Honda City และ HR-V e:HEV น้ำมัน1ถัง ไปไกลทะลุ 800 กม. จริงหรือไม่
Honda City และ HR-V e:HEV น้ำมัน1ถัง ไปไกลทะลุ 800 กม. จริงหรือ เชื่อว่าเพื่อนๆหลายท่านคงอยากรู้ว่า HONDA CITY e:HEV และ HR-V e:HEV มันสามารถวิ่งไกลได้แค่ไหนกับน้ำมัน 1 ถัง วันนี้ Bumper 2 Bumper จัดให้ครับตามคำเรียกร้อง แต่ก็อื่นเราต้องบอกเพื่อนๆก่อนเลยนะครับว่า เราไม่แนะนำให้ทำตามครับ เราทำให้เพื่อนๆดูเพื่อเป็ยข้อมูลว่า รถ 2 คันนี้มันสามารถวิ่งได้กี่กิโลเมตรกับการเติมน้ำมัน 1 ถัง และจากสัญญาณไฟเตือนขึ้นมันยังไปได้อีกกี่กิโลเมตร เราทดลองให้เพื่อเป็นข้อมูลว่ารถของท่านสามารถวิ่งได้แค่ไหน เผื่อในกรณีเหตุจำเป็น เช่น สัญญาณไฟเติมน้ำมันโชว์ในที่เปลี่ยว ไม่มีปั๊มน้ำมันใกล้ เพื่อนได้ไม่ต้องกังวล และขับไปหาปั๊มที่ใกล้ที่สุดได้อย่างสบายใจ
Honda City และ HR-V e:HEV น้ำมัน1ถัง
ก่อนอื่นต้องบอกว่าเราวิ่งแบบใช้งานจริง ความเร็วเฉลี่ยประมาณ 100 – 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เส้นทาง กรุงเทพ –เชียงใหม่ ซึ่งในเส้นทางมีสภาพถนน และการจราจรที่หลากหลาย ทั้งทางตรงยาว ทางขึ้น-ลงเขา มีเร่งแซง ทางตรงยาว และรถติด ครบเลย แถมนั่ง 3 คน พร้อมสัมภาระเต็มคัน น้ำหนักพอๆกัน อ่อเราเติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 นะครับ เมื่อพร้อมแล้วไปลุยกัน
รถทั้ง 2 คันเริ่มออกจากกรุงเทพ ในช่วงเวลาเช้าตรู ทั้ง CITY และ HR-V เป็นเครื่องยนต์เดียวกันคือ เครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร Atkinson Cycle DOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว แต่มีการปรับจูนที่ต่างกัน อัตราทดที่ต่างกัน เพราะเรื่องของน้ำหนักและขนาดของตัวรถ โดย
Honda City eHEV เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.5 ลิตร กำลังสูงสุด 98 แรงม้า ที่ 5,600 – 6,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด127 นิวตันเมตร ที่ 4,500 – 5,000รอบ/นาที รองรับน้ำมันเชื้อเพลิงสูงสุด Gasohol E20 ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 109 แรงม้า (PS) ที่ 3,500 – 8,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 253 นิวตันเมตร ที่ 0 – 3,000 รอบ/นาที พ่วงด้วยแบตเตอรี่ Lithium-ion ความจุ 1.0 kWh แบบ 4 โมดูล 48 เซลล์ ขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยระบบส่งกำลังแบบ E-CVT
Honda HR-V eHEV เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร กำลังสูงสุด 105 แรงม้า ที่ 6,000 – 6,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 127 นิวตันเมตร ที่ 4,500 – 5,000 รอบ/นาที รองรับน้ำมันสูงสุด E20 ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว พละกำลังสูงสุด 131 แรงม้า ที่ 4,000 – 8,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 253 นิวตันเมตร ที่ 0-3,500 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ E-CVT ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 109 แรงม้า (PS) ที่ 3,500 – 8,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 253 นิวตันเมตร ที่ 0 – 3,000 รอบ/นาที พ่วงด้วยแบตเตอรี่ Lithium-ion ความจุ 1.0 kWh แบบ 4 โมดูล 48 เซลล์ ขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยระบบส่งกำลังแบบ E-CVT
เทียบข้อมูลตัวรถ
No. | รายละเอียด | HR-V | CITY |
1 | น้ำหนัก | 1,470 กิโลกรัม | 1,232 กิโลกรัม |
2 | ขนาดถังน้ำมัน | 40 | 40 |
3 | เครื่องยนต์ | ระบบ e:HEV เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว i-VTEC | ระบบ e:HEV เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว i-VTEC |
4 | แรงม้า |
เครื่องยนต์ :78 (106)/6,000-6,400 มอเตอร์ไฟฟ้า :96 (131)/4,000-8,000 |
เครื่องยนต์ :72 (98)/5,600-6,400 มอเตอร์ไฟฟ้า :80 (109)/3,500-8,000 |
5 | แรงบิด |
เครื่องยนต์ : 127(13)/4,500-5,000 มอเตอร์ไฟฟ้า : 253(25.8)/0-3,000 |
เครื่องยนต์ : 127(13)/4,500-5,000
มอเตอร์ไฟฟ้า : 253(25.8)/0-3,500 |
6 | ล้อ/ยาง | 225/50 R18 | 185/60 R16 |
7 | ราคา | 1,179,000 | 839,000 |
8 | อัตราสิ้นเปลือง (เคลม) | 25.6 | 27.8 |
อย่างที่บอกเราใช้ความเร็วเท่าๆกัน ขับตามกันไปเรื่อยๆ โดยมีจุดหมายปลายทางที่จังหวัดเชียงใหม่ (ผมรับหน้าที่ขับเจ้า Honda city eHEV เป็นหลักนะครับ) เราโชคดีที่ออกกันแต่เช้าตรู่เลยไม่ค่อยเจอกับการจราจรที่หนาแน่นเท่าไหร่นัก ความคล่องตัวของแน่นอนทั้งสองคันมีความคล่องตัวที่อยู่ในระดับที่ดีมาก ขับง่ายขับสบาย ลัดเลาะไปตามช่องว่างไปอย่างง่ายดาย อัตราเร่งช่วงออกตัวก็ทำได้ดีรวดเร็วทันใจ เพราะทั้งสองคันมีมอเตอร์ไฟฟ้าช่วยในการออกตัว
หลุดออกมานอกเมืองเราขยับความเร็วขึ้นเล็กน้อย ผมบอกเลยว่าเจ้า Honda City eHEV มีอัตราเร่งที่รื่นไหล และสมูท กว่าคู่แข่งจากค่ายโตโยต้าเยอะเลยครับ ขับสบายมากจริงๆอัตราเร่งจากกลางไปปลายก็ทำได้ทันใจ อาจจะไม่ได้จื๊ดจ๊าดอะไร แต่มันก็นักสนุกพอตัว เพียงพอต่อการใช้งาน เร่งแซงไม่มีปัญหา ระบบความปลอดภัยและระบบช่วยเหลือการขับขี่ต่างๆที่ทางฮอนด้าใส่เข้ามาใน City คันนี้มันใช้งานได้จริง ช่วยให้การขับขี่ระยะทางไกลๆแบบนี้สบาย และปลอดภัยขึ้นเยอะครับ อีกอย่างที่เป็นจุดเด่นของเจ้า ฮอนด้า ซีตี้ ไฮบริด คันนี้ก็คือภายในเพราะมันกว้างกว่าคู่แข่ง แถมนอกจากเบาะคู่หน้าที่นั่งสบายกระชับตัวแล้ว เบาะหลังนั่งสบายกว่าอีกครับเดินทางไกลแบบนี้บอกเลยนั่งหลังนอนยาวๆได้เลยครับ
มาถึงเส้นทางที่เป็นภูเขาเครื่องยนต์ 1.5 ผสานมอเตอร์ไฟฟ้าลูกนี้ก็ยังคงทำหน้าที่ได้ดี สามารถผ่านไปได้แบบไม่เหนื่อยมากนัก บางจังหวะทางชันมากๆอาจจะต้องเร่งส่งซะหน่อยก็เท่านั้น การเร่งแซงก็สบายไม่ต้องลุ้นอะไรมาก
ระบบช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบ อิสระ MacPherson Strut ด้านหลังเป็นแบบคานบิดกึ่งอิสระ Torsion Beam ซึ่งปรับเซ็ทมาได้อย่างลงตัวไม่นิ่ม และไม่แข็งกระด้างเกินไปนัก การดูดซับแรงสั่นสะเทือนจากพื้นผิวของถนนได้ดี วิ่งทางตรงด้วยความเร็วสูงตัวรถยังคงนิ่ง การเข้าโค้งทำได้ดีไม่ค่อยมีอาการโคลงของตัวรถให้ได้สัมผัส พวงมาลัยน้ำหนักดีควบคุมง่าย แม่นยำ ระบบเบรกไว้ใจได้สบายหายห่วงครับ
ตัดกลับมาที่ Honda HR-V eHEV ออกตัวได้ดีมากกระฉับกระเฉงดีครับ ทั้งที่อยู่ในโหมด Econ แถมยังมีความคล่องตัวสูงเมื่อวิ่งในตัวเมือง ขับง่ายทัศนวิสัยดี พวงมาลัยของรุ่น RS เป็นพวงมาลัยไฟฟ้าพร้อมอัตราทดแบบแปรผัน (VGR) ซึ่งมันทำให้เราขับขี่ในตัวเมืองที่มีการจราจรหนาแน่นได้อย่างสบาย หลุดออกมานอกเมืองลองอัตราเร่งกันอีกครั้งในโหมด Sport กดคันเร่งลงไปเครื่องยนต์ทำงานกระฉับกระเฉงขึ้นอย่างสัมผัสได้ ออกตัวดีช่วงไหลจากกลางไปปลายดูจะหนืดๆลงไป แต่ก็ไม่ได้อืดจนน่าเกลียดถือว่าเป็นรถที่ขับสนุกเลยทีเดียว การเร่งแซงทำได้ดีไม่มีลุ้น กดคันเร่งหนักขึ้นเสียงเครื่องดังเข้ามาในห้องโดยสารอย่างชัดเจน แต่ต้องบอกว่าเบาะด้านหลังของเจ้า HR-V เนี่ยมันนั่งสบายไม่เท่า City นะครับ
ระบบช่วงล่างด้านแม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังเป็นทอร์ชั่นบีมแบบ H-shape แถมยังมีการปรับเซ็ทใหม่เพื่อรุ่นท็อปสุดอย่าง RS เท่านั้น ต้องบอกเลยว่าปรับเซ็ทออกมาได้ยอดเยี่ยมมากดีกว่ารุ่นก่อนหน้า และดีกว่าคู่แข่ง ออกแนวนุ่ม หนึบ คือ ไม่ได้กระด้างเหมือน Haval Jolion และ ก็ไม่นิ่มเหมือน Toyota Cross ผมว่าฮอนด้าปรับเซ็ทมาได้ดีมาก การวิ่งทางตรงยาวๆด้วยความเร็วตัวรถยังคงนิ่งไม่มีโคลง พวงมาลัยแบบแปรผันก็ปรับให้ตึงมือ และแม่นยำขึ้น ผสานกับเครื่องยนต์ที่ดี ทำให้ All New Honda HR-V รุ่น RS คันนี้ขับสนุกมากขึ้น การเข้าโค้งด้วยความเร็วตัวรถยังคงนิ่งควบคุมง่าย ต้องยอมรับระบบช่วงล่างดีจริง
เราขับแบบชิลล์ความเร็วประมาณ 100 -120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เร่งแซงอาจจะมีไปแตะที่ 130 บ้างในบางครั้ง เราเปิดโหมด Econ ทั้งคู่ นั่ง 3 คนเท่ากัน สัมภาระแบกพอๆกัน ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงจังหวัดเชียงใหม่ แต่เพื่อนๆน้ำมันยังไม่หมดเราเลยจำเป็นต้องวิ่งผ่านตัวเมืองเชียงใหม่ มุ่งหน้าสู่จังหวัดเชียงราย จนไปถึงน้ำพุร้อนเวียงป่าเป้า เป็นบ่อน้ำร้อนธรรมชาติตั้งอยู่ตำบลแม่เจดีย์ใหม่ อำเภอเวียงป่าเป้า ถนนสายเชียงราย-เชียงใหม่ น้ำมันก็หมดลงสำหรับ City ส่วน HR-V หมดไปก่อนสักพักแล้ว
ตอนเครื่องน้ำมันหมดถังจะมีอาการเร่งไม่ขึ้น หลังจากนั้นระบบจะเตือนและทุกอย่างจะหยุดทำงาน แต่เรายังสามารถควบคุมพวงมาลัย และเบรกได้อยู่จึงไม่ต้องกังวลอะไร เอาละครับเรามาสรุปกันดีกว่าว่าทั้ง 2 คันนี้วิ่งไปได้ไกลแค่ไหนกับน้ำมัน 1 ถัง และจากไฟเตือนวิ่งได้อีกกี่กิโลเมตร (บอกก่อนเลยนะครับว่าถ้าผมทำได้เท่าไหร่เพื่อนๆทำได้เยอะกว่าผมแน่นอนครับ )
สรุปน้ำมัน 1 ถัง สามารถวิ่งได้ไกลแค่ไหน
สรุปผลการทดสอบ | HR-V | CITY |
ระยะทางที่วิ่งได้ | 751.5 กิโลเมตร | 843.3 กิโลเมตร |
สัญญาณไฟน้ำมันเตือน | 646 กิโลเมตร | 695.2 กิโลเมตร |
จากสัญญาณไฟน้ำมันเตือนวิ่งได้อีก | 105 กิโลเมตร | 148.1 กิโลเมตร |
อัตราสิ้นเปลือง (วิ่งจริง) | 18.5 กิโลเมตร/ลิตร | 21 กิโลเมตร/ลิตร |
คำเตือน !! บทความนี้เป็นการทดสอบเพื่อให้รู้ว่าน้ำมัน 1 ถังวิ่งได้กี่กิโลเมตร และ จากไฟสัญญาณเตือนน้ำมันโชว์แล้ววิ่งได้อีกอีกกิโลเมตรจนดับ เป็นเส้นทางวิ่งออกนอกเมือง วิ่งในเมืองอาจจะได้ระยะที่น้อยกว่าประมาณ 10-20% ผลการทดสอบนำไว้เป็นข้อมูลเวลาน้ำมันใกล้หมดบทเส้นทางเปลียว และไม่มีสถานีบริการน้ำมัน จะได้ไม่ต้องกังวล เราไม่แนะนำให้ทำตาม วิ่งจนน้ำมันหมดถัง ขอบคุณครับ
เรื่อง : ณัฐพล เดชสิงห์
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานต์ยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th