Off Road…แต่เป็น Off Road ที่ยกระดับสู่ความพรีเมียม หรูหรา และล้ำสมัย เช่น เบาะหนังหุ้มหนัง Nappa ปรับไฟฟ้าคู่หน้า, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติด้านหน้า แยกอิสระซ้าย-ขวา พร้อมระบบกรองอากาศ PM 2.5 และ Ionizer ตลอดจนลำโพง Infinity 8 ตำแหน่ง พร้อมซับวูฟเฟอร์ สำหรับความบันเทิงจากหน้าจอมัลติมีเดียแบบสัมผัส ขนาด 12.3 นิ้ว รองรับความบันเทิงได้ทั้ง Apple CarPlay, Android Auto, MP5, และ Bluetooth ซึ่งทำงานเชื่อมต่อกับหน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่แบบดิจิทัล ขนาด 12.3 นิ้ว เพื่อการเข้าถึงข้อมูลต่างๆ อย่างปลอดภัย ง่ายดาย เช่นเดียวกับความอเนกประสงค์จากเบาะนั่งแถวที่ 2 ซึ่งสามารถแยกพับได้แบบ 60:40 เพื่อช่วยเพิ่มพื้นที่ใช้สอย
แต่ทั้งหมดที่ว่ามา ยังไม่ใช่ความน่าสนใจแท้จริง เท่ากับ “สมรรถนะ” ของ GWM TANK 300 ที่มากับแพลตฟอร์มอัจฉริยะ TANK สำหรับรองรับการขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร พ่วงเทอร์โบแปรผัน (VGT) มีกำลังสูงสุด 244 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 380 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุด 106 แรงม้า พร้อมแรงบิด 268 นิวตันเมตร
ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด (9HAT) ที่สร้างขึ้นเพื่อรองรับระบบการขับเคลื่อนที่หลากหลายโดยเฉพาะ จากโหมดการขับขี่ที่มีให้เลือกถึง 7 รูปแบบ ประกอบด้วย โหมดปกติ, โหมดสปอร์ต, โหมดประหยัด, โหมดพื้นหิมะ, โหมดพื้นโคลน, โหมดพื้นทราย และโหมด 4L โดยมีระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระ ดับเบิลครอส อาร์ม ผสมผสานกับด้านหลังแบบมัลติลิงก์ เสริมด้วยดิสก์เบรกแบบมีครีบระบายความร้อนทั้ง 4 ล้อ เพื่อยกระดับการขับขี่เปี่ยมด้วยเสถียรภาพ และความมั่นใจ
โดยส่วนสำคัญของความมั่นใจนี้ เกิดขึ้นจากระบบช่วยเหลือการขับขี่ที่ชาญฉลาด และล้ำสมัย อาทิ ระบบล็อกเฟืองขับด้านหน้าและด้านหลัง (Electric Differential Lock for Front and Rear Axles) ช่วยเพิ่มความสามารถในการขับขี่แบบ Off Road, ระบบช่วยกลับรถในพื้นที่แคบ (TANK Turn), ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบออฟโรด (Off-road Cruise Control) และระบบแสดงภาพใต้ท้องรถ (Body Transparent) พร้อมด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย เพื่อให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารเดินทางได้อย่างมั่นใจอีกมากมาย
ร่วมกับตัวช่วยด้านความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน ที่ร่วมกันส่งเสริมให้ GWM TANK 300 เป็นยนตรกรรมที่มากด้วยศักยภาพ และความปลอดภัยอย่างแน่นหนาสมชื่อ TANK ซึ่งมาพร้อม “สมรรถนะ” เหนือความคาดหมาย จนคณะกรรมการมั่นใจว่าไม่มียนตรกรรมใดๆ เหมาะสมกับรางวัล BEST HYBRID 4×4 OFF ROAD เท่ากับ GWM TANK 300 อีกแล้ว
BEST SEDAN EV
ORA 07
หลังจากนำร่องด้วย Good Cat และสร้างกระแสตอบรับแบบเกินคาดหมาย…ก็ถึงเวลาที่ GWM จะเดินหน้าลุยเต็มพิกัด ส่ง ORA 07 รถยนต์ไฟฟ้าภายใต้กลุ่มผลิตภัณฑ์ ORA เข้าสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเมืองไทย นำเสนอความประณีตในการออกแบบทั้งภายนอกและภายใน ซึ่งมีแรงบันดาลใจจากการผสมผสานองค์ประกอบของธรรมชาติ และเส้นโค้งที่ลื่นไหล ภายใต้มาตรฐานการออกแบบทางอากาศพลศาสตร์ จนเกิดเป็นรูปทรง “ซูเปอร์สตรีมไลน์”
มีรายละเอียดที่โดดเด่น เช่น กระจังหน้าที่ถูกออกแบบตามความแวววับบนผิวน้ำ, ฝากระโปรงหน้าทรงหยดน้ำ, ไฟหน้า Intelligent LED ทรงกลมแนวเรโทร พร้อมไฟ Daytime Running Light และไฟตัดหมอกด้านหน้าแบบ LED
สำหรับดีไซน์ด้านข้าง มากับหน้าต่างไร้กรอบแบบกระจก 2 ชั้น ขณะที่ดีไซน์ด้านหลังมากับรูปทรง Slip-Back ที่เพรียวบาง พร้อมสปอยเลอร์ไฟฟ้าสไตล์สปอร์ต พร้อมฟังก์ชันเปิด-ปิด อัตโนมัติ ผสานเข้ากับรูปทรงด้านหลังที่โค้งมน และไฟท้ายรูปทรงวงรีแบบ LED เสริมด้วยหลังคากระจกพาโรนามิกขนาดใหญ่ (Panoramic Glass Roof) ด้านบน ล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว ออกแบบให้มีลักษณะคล้ายอุ้งเท้าแมว
สำหรับห้องโดยสารมากับงานดีไซน์คอนโซลกลางรูปตัว T พร้อมออปชันอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น หน้าจอกลางสั่งงานด้วยระบบสัมผัส ขนาด 12.3 นิ้ว รองรับความบันเทิงได้ทั้ง Apple CarPlay, Android Auto, MP5, Bluetooth, ระบบนำทาง และแสดงข้อมูลการขับขี่ เชื่อมต่อกับหน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่แบบดิจิทัลขนาด 10.25 นิ้ว มาพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่บนกระจกด้านหน้า (Head-up Display) และพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง
เบาะนั่งคู่หน้าปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง ผู้โดยสาร 4 ทิศทาง พร้อมการติดตั้งระบบ Memory Seat, ระบบ Welcome Seat, ระบบนวด, ระบบปรับดันหลังด้วยไฟฟ้า และระบบระบายอากาศ ทั้งยังเสริมความอเนกประสงค์ด้วยเบาะผู้โดยสารด้านหลัง ที่สามารถปรับพับแยกได้แบบ 60:40 อีกด้วย
ไฮไลต์ที่ทำให้ ORA 07 ชนะใจคณะกรรมการ จนสามารถคว้ารางวัล BEST SEDAN EV ไปครองได้สำเร็จ คือ “สมรรถนะ” ที่เลือกได้ถึง 2 รุ่นย่อยหลัก คือ รุ่น Long Range และรุ่น Long Range Ultra ซึ่งขับเคลื่อนล้อหน้าด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 1 ตัว ให้กำลังสูงสุด 204 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 340 นิวตันเมตร จากแบตเตอรี่ Ternary Lithium-ion (NMC) ขนาด 83.5 kWh ซึ่งหากชาร์จเต็มจะวิ่งได้ไกลถึง 640 กิโลเมตร
ขณะที่รุ่นสูงสุด Performance AWD เร้าใจยิ่งกว่าด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD ด้วยกำลังสูงระดับ 408 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 680 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ Ternary Lithium-ion (NMC) ขนาด 83.5 kWh ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ในเวลาเพียง 4.3 วินาที พร้อมความเร็วสูงสุด 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง และระยะทางวิ่งสูงสุดเมื่อชาร์จเต็ม คือ 550 กิโลเมตร
ทั้ง 2 รุ่น มากับการส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ Electronic Shifter พร้อมฟังก์ชันควบคุมการขับขี่ 6 รูปแบบ ได้แก่ โหมดประหยัด, โหมด Well Being, โหมดปกติ, โหมดสปอร์ต, โหมดสปอร์ตพลัส และโหมดส่วนบุคคล พร้อมระบบ Intelligent Quick Start System ที่ช่วยให้ใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย และตอบโจทย์ได้แบบครอบคลุมในทุกการใช้งาน ภายใต้ความมั่นจากระบบความปลอดภัย และเทคโนโลยีอัจฉริยะมากมายที่ติดตั้งมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
BEST HYBRID PICKUP
GWM POER SAHAR HEV
POER SAHAR HEV คือกระบะขุมพลังไฮบริดรุ่นแรกในไทย โดย GWM สร้างเสียงฮือฮาด้วยการเป็นยนตรกรรมที่จะเข้ามาเปลี่ยนนิยามของรถกระบะให้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ตั้งแต่การดีไซน์ที่โดดเด่น ผสมผสานความประณีต หรูหรา เข้ากับการนำเสนอเทคโนโลยีล้ำสมัยอย่างลงตัว ภายใต้แนวคิด “New First-Class Intelligent Pickup” มาพร้อมรายละเอียดสำคัญๆ เช่น ชุดไฟหน้า LED อัจฉริยะหลากหลายรูปแบบ พร้อมระบบเปิด-ปิด, ระบบปรับไฟสูง-ต่ำ อัตโนมัติ และฟังก์ชันหน่วงเวลาไฟส่องทางหลังดับเครื่องยนต์ (Follow Me Home) เสริมด้วยไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ LED (DRL – Daytime Running Light), ระบบไฟตัดหมอกด้านหน้า-หลังแบบ LED (และระบบไฟท้ายแบบ LED
สำหรับด้านหลังถูกออกแบบให้เรียบหรู และโดดเด่น โดยเฉพาะฝาท้ายอัจฉริยะที่สามารถเปิด-ปิด ได้ถึง 2 รูปแบบ ร่วมกับระบบผ่อนแรง เพื่อการควบคุมที่ง่ายดายเพียงปลายนิ้วสัมผัส รองรับการใช้งานได้ทุกรูปแบบ ก่อนปิดท้ายความพรีเมียมด้วยลวดลายของล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว
มิติตัวถังของ POER SAHAR HEV มากับความยาว 5,445 มิลลิเมตร, ความกว้าง 1,991 มิลลิเมตร และความสูง 1,924 มิลลิเมตร วางตัวบนระยะฐานล้อ 3,350 มิลลิเมตร เรียกได้ว่า “ยาวที่สุดในตลาดรถกระบะปัจจุบัน” ซึ่งทำให้ห้องโดยสารมีความกว้างขวางสะดวกสบาย ตลอดจนครบครันด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น หน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่แบบดิจิทัลขนาด 12.3 นิ้ว, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันสำหรับควบคุมเครื่องเสียง และจอแสดงข้อมูลการขับขี่
ตลอดจนระบบความบันเทิงที่ประกอบด้วย หน้าจอมัลติมีเดียแบบสัมผัส ขนาด 12.3 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อได้ทั้ง Apple CarPlay, Android Auto, Bluetooth, MP5, Online Music, Online Radio, ระบบนำทาง จนถึงข้อมูลการขับขี่
มาพร้อมจำนวนลำโพงที่แตกต่างกันใน 2 รุ่นย่อย คือ 6 ตำแหน่ง ในรุ่น 2.0T HEV PRO DOUBLE CAB AUTO และ 10 ตำแหน่งจากแบรนด์ Infinity ในรุ่น 2.0T HEV ULTRA DOUBLE CAB AUTO 4WD เช่นเดียวกับเบาะนั่ง ซึ่งในรุ่น 2.0T HEV PRO DOUBLE CAB AUTO จะมีการหุ้มหนังสังเคราะห์ และระบบปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง ขณะที่รุ่น 2.0T HEV ULTRA DOUBLE CAB AUTO 4WD ยกระดับด้วยเบาะหนังแท้ ปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมดันหลังไฟฟ้า 4 ทิศทาง พร้อม Memory Seat, Welcome Seat, ระบบระบายอากาศ และเบาะนวดไฟฟ้าสำหรับเบาะนั่งคู่หน้า รวมถึงเบาะนั่งแถว 2 ที่ปรับเอนได้ถึง 33 องศา ช่วยสร้างความผ่อนคลายให้กับทุกการเดินทางได้อย่างดี
จุดเด่นสำคัญ คือ สมรรถนะของ GWM POER SAHAR HEV ทั้ง 2 รุ่น มากับเครื่องยนต์เบนซินไฮบริด 2.0 ลิตร พร้อมระบบเทอร์โบแปรผัน ให้กำลังสูงสุด 244 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 380 นิวตันเมตร เสริมแรงด้วยมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 78 กิโลวัตต์ หรือ 106 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 268 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด (9HAT) พร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์ (Paddle Shift)
โดยมีโหมดการขับขี่ให้ลือก 3 รูปแบบ คือ โหมดปกติ, โหมดสปอร์ต และโหมดประหยัด สำหรับ รุ่น 2.0T HEV PRO DOUBLE CAB AUTO ส่วนรุ่น 2.0T HEV ULTRA DOUBLE CAB AUTO 4WD จะมากับ 5 โหมดการขับขี่ ซึ่งประกอบด้วย โหมดปกติ, โหมดสปอร์ต, โหมดประหยัด, โหมด 4L และโหมด 4H ทั้งยังมีระยะความสูงใต้ท้องรถ 224 มิลลิเมตร พร้อมกับความสามารถในการลุยน้ำได้สูงถึง 800 มิลลิเมตร ช่วยเสริมความมั่นใจในการขับขี่ได้ทุกสถานการณ์ และทุกสภาพพื้นผิว
ภายใต้ความมั่นใจจากระบบความปลอดภัย และเทคโนโลยีอัจฉริยะมากถึง 29 รายการ ทั้งยังสามารถเชื่อมต่อ และควบคุมได้จากระยะไกลผ่าน GWM Application เพื่อมอบความสะดวกสบายขั้นสุด จนส่งให้ GWM POER SAHAR HEV ก้าวขึ้นมาเป็น First in Class และ Best in Class…ซึ่งรวมไปถึงการคว้ารางวัล BEST HYBRID PICKUP จากงาน Thailand Car of The Year 2025 ไปครองอีกด้วย