Honda รถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี 2022
Best Hatchback Under 1,000 c.c.
Honda City Hatchback
หากจะบอกว่าแบรนด์ “Honda” เป็น “ลัทธิ” สำหรับสาวกชาวไทยก็ว่าได้ ด้วยเพราะการสร้างกระแสในทุกๆ รุ่นใหม่ โดยเฉพาะหลังจากนำร่องขุมพลังเทอร์โบด้วยโมเดล Civic เป็นที่เรียบร้อย ก็ถึงคราวน้องเล็กอย่าง Honda City ที่มีเครื่องยนต์ที่น่าสนใจเพราะเป็นเครื่องยนต์เทอร์โบที่คอนเซปต์ของตัวเครื่องคือมีขนาดเล็ก น้ำหนักเบาแต่ทรงสมรรถนะและมอบประสิทธิภาพทั้งการขับเคลื่อนที่ตอบสนองรวดเร็วทันใจ และมอบอัตราการประหยัดน้ำมันดีเยี่ยม(เทรนด์ของการพัฒนาเครื่องยนต์ในปัจจุบัน) การเขียนว่าลดพิกัด อาจจะทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อนได้
ส่วน “สมรรถนะ” ที่ว่า ก็มีแหล่งกำเนิดมาจากขุมพลังซึ่งลดพิกัดเครื่องยนต์ลงมาเช่นกัน อยู่ที่ 1,000 ซี.ซี. 3 สูบ 12 วาล์ว เสริมด้วยการติดตั้งระบบอัดอากาศเทอร์โบชาร์จเข้าไป เมื่อรวมกับน้ำหนักตัวถังที่พัฒนาขึ้นใหม่ให้ “เบา” แต่ยังคงมากด้วยความ “แข็งแกร่ง”
ฉะนั้น เรี่ยวแรง 122 แรงม้า พร้อมแรงบิด 173 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ CVT ที่สั่งการความดุเดือดได้ผ่าน Paddle Shift 7 สปีด จึงเป็นบทสรุปสั้นๆ ในเรื่องของการตอบโจทย์ความสปอร์ตอย่าง “สมน้ำสมเนื้อ” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บนตัวถังที่กระชับในสไตล์ Hatchback แถมด้วยอัตราการตอบสนองทั้งระบบพวงมาลัย ไปจนถึงการปรับแต่งระบบช่วงล่าง กระทั่งสร้างเป็นส่วนผสมที่มอบความปราดเปรียวในทุกการขับขี่ การันตีด้วยการ “เคลียร์” ทุกด่านทดสอบในสนาม จนชนะใจคณะกรรมการ
นอกเหนือจาก “สมรรถนะ” แล้วก็คือ อารมณ์ความเร้าใจ ผ่านการสื่อสารทางกายภาพ ด้วยชุดแต่งสไตล์ RS แบบเต็มยศที่ติดตั้งมาให้ เพื่อสร้างความโดดเด่นและแตกต่างจากรุ่นมาตรฐาน ประกอบด้วยกระจังหน้าสไตล์สปอร์ต ในโทนสีดำแบบ Gloss Black พร้อมตราสัญลักษณ์ RS ที่รับกับชุดกันชนหน้า ทั้งยังเสริมด้วยชุดไฟหน้าแบบ LED และไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED ไปจนถึงไฟตัดหมอกแบบ LED
ขณะที่มุมมองด้านข้างดุดันด้วยล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ต ขนาด 16 นิ้ว ที่มากับกระจกมองข้างสีดำแบบสปอร์ต พร้อมระบบปรับและพับไฟฟ้า ฝังไฟเลี้ยวในตัว ก่อนปิดท้ายด้วยชุดสปอยเลอร์หลังตกแต่งสีดำเพิ่มดีกรีความสปอร์ต ตลอดจนการบ่งบอกสายพันธุ์ให้ชัดเจนอีกครั้ง ด้วยสัญลักษณ์ RS
เท่านั้นยังไม่พอ เพราะในส่วนของภายใน ยังยกระดับอารมณ์ด้วยเบาะหนังกลับดีไซน์ใหม่ ที่ตกแต่งด้วยแถบสีแดง ควบคู่กับกับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบาย เช่น หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ พร้อมมาตรวัดเรืองแสงสีแดง พนักเท้าแขนด้านหลัง พร้อมที่วางแก้ว และพลาดไม่ได้เลยกับเทคโนโลยีเชื่อมต่อเพื่อการสื่อสารอย่าง Honda CONNECT เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ขณะที่เทคโนโลยีความปลอดภัยก็ยังคงมากับความล้ำสมัย และไว้วางใจได้ตามมาตรฐานของแบรนด์ Honda…ภายใต้ “ค่าตัว” ที่ต้องบอกเลยว่า “เซอร์ไพรส์” ในความ “คุ้มค่า” มากกว่าที่คิด
Best Sedan Under 1,600 c.c.
Honda Civic RS
ถ้า Honda City Hatchback 1.0 Turbo RS ครองความยอดเยี่ยมในส่วนของ “ขุมพลังเทอร์โบ” ไปเป็นที่เรียบร้อย…ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่โมเดลนำร่องอย่าง Honda Civic Turbo จะยังคงคว้ารางวัล Best Sedan Under 1,600 c.c. ไปอีกครั้งเช่นกัน
โดยมี “สมรรถนะ” ที่ยังคงเป็นเหตุผลสำคัญของการชนะใจกรรมการ ผ่านต้นกำเนิดอย่างเครื่องยนต์เบนซิน พิกัด 1.5 ลิตร เสริมเทคโนโลยีการฉีดจ่ายเชื้อเพลิงแบบ Direct Injection และ Turbo Charger สำหรับสร้างเรี่ยวแรงสูงสุดที่ 178 แรงม้ากับแรงบิดสูงสุด 240 นิวตันเมตร จับคู่กับชุดเกียร์อัตโนมัติ CVT พร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift ส่งกำลังสู่ล้อหน้า ทั้งยังมาพร้อมฟังก์ชัน Drive Mode ให้เลือกได้ 3 รูปแบบการขับขี่ คือ ECON, Normal และ Sport
ผสานด้วยความคล่องตัวสไตล์สปอร์ตจากระบบพวงมาลัยแบบดูอัลพิเนียน พร้อมเพาเวอร์ไฟฟ้า (DP-EPS) และอรรถรสของช่วงล่างที่ตอบโจทย์การขับขี่ได้อย่างครอบคลุม บนพื้นฐานด้านหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง และด้านหลังแบบมัลติลิงก์ พร้อมเหล็กกันโคลง ที่สามารถ “เนรมิต” ได้ทั้งความสบาย และความสปอร์ตอย่างลงตัว จนกล่าวได้ว่า เป็นอีกหนึ่งยนตรกรรมที่ตอบโจทย์อารมณ์การขับขี่ได้ครบทุกความต้องการ
มากกว่านั้น ต้องยกให้กับการสื่อสารความเร้าใจ ที่ทำให้รุ่นย่อย RS มีความ “เหนือ” กว่ารุ่นมาตรฐานแบบชัดเจนก็คือ “รูปลักษณ์” ที่ผ่านการบรรจงสร้างสรรค์ขึ้นมาในระดับ Crafted Design ให้มีความเฉพาะเจาะจง ตั้งแต่ชุดแต่งสไตล์ RS ที่มาพร้อมกับออปชันมาตรฐานสุดล้ำ ที่ประกอบด้วย ชุดไฟหน้า พร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวัน และไฟท้ายแบบ LED ไปจนถึงล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว ในดีไซน์ที่ส่งเสริมอารมณ์ความสปอร์ตได้อย่างชัดเจน ภายใต้ “ระบบความปลอดภัย” ที่ยังเป็นอีกหนึ่งมาตรฐาน ซึ่งสร้างความไว้วางใจให้กับทั้งคณะกรรมการ และผู้บริโภค
ซึ่งด้วยคุณภาพที่ผ่านการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง รวมกับชื่อเสียงอันยาวนานที่สั่งสมมาคงไม่น่าแปลกใจเลย ถ้าหนึ่งในรายชื่อรถที่ควรครอบครองของหลายคนจะมี Honda Civic เป็นหนึ่งในนั้น
Best Hatchback Under 1,600 c.c.
Honda Civic Hatchback
HATCHBACK TURBO RS variant
แน่นอนว่า ถ้าโมเดล Sedan ครองความยอดเยี่ยมเป็นที่เรียบร้อย จึงไม่แปลกที่โมเดล Hatchback จะเก็บรางวัล Best Hatchback Under 1,600 c.c. กลับไปพร้อมกัน โดยเหตุผลที่ชนะใจคณะกรรมการไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะขีดความสามารถของ “สมรรถนะ” เท่านั้น
แต่รวมถึง “สไตล์” ที่เปิดเผยความสปอร์ตออกมาให้สัมผัสมากกว่า ด้วยเรือนร่างของตัวถังสไตล์ Hatchback ที่โฉบเฉี่ยว จากแนวเส้นหลังคาที่วางองศาลาดเอียงสู่ท้ายรถ ช่วยเพิ่มความโดดเด่นให้งานดีไซน์ และจะยิ่งสร้างแรงดึงดูดทางสายตามากขึ้นทันที เมื่อเป็นเวอร์ชันท็อปสุด ที่มากับนามสกุล RS ต่อท้ายชื่อรุ่น
ซึ่งนั่นหมายถึงรูปลักษณ์ Hatchback ที่มีความเร้าใจเป็นทุนเดิม จะถูกเพิ่มเติมลงไปด้วยชุดแต่งสไตล์ RS รอบคัน พร้อมล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เสริมด้วยภายในห้องโดยสารที่มากับชุดมาตรวัด และหน้าจอแสดงข้อมูลสไตล์สปอร์ต แป้นเหยียบแบบสปอร์ต และเบาะนั่งที่มากับการเดินด้ายสีแดง เหนืออื่นใดเลย คือ สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้มากกว่าเวอร์ชัน Sedan จากเบาะนั่งด้านหลังที่ปรับและพับได้แบบ 60:40
สำหรับ “สมรรถนะ” ยังคงเป็นพื้นฐานเดียวกับเวอร์ชัน Sedan ซึ่งนั่นหมายถึงการการันตีคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมของเครื่องยนต์เบนซิน พิกัด 1.5 ลิตร มาพร้อมระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิงแบบ Direct Injection และ Turbo Charger สร้างกำลังสูงสุด 173 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูง 220 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT พร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift เพื่อช่วยยกระดับความเร้าใจ
โดยมีทัพเสริมเป็นระบบพวงมาลัยแบบดูอัลพิเนียน พร้อมเพาเวอร์ไฟฟ้า (DP-EPS) ช่วยสร้างความคล่องตัวในทุกการควบคุมภายใต้การสื่อสารของระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง และด้านหลังแบบมัลติลิงก์ พร้อมเหล็กกันโคลงที่ให้อารมณ์ความสปอร์ตชัดเจนกว่าเวอร์ชัน Sedan เพื่อให้สมฐานะของยนตรกรรม Hatchback ขณะเดียวกัน ก็ยังคงไว้ซึ่ง “ความสบาย” ควบคู่ไปกับ “ความมั่นใจ” จากระบบความปลอดภัยมาตรฐานที่ครบครันเช่นกัน
Best Hybrid Sedan Under 1,500 c.c.
Honda City e:HEV
นอกจากยนตรกรรมสายพันธ์ุสปอร์ต ที่ค่าย Honda ถนัดแล้ว อีกหนึ่งกลุ่มสำคัญที่มีบทบาทในสังคมโลกก็คือ ยนตรกรรมสายพันธ์ุ “รักษ์โลก” ซึ่งแต่ละแบรนด์ต่างก็แข่งขันกันทำผลงานออกมานำเสนอ และประเด็นก็คือ ค่าย Honda สามารถผสมผสาน “ความสปอร์ต” ที่เปรียบได้กับ “พื้นฐาน” อันเชี่ยวชาญ ให้ลงตัวกับ “ความรักษ์โลก” ได้อย่างแนบเนียน ทั้งดีไซน์ สมรรถนะ และความประหยัด…ดังเช่นความสามารถของ Honda City e:HEV เจ้าของรางวัล Best Hybrid Sedan Under 1,500 c.c. ในปีนี้
สำหรับ Honda City e:HEV RS มากับจุดเด่นที่ไล่เรียงมาตั้งแต่ รูปลักษณ์สปอร์ตจากชุดแต่ง RS รอบคัน ประกอบด้วย ชุดกระจังหน้า Gloss Black และสัญลักษณ์ RS ทั้งด้านหน้า และด้านหลัง ที่มากับสปอยเลอร์ท้ายแบบ Gloss Black เสริมด้วยกระจกมองข้างสีดำปรับพับด้วยไฟฟ้า พร้อมไฟเลี้ยว และล้ออัลลอยดีไซน์เร้า ขนาด 16 นิ้ว ขณะเดียวกันก็แสดงตัวตนความรักษ์โลกที่ชัดเจน ผ่านโลโก้ H Mark กรอบสีฟ้า และตราสัญลักษณ์ e:HEV ด้านท้ายรถ ไปจนถึงระบบส่องสว่างที่เลือกใช้แบบ LED ตั้งแต่ ไฟหน้า, ไฟสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวัน,ไฟตัดหมอก และไฟท้าย
ส่วนภายในห้องโดยสารมาในธีมสปอร์ต ด้วยเบาะหนังกลับดีไซน์ใหม่ ตกแต่งแถบสีแดงเป็นไฮไลต์ เช่นเดียวกับอุปกรณ์มาตรฐาน และความอเนกประสงค์ที่ครบเครื่อง สำหรับรองรับทุกการใช้งาน โดยรวมไปถึงจุดเด่นในเรื่องของ “ขุมพลัง” จากระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด e:HEV
โดยขีดความสามารถดังกล่าว เกิดขึ้นจากเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร Atkinson Cycle DOHC i-VTEC แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว ที่มีพละกำลัง 98 แรงม้า และแรงบิด 127 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ซึ่งแบ่งเป็นการสร้างกระแสไฟฟ้า และขับเคลื่อนด้วยกำลังสูงสุด 109 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงถึง 253 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ E-CVT เพื่อมอบทั้งความเร้าใจในการขับขี่ และอัตราสิ้นเปลืองอันน่าทึ่งจากตัวเลขเคลมถึง 27.8 กิโลเมตร/ลิตร ตลอดจนรองรับน้ำมันเชื้อเพลิง E20 ได้อีกด้วย
เพราะฉะนั้น ด้วยคุณสมบัติซึ่งตอบโจทย์ครอบคลุมทุกเรื่องการใช้งานแบบ“เหนือความคาดหมาย” จึงทำให้คะแนนจากคณะกรรมการถูกเทไปให้กับ Honda City e:HEV โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อนำ “ราคา” มาร่วมคำนวณ ซึ่งจะพบว่าท้ายที่สุด “ความคุ้มค่า” คือสิ่งยอดเยี่ยมที่สุดแบบไม่อาจปฏิเสธได้
Best Hybrid Hatchback Under 1,500 c.c.
Honda City Hatchback e:HEV
ถ้า Honda City e:HEV RS ในเวอร์ชัน Sedan ยังไม่ใช่สไตล์ที่ “ตรงใจ”…อีกหนึ่งความน่าสนใจต้องยกให้กับเวอร์ชันตัวถัง Hatchback ที่มากับรูปลักษณ์เร้าใจมากขึ้นอย่าง Honda City Hatchback e:HEV RS ผู้ครองตำแหน่ง Best Hybrid Hatchback Under 1,500 c.c. ในปีนี้
แน่นอน รูปลักษณ์ความสปอร์ตยังคงถูกถ่ายทอดมาจากเวอร์ชัน Sedan ทั้งงานดีไซน์ที่โดดเด่น ด้วยการสร้างความต่าง เพื่อเปิดเผยความสปอร์ตออกมาให้สัมผัสมากขึ้นอย่างชัดเจน ผ่านเรือนร่างที่เร้าใจทั้งจากความสั้นกระชับของมิติตัวถัง และแนวเส้นหลังคาที่ออกแบบให้มีองศาลาดเอียงสู่ด้านหลังในรูปแบบของเวอร์ชัน Hatchback
และในเมื่อมากับฐานะของรุ่นย่อย RS จึงมั่นใจได้ว่าเอกลักษณ์ในการตกแต่งคือสิ่งที่สร้างความสะดุดตาได้ไม่เหมือนใคร ด้วยชุดแต่ง RS รอบคัน พร้อมกับการแสดงความรักษ์โลกผ่านโลโก้ H Mark ที่แต่งกรอบสีฟ้า และตราสัญลักษณ์ e:HEV ด้านท้ายรถ รวมถึงระบบส่องสว่างที่เลือกใช้แบบ LED ทั้งหมด
ขณะที่ภายในห้องโดยสารนำเสนอความสปอร์ต จากเบาะหนังดีไซน์ใหม่ ตกแต่งแถบสีแดง มาพร้อมกับอุปกรณ์มาตรฐาน และความอเนกประสงค์ที่ครบเครื่อง โดยจุดที่เหนือกว่าเวอร์ชัน Sedan ก็คือ ความอเนกประสงค์ในส่วนของเบาะนั่งด้านหลัง และห้องเก็บสัมภาระที่สามารถปรับเปลี่ยนได้หลากหลายถึง 4 รูปแบบ ซึ่งประกอบด้วย Utility Mode, Long Mode, Tall Mode และ Refresh Mode
ซึ่งหากรวมอรรถประโยชน์การใช้งาน เข้ากับสมรรถนะในการขับขี่…เชื่อว่าทั้งผู้บริโภคทั่วไป และคณะกรรมการคงไม่อาจปฏิเสธได้ถึงความเหมาะสมกับรางวัล ด้วยเพราะพื้นฐานการขับเคลื่อนยังคงตั้งอยู่บนพื้นฐานเดียวกับเวอร์ชัน Sedan กับเทคโนโลยี Full Hybrid และระบบขับเคลื่อน Sport Hybrid i-MMD (Multi-Mode Drive)
ประกอบด้วยเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร Atkinson Cycle DOHC i-VTEC แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ที่แบ่งเป็น 98 แรงม้า พร้อมแรงบิด 127 นิวตันเมตร จากเครื่องยนต์เบนซิน และอีก 109 แรงม้า กับแรงบิดสูงสุด 253 นิวตันเมตร จากมอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนที่มี 2 ตัว คือ ขับเคลื่อน และสร้างกระแสไฟฟ้า โดยมีระบบส่งกำลังที่ยังคงเป็นเกียร์อัตโนมัติ E-CVT ซึ่งการันตีความมันส์ในการขับขี่ ควบคู่ไปกับอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเปลืองระดับ 27 กิโลเมตร/ลิตร พร้อมกับการรองรับน้ำมันเชื้อเพลิง E20 ได้ด้วยเช่นกัน
แล้วถ้าทั้งหมดยังไม่มากพอจะดึงดูดความสนใจ ลองดูในเรื่องของความมั่นใจจากเทคโนโลยีความปลอดภัย Honda SENSING กับความอัจฉริยะมากมายที่จัดให้ แถมมาด้วยเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกสบายที่เพียบพร้อม โดยระบบ Honda CONNECT ที่เชื่อมต่อระหว่างเจ้าของและรถไว้ด้วยกัน ผ่านการทำงานของแอปพลิเคชัน เพื่อสร้างการสื่อสารง่ายๆ เพียงปลายนิ้วสัมผัส
Best Hybrid SUV Under 1,500 c.c.
Honda HR-V
e:HEV RS
สำนึกในความรักษ์โลกของแบรนด์ Honda ที่เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่รถพิกัดเล็ก ยังคงไม่หยุดหย่อนในการพัฒนา จนกระทั่งส่งต่อมาถึงรถอเนกประสงค์ SUV ยอดนิยม พิกัด Compact อย่าง Honda HR-V ซึ่งหลังจากที่เคยนำร่องสู่ตลาดประเทศไทยด้วยเครื่องยนต์เบนซิน ก็ถึงเวลายุคเทคโนโลยี Hybrid เพื่อนำเสนอความโดดเด่นในการขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง Full Hybrid
แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น ความน่าสนใจของ Honda HR-V e:HEV ต้องนับจากรสสัมผัสที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่รูปลักษณ์ สลัดภาพจำที่คุ้นตา ด้วยการนำความหรูหรามาเป็นส่วนผสมหลัก เพื่อยกระดับสู่ยนตรกรรมสปอร์ตพรีเมียม โดยเฉพาะรุ่นท็อปสุดอย่าง RS ที่มากับดีไซน์พิเศษรอบคัน
เริ่มจากความสะดุดตาของชุดกระจังหน้าสปอร์ตโครเมียม ประทับสัญลักษณ์ RS และเส้นสายที่เรียกว่า AMP UP ประกบด้วยชุดไฟหน้าดีไซน์ฉี่ยวแบบ LED พร้อมไฟส่องสว่างสำหรับขับขี่เวลากลางวันแบบ LED ไปจนถึงไฟเลี้ยวที่เป็น LED Sequential และไฟท้ายแบบ LED Light Strip สี Smoke ลงตัวกับล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ต ขนาด 18 นิ้ว
อีกทั้งยังมีการเก็บรายละเอียดความสปอร์ตด้วย ชายกันกระแทกสีดำแบบสปอร์ต ตกแต่งด้วยโครเมียมรอบคัน, หลังคากระจกแบบพาโนรามา (Panoramic Glass Roof) ตลอดจนการปลุกเร้าอารมณ์ด้วยสไตล์ทูโทน ระหว่างตัวรถสีแดง Ignite Red Metallic ตัดกับหลังคาสีดำ Black Roof
ส่วนภายในห้องโดยสารที่กว้างขวาง พร้อมมอบความสะดวกสบายในการใช้งานด้วยฟังก์ชันมาตรฐานครบครัน เพิ่มเติมความเร้าใจด้วยเบาะหนังสีดำ ด้ายสีแดง เช่นเดียวกับพวงมาลัยสีดำ ด้ายสีแดง เสริมด้วยแป้นเบรก และแป้นคันเร่งสไตล์สปอร์ต ต่อเนื่องด้วยการตอบโจทย์เอกลักษณ์ความอเนกประสงค์ของ Honda จากเบาะนั่งด้านหลังที่แยกพับแบบ 60:40 และปรับเปลี่ยนได้ 3 รูปแบบ คือ Utility Mode, Long Mode และ Tall Mode เสริมด้วยความล้ำสมัยกับฝากระโปรงท้ายไฟฟ้าแบบแฮนด์ฟรี พร้อมระบบปิดอัตโนมัติ เมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Hands-free Power Tailgate with Walk Away Close)
จุดเด่นที่สุด คือ ระบบขับเคลื่อนที่แสดงจุดยืนความ “รักษ์โลก” อย่างชัดเจน เพราะไม่มีเครื่องยนต์เบนซินอันคุ้นเคยอีกต่อไป แต่กลายเป็น Full Hybrid e:HEV ทุกรุ่นย่อย ยกระดับความเร้าใจในการขับขี่ โดยมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว เพื่อสร้างกระแสไฟฟ้า (Motor Generator) และทำหน้าที่ขับเคลื่อนล้อ
(Motor Drive) ร่วมกับเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร Atkinson-Cycle แบบ 4 สูบ DOHC i-VTEC
ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ E-CVT พร้อมหน่วยควบคุมอัจฉริยะ (Intelligent Power Unit – IPU)โดยกำลังสูงสุดที่มีให้ คือ 131 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 253 นิวตันเมตร ทั้งยังสามารถปรับเปลี่ยนโหมดการขับเคลื่อนได้อย่างชาญฉลาดตามสถานการณ์ จาก 3 โหมดพื้นฐาน คือ
EV, Hybrid และ Engine Drive นอกจากนี้ยังมาพร้อมฟังก์ชัน Drive Mode สำหรับปรับเปลี่ยนการขับขี่ได้ 3 รูปแบบ คือ ECON Mode, Normal Mode และ Sport Mode
โดยผลลัพธ์ก็คือ “สมรรถนะ” ที่ยอดเยี่ยมแบบสัมผัสได้ ทั้งในเรื่องการสนองตอบต่อการขับขี่ และการประหยัดเชื้อเพลิงที่ดีเยี่ยมถึง 25.6 กิโลเมตร/ลิตร พร้อมอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทีต่ำเพียง 94 กรัม/กิโลเมตร ซึ่งบอกได้เลยว่า ตอกย้ำความเป็นมิตรทั้งสิ่งแวดล้อม และค่าใช้จ่ายอย่างแท้จริง จนสามารถคว้ารางวัล Best Hybrid SUV Under 1,500 c.c. ไปครองได้อย่างสมศักดิ์ศรีเลยทีเดียว
Best Mid-Size Sedan Under 1,800 c.c.
Honda Accord
1.5 Turbo EL
ท้ายสุดกับรางวัล Best Mid-Size Sedan Under 1,800 c.c. ซึ่งปีนี้หนึ่งเดียวในรุ่นอย่าง Honda Accord 1.5 Turbo EL ยังคงครองความยอดเยี่ยมไว้ได้อีกครั้ง จากขีดความสามารถอันเหลือล้นของเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร Di VTEC Turbo แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว ที่มีเรี่ยวแรงระดับ 190 แรงม้า พร้อมแรงบิด 243 นิวตันเมตร
ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ CVT ซึ่งสามารถยกระดับความเร้าใจในการขับขี่ได้จากแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift และโหมดการขับขี่ที่เลือกได้ทั้ง Sport Mode เพื่อตอบโจทย์ความมันส์ และ ECON Mode เพื่อควบคุมความประหยัด โดยมีตัวเลขอัตราการประหยัดที่ทำได้ถึง 16.4 กิโลเมตร/ลิตร ทั้งยังรองรับน้ำมันเชื้อเพลิงได้ถึงระดับ E85
ความเร้าใจนอกเหนือจากศักยภาพของขุมพลัง VTEC Turbo ก็คือ ความสมดุลจากระบบพวงมาลัย ดูอัลพิเนียน พร้อมเพาเวอร์ไฟฟ้า (DP-EPS) และระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง และด้านหลังแบบมัลติลิงก์ พร้อมเหล็กกันโคลง จับคู่กับ
ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว
และเพื่อให้สมกับฐานะความเร้าใจจากเครื่องยนต์ VTEC Turbo ฉะนั้น การเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์เพื่อนำเสนอความสปอร์ต จึงเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญ ซึ่ง Honda Accord 1.5 Turbo EL ก็ได้ผ่านการปรับแต่งรายละเอียดภายนอกเล็กๆ น้อยๆ เช่น ในส่วนของงานดีไซน์ชุดไฟตัดหมอกหน้าใหม่แบบ LED เพื่อยกระดับความสะดุดตา ตามด้วยด้านหลังที่ผสมผสานความสปอร์ต เข้ากับความหรูหราจากปลายท่อไอเสียคู่ ทำจากวัสดุสเตนเลส
โดยทั้งหมด ล้วนเป็นสิ่งที่สร้างส่วนผสมอันลงตัว ในการสร้างความเฉพาะตัว ตั้งแต่การสื่อสารความสปอร์ตผ่านรูปลักษณ์ ตลอดจนบุคลิกของการขับขี่ที่เฉียบคม ฉับไว พร้อมความหนักแน่น มั่นใจ ในทุกจังหวะการเคลื่อนตัว…มากกว่านั้นก็คือ อรรถรสจากขุมพลังที่สามารถรีดเค้นผ่านรอบเครื่องยนต์ ออกมาเติมเต็มอารมณ์ความสปอร์ตได้แบบครบถ้วน ซึ่งคงไม่ผิดถ้าจะเปรียบ Honda Accord ยนตรกรรมหรูระดับเรือธง ที่โดดเด่นด้วยความสามารถของ Civic Turbo ก็ว่าได้