Honda คว้า 6 รางวัลรถยอดเยี่ยมแห่งปี
BEST SEDAN UNDER 1,500 c.c.
Honda City 1.5 SV+
ถ้าพูดถึงยนตรกรรมยอดนิยมในเมืองไทย พิกัดเครื่องยนต์ 1,500 ซี.ซี. ละก็…Honda City เรียกได้ว่าเป็นที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดรุ่นหนึ่ง ด้วยกระแสตอบรับจากผู้บริโภคที่ต่างยกย่อง “ความคุ้มค่า” ในแบบฉบับรถยนต์นั่ง ตัวถังซีดาน 4 ประตู เพื่อตอบโจทย์การใช้งาน นับตั้งแต่เจเนอเรชันแรก จนกระทั่งผ่านมาถึงรุ่นปัจจุบัน เจเนอเรชันล่าสุดกับ Honda City 1.5 SV+ ที่ชนะการประกวดรถยนต์ยอดเยี่ยม Thailand Car of The Year 2019 ไปอีกครั้ง ในประเภท Sedan Under 1,500 c.c.
ซึ่งเหตุผลที่ Honda City 1.5 SV+ ยังคงเป็นยนตรกรรมที่ถูกใจของคณะกรรมการนั้นประกอบด้วย รูปลักษณ์ที่ประกอบขึ้นจากเส้นสายสะดุดตา เพื่อสื่อถึงความหรูหรา ซึ่งเจือด้วยความสปอร์ตตามหลักอากาศพลศาสตร์ ที่ส่งผ่านไปถึงภายในห้องโดยสาร อันเปี่ยมด้วยความชาญฉลาดในการจัดวางฟังก์ชันอำนวยความสะดวกต่างๆ เพื่อทำให้เกิดความรู้สึกกว้างขวาง ภายใต้พื้นฐานของความเรียบง่าย แต่ยังคงใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย และตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างครบครัน
โดยเฉพาะในเรื่องของ “สมรรถนะ” อันเกิดขึ้นจากเครื่องยนต์เบนซิน พิกัด 1.5 ลิตร ที่อัปเกรดประสิทธิภาพด้วยระบบวาล์วแปรผัน i-VTEC และระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิงแบบ PGM-FI ทำหน้าที่ในการสร้างกำลัง 117 แรงม้า และแรงบิด 146 นิวตันเมตร ซึ่งมีเกียร์อัตโนมัติ CVT 7 สปีด ที่พัฒนาภายใต้เทคโนโลยี Earth Dream ถ่ายทอดเรี่ยวแรงทั้งหมดสู่ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ที่สามารถเพิ่มความเร้าใจในการขับขี่ได้ด้วย Paddle Shift หลังพวงมาลัยที่ปรับได้ถึง 7 สปีด ผสมผสานด้วยความสามารถในการประหยัดที่เกิดจากระบบช่วยการขับขี่แบบประหยัดน้ำมัน Eco Assist ตลอดจนการรองรับพลังงานทางเลือกได้ถึงระดับ E85
ที่สำคัญ Honda City 1.5 SV+ ยังเหนือชั้นด้วยมาตรฐานความปลอดภัยที่ใกล้เคียงกับยนตรกรรมระดับพรีเมียม เช่น ระบบเบรก ABS, ระบบกระจายแรงเบรก EBD, ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง VSA รวมถึงระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน HSA และสัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน ESS ตลอดจนกล้องมองภาพด้านหลัง Multi-angle Rearview Camera ที่ปรับมุมมองได้ถึง 3 ระดับ คือ 130 องศา 180 องศา และมุมมองจากด้านบน เพื่อช่วยเพิ่มความอุ่นใจในการขับขี่ในทุกเส้นทาง
และทั้งหมด คือ สิ่งที่หลอมรวมเป็นคุณสมบัติที่ก่อให้เกิดความ
“คุ้มค่า” ในการใช้งานที่มีทั้งความอเนกประสงค์ในเรื่องของฟังก์ชันการใช้งาน รวมถึงความสามารถที่ตอบโจทย์การขับขี่ได้สบายๆ ทั้งในชีวิตประจำวัน หรือยามพักผ่อนในวันหยุดสุดสัปดาห์ ภายใต้ “อรรถรส” การขับขี่ที่ “คุ้นเคย” ของแบรนด์ Honda ที่ส่งรุ่น City ออกมาสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภคหลายยุคหลายสมัย จนกระทั่งปัจจุบัน ซึ่งยังคงรักษามาตรฐานของการเป็น “รถยนต์นั่งพิกัด 1.5 ลิตร ที่คุ้มค่าที่สุด” และ “ยังคงเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ของผู้บริโภคชาวไทย” เช่นกัน
BEST SEDAN UNDER 1,600 c.c.
Honda Civic 1.5 Turbo RS
“ที่สุด” แห่งความยอดนิยม หากเอ่ยถึงยนตรกรรมจากแบรนด์ Honda คงต้องยกฐานะหัวแถวให้กับรุ่น Civic อันเป็นที่รู้จักครั้งแรกในปี พ.ศ. 2527 จนเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างชื่อเสียง และสร้างแรงผลักดันให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จากรุ่นสู่รุ่น โดยมาพร้อมเทคโนโลยีอันล้ำสมัย เพื่อสร้างบรรทัดฐานใหม่ของ “รถยนต์นั่ง” จนมาถึงเจเนอเรชันล่าสุดในรหัส FC
โดยนอกเหนือจากความหล่อเหลาของ “รูปลักษณ์” และ “สมรรถนะ” จากเทคโนโลยีเอิร์ธดรีมของเครื่องยนต์พิกัด 1.5 ลิตร พ่วงระบบอัดอากาศเทอร์โบชาร์จเจอร์ และระบบฉีดจ่ายชื้อเพลิงแบบ Direct Injection ที่สร้างพละกำลังได้ถึงระดับ 173 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 220 นิวตันเมตร ที่มีชุดเกียร์อัตโนมัติ CVT พร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift ทำหน้าที่ส่งมอบความเร้าใจ
และสิ่งที่มีความโดดเด่นควบคู่กับ “สมรรถนะ” จนเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ที่มีผลต่อการตัดสินใจเป็นเจ้าของ Honda Civic 1.5 Turbo RS คือ เรื่องของ “ระบบความปลอดภัย” ในชื่อ “Advanced Safety” ซึ่งมีตัวช่วยสุดล้ำสมัยในชื่อ Honda LaneWatch ทำหน้าที่แสดงภาพมุมอับสายตาในขณะเปลี่ยนเลน และแสดงผลผ่านหน้าจอขนาด 7 นิ้ว เพื่อยกระดับความมั่นใจในการขับขี่มากขึ้น
พร้อมด้วยระบบความปลอดภัยในขณะขับขี่ที่เปี่ยมประสิทธิภาพ อันประกอบไปด้วย ระบบเบรกแบบดิสก์ 4 ล้อ ที่มากับระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS, ระบบกระจายแรงเบรก EBD, ระบบสัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติ ขณะเบรกกะทันหัน ESS, ระบบควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง VSA, ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Hill Start Assist (HSA)
รวมถึงการติดตั้งถุงลมนิรภัยมาให้ถึง 6 ตำแหน่ง โดยทำงานร่วมกับระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัย และเข็มขัดนิรภัยด้านหน้าแบบ 3 จุด 2 ตำแหน่ง แบบผ่อนแรง และดึงกลับอัตโนมัติ พร้อมเข็มขัดนิรภัยด้านหลังแบบ 3 จุด 3 ตำแหน่ง และการเพิ่มความสะดวกในการใช้งานเข้าไปอีกระดับ กับชุดระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake), ระบบ Auto Brake Hold รวมถึงความอุ่นใจจากระบบกุญแจนิรภัย Immobilizer พร้อมสัญญาณกันขโมย, ระบบล็อกประตูรถอัตโนมัติ (Auto Door Lock By Speed) และระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock) ตลอดจนการติดตั้งกล้องมองภาพด้านหลังแบบปรับมุมมองได้ถึง 3 ระดับ มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
โดยทั้งหมด คือ ระบบของความปลอดภัยที่ถูกติดตั้งมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ภายใต้โครงสร้างตัวถังนิรภัยอย่าง G-CON (G-Force Control) ที่สามารถปกป้องห้องโดยสารจากการชนได้แบบรอบทิศทาง ซึ่งออกแบบมาเป็นพิเศษ เพื่อปกป้องทุกชีวิตและทุกสถานการณ์การขับขี่ ในยนตรกรรมยอดนิยม Honda Civic 1.5 Turbo RS
ซึ่งด้วย “สมรรถนะ” อันเป็นสิ่งการันตีที่คุ้นเคย ประกอบกับจุดเด่นสุดล้ำอย่าง “เทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ” ที่จัดสรรมาให้อย่าง “ครบครัน” ก็คงไม่อาจหาเหตุผลใดมากล่าวอ้างปฏิเสธในความเหมาะสมของ Honda Civic 1.5 Turbo RS ที่มีต่อรางวัล Best Sedan Under 1,600 c.c. ในปีนี้ได้อย่างแน่นอน
BEST HATCHBACK UNDER 1,600 c.c.
Honda Civic Hatchback 1.5 VTEC Turbo
ซึ่งในที่สุด Honda ได้สานต่อความ “ขลัง” ของตัวถัง Hatchback อีกครั้งในรหัสตัวถัง FK ซึ่งมีพื้นฐานมาจากเวอร์ชันตัวถังซีดาน แต่เพิ่มความหล่อเหลาโฉบเฉี่ยวมากขึ้นอีกระดับกับสไตล์ของรถ 5 ประตู ที่ “ทรงเครื่อง” ด้วยสมรรถนะจากขุมพลังบล็อกเดียวกับเวอร์ชันซีดาน ในพิกัด 1.5 ลิตร ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบ Direct Injection พร้อมระบบอัดอากาศ เทอร์โบชาร์จเจอร์ เพื่อให้กำเนิดเรี่ยวแรง 173 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 220 นิวตันเมตร โดยมีเกียร์อัตโนมัติ CVT พร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift ทำหน้าที่ถ่ายทอดกำลังสู่ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ที่ยังคงมี “สมรรถนะ” เป็นหัวใจหลักในการทำให้คณะกรรมการยอมรับ
แต่สิ่งที่มากกว่านั้น คือ “ความไว้เนื้อเชื่อใจ” อันเกิดจากความล้ำสมัยของ “ระบบความปลอดภัย” ที่ Honda จัดให้เพื่อสร้างความมั่นใจในทุกการขับขี่ Honda Civic Hatchback 1.5 VTEC Turbo ตั้งแต่โครงสร้างตัวถังนิรภัย G-CON (G-Force Control) ที่สามารถปกป้องห้องโดยสารจากการชนได้แบบรอบทิศทาง พร้อมด้วยการติดตั้งถุงลมนิรภัยมาให้ถึง 6 ตำแหน่ง โดยทำงานร่วมกับระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัย และเข็มขัดนิรภัยด้านหน้าแบบ 3 จุด 2 ตำแหน่ง แบบผ่อนแรง และดึงกลับอัตโนมัติ พร้อมเข็มขัดนิรภัยด้านหลังแบบ 3 จุด 3 ตำแหน่ง
พร้อมการเพิ่มความมั่นใจในการขณะขับขี่ ด้วยตัวช่วยอันเปี่ยมประสิทธิภาพ จากระบบเบรกแบบดิสก์ 4 ล้อ พ่วงตัวช่วยพื้นฐาน เช่น ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS, ระบบกระจายแรงเบรก EBD, ระบบสัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติ ขณะเบรกกะทันหัน ESS, ระบบควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง VSA, ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Hill Start Assist (HSA)
โดยเพิ่มความสะดวกเข้าไปอีกขั้น ด้วยระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake), ระบบ Auto Brake Hold รวมถึงความอุ่นใจจากระบบกุญแจนิรภัย Immobilizer พร้อมสัญญาณกันขโมย, ระบบล็อกประตูรถอัตโนมัติ (Auto Door Lock By Speed) และระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock) ตลอดจนการติดตั้งกล้องมองภาพด้านหลังแบบปรับมุมมองได้ถึง 3 ระดับ มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
เรียกได้ว่า ความครบครันในคุณภาพของ Honda Civic Hatchback 1.5 VTEC Turbo ทั้ง “สมรรถนะ” และ “ความปลอดภัย” และเป็นอะไรที่สมเหตุสมผลกับการครอบครองรางวัล Best Hatchback Under 1,600 c.c. จากงาน Thailand Car of The Year 2019 อย่างแท้จริงเลยทีเดียว
BEST SEDAN UNDER 1,800 c.c.
Honda Civic 1.8 EL
ในสายงานของอนุกรม Civic แห่งตำนาน ไม่ได้มีเพียงแค่ความเร้าใจจากเวอร์ชันเทอร์โบเท่านั้น สำหรับโมเดลปัจจุบันในรหัสตัวถัง FC หากแต่ยังมีอีกหนึ่งความยอดเยี่ยมในเวอร์ชันขุมพลังแบบไร้ระบบอัดอากาศ เป็นอีกหนึ่งอรรถรสที่สร้างความประทับใจให้กับคณะกรรมการได้อีกครั้งในปีนี้เช่นกัน
ซึ่งส่วนผสมที่ยังคงความยอดเยี่ยมของ Honda Civic 1.8 EL นั้น เริ่มต้นจากอรรถรสในการขับขี่ที่เกิดขึ้นจากขุมพลังเบนซินในพิกัด 1.8 ลิตร SOHC i-VTEC ที่มีพละกำลังสูงสุดให้ใช้ในระดับ 141 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 174 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT และระบบพวงมาลัยจากพื้นฐานเดียวกัน คือ พวงมาลัย Dual Pinion พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า DP-EPS และช่วงล่างด้านหน้าแบบแมคเฟอร์สันสตรัท อิสระ และด้านหลังเป็นแบบมัลติลิงก์ ที่มากับการติดตั้งเหล็กกันโคลงทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
เพราะฉะนั้น ในเรื่องของ “สมรรถนะ” ซึ่งเทียบชั้นกับสายโหดเวอร์ชันเทอร์โบ จึงเป็นส่วนแรกที่คณะกรรมการ
ไว้วางใจ ในขณะที่อีกหนึ่งส่วนสำคัญ คือ เรื่องของออปชันสุดล้ำของ “ระบบความปลอดภัย” ที่มอบให้ทั้งในเรื่องของความสะดวกสบายในการใช้งาน อาทิ ระบบ Electric Parking Brake เบรกมือไฟฟ้า, ระบบ Auto Brake Hold
ในขณะที่การสร้างความมั่นใจในการขับขี่นั้น ประกอบไปด้วย ระบบ Hill Start Assist (HSA) ที่จะช่วยให้การออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชันเป็นเรื่องง่ายขึ้น จากการที่ระบบทำการหน่วงเบรกให้รถจอดหยุดนิ่งอยู่กับที่ เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถย้ายเท้าจากแป้นเบรก มาเหยียบคันเร่งได้โดยไร้อาการ “รถไหล” ทั้งยังช่วยให้ออกตัวได้อย่างนิ่มนวลมากขึ้น ตามด้วยระบบ Vehicle Stability Assist (VSA) ช่วยเพิ่มความประสิทธิภาพการทรงตัวขณะเข้าโค้ง, ระบบ Emergency Stop Signal (ESS) ที่จะแสดงสัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน และปิดท้ายด้วยความมั่นใจขณะจอดจากระบบ Multi-angle Rearview Camera กล้องมองภาพด้านหลัง ปรับมุมมองได้ 3 ระดับ ทั้งแบบ 130 องศา 180 องศา และมุมมองจากด้านบน
เรียกว่าทั้ง “สมรรถนะ” และ “ออปชัน” ของ Honda Civic 1.8 EL นั้น ถูกยกระดับเกือบเทียบเท่า Premium Sedan ในสังกัด จนทำให้กลายเป็นอีกหนึ่งความ “คุ้มค่า” และกลายเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้คณะกรรมการยังคงมอบคะแนนให้ด้วยความเหมาะสม และรับรางวัลในปีนี้ไปครองอีกครั้ง
BEST MID-SIZE SEDAN UNDER 2,000 c.c.
Honda Accord 2.0 EL i-VTEC
หากซีดานพิกัดเล็กอย่าง Honda City ไล่มาถึงซีดานยอดนิยมอย่าง Honda Civic ยังคงแสดงความยอดเยี่ยมให้คณะกรรมการ Thailand Car of The Year 2019 ประทับใจ และคว้ารางวัลในปีนี้ไป…ก็คงไม่แปลกที่ซีดานขนาดกลางระดับพรีเมียมอย่าง Honda Accord 2.0 EL i-VTEC จะเป็นอีกหนึ่งยนตรกรรมที่ยอดเยี่ยมที่สุดในสาขา Mid-Size Sedan Under 2,000 c.c.
กับจุดเริ่มต้นความประทับใจตั้งแต่งานดีไซน์รูปลักษณ์ ที่นำเสนอความหรูหราเป็นหลัก โดยส่งผ่านความรู้สึกเร้าใจ และอารมณ์สนุกสนานในการขับขี่ ด้วยขุมพลังเบนซิน 4 สูบ 16 วาล์ว ความจุ 2.0 ลิตร SOHC i-VTEC กับเรี่ยวแรง 155 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 190 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด ที่ชาญฉลาดด้วยการควบคุมจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ Grade Logic Control พร้อม Direct Control และ Shift Hold Control ตลอดจนจุดเด่นอันเข้ากับยุคสมัย ด้วยความสามารถในการรองรับเชื้อเพลิง E85 และฟังก์ชัน ECON Mode ที่มีระบบ ECO Coaching แสดงผลการขับขี่เพื่อการประหยัดน้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพ
แต่ “สมรรถนะ” ยังไม่ใช่องค์ประกอบเดียวที่ทำให้ Honda Accord 2.0 EL i-VTEC คว้ารางวัลไป หากแต่ยังรวมถึงเทคโนโลยีอันล้ำสมัย ในส่วนของ “ความสะดวกสบาย” ที่ถูกติดตั้งมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เพื่อยกระดับความพรีเมียมขึ้นไปอีกขั้น เช่น หน้าจอแสดงผลขนาด 7.7 นิ้ว แบบ Smart Interface ที่สามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน Smartphone Connectivity รวมถึงรองรับระบบ Apple CarPlay, การเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สายแบบ Bluetooth ไปจนถึงระบบกุญแจอัจฉริยะ Honda Smart Key System ที่มากับระบบ Engine Remote Start ซึ่งสามารถสตาร์ทรถ และเปิดระบบปรับอากาศได้จากระยะไกลด้วยกุญแจรีโมท โดยที่รถยังไม่ทำการปลดล็อก
พร้อมด้วยการเสริมความมั่นใจในขณะขับขี่ จากระบบ Honda LaneWatch ที่จะช่วยแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน โดยใช้กล้องจับภาพบริเวณกระจกมองข้างด้านซ้าย, ระบบ Vehicle Stability Assist (VSA) ช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง พร้อมระบบเสริมแรงเบรก BA, ระบบ Hill Start Assist (HSA) ช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน และระบบ Emergency Stop Signal (ESS) สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน ตลอดจนการเพิ่มความปลอดภัย แม้กระทั่งในขณะจอดรถ ที่เกิดขึ้นจากระบบ Multi-angle Rearview Camera กล้องมองภาพด้านหลัง ปรับมุมมองได้ 3 ระดับ ทั้งแบบ 130 องศา 180 องศา และมุมมองจากด้านบน สำหรับช่วยเพิ่มความมั่นใจในการถอยจอด
และด้วยองค์ประกอบทั้งหมดของ Honda Accord 2.0 EL i-VTEC
ทั้งในเรื่อง “สมรรถนะ” และ “ออปชัน” ความสะดวก และความปลอดภัย ที่ติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ก็ยังคงเป็นสิ่งที่ทำให้คณะกรรมการ “เชื่อ” และ “ไว้วางใจ” ในความยอดเยี่ยม จนเหมาะสมกับรางวัลในสาขานี้ไปครองอีกครั้ง
BEST SUV UNDER 2,500 c.c. PETROL
Honda CR-V 2.4 EL 4WD
Honda CR-V 2.4 EL 4WD อีกหนึ่งรถอเนกประสงค์ SUV จากค่าย Honda ที่ยังคงรักษามาตรฐานความยอดเยี่ยม และคว้ารางวัล Best SUV Under 2,500 c.c. Petrol ไว้ได้อีกครั้ง ในงาน Thailand Car of The Year 2019 ด้วยจุดเริ่มต้นอันคุ้นเคยในเรื่องของพื้นฐานสมรรถนะอันเกิดขึ้นจากเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.4 ลิตร i-VTEC แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว ที่ได้รับการพัฒนาภายใต้เทคโนโลยี Earth Dreams ที่ให้กำลังได้สูงสุดถึง 173 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดในระดับ 224 นิวตันเมตร ส่งต่อกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT สู่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Real Time AWD
นอกเหนือจากเรื่องของ “สมรรถนะ” แล้ว Honda CR-V 2.4 EL 4WD ยังพกพาความ “คุ้มค่า” มาเต็มพิกัด นับตั้งแต่การรองรับเชื้อเพลิง E85 ไปจนถึงความอเนกประสงค์ ที่สามารถเลือกได้ถึง 2 รุ่นตัวถัง ทั้งในรูปแบบ 5 ที่นั่ง และแบบ 7 ที่นั่ง ตลอดจนความ Flexible Center Console ในส่วนของคอนโซลกลาง ที่ปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานได้ตามความต้องการ เพื่อตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างหลากหลาย จนถึงความสะดวกสบาย อย่าง ระบบ Hands-Free Power Tailgate ที่เปิด-ปิด ฝากระโปรงท้ายอัตโนมัติ ด้วยระบบไฟฟ้า และสามารถปรับระดับความสูงของการเปิดฝากระโปรงท้ายได้ตามต้องการ
ในขณะที่ “ความสุข” ในฐานะของยนตรกรรมอเนกประสงค์ ได้รับการเติมเต็มด้วย ชุดเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับระบบนำทาง Navigation, Apple CarPlay, การเชื่อมต่อภาพและเสียงผ่าน HDMI, การเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สาย รวมถึงแสดงข้อมูลการทำงานของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ซึ่งทั้งหมดนั้นเชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกับหน้าจอแสดงผล TFT ที่สามารถควบคุมได้ง่ายดายผ่านพวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชัน ตลอดจนระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ i-Dual Zone ด้านหน้า ต่อด้วยตำแหน่งผู้โดยสารแถว 2 ในทุกรุ่น และสำหรับแถว 3 ในรุ่น 7 ที่นั่ง
ไฮไลต์ของ Honda CR-V 2.4 EL 4WD เช่น เปิด-ปิด ฝาท้ายด้วยระบบไฟฟ้า, ระบบ Honda LaneWatch ที่จะช่วย
แสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลนส์ โดยใช้กล้องจับภาพบริเวณกระจกมองข้างด้านซ้าย และแสดงผลผ่านหน้าจอขนาด 7 นิ้ว, ระบบ Driver Attention Monitor คอยตรวจจับความเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่ผ่านการควบคุมพวงมาลัย ซึ่งจะแจ้งเตือนผ่านหน้าจอ TFT และจะทำการสั่นเตือนที่พวงมาลัย หากตรวจพบความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุจากความเหนื่อยล้า
ตามด้วยระบบ Agile Handling Assist (AHA)เพื่อช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการขับขี่ ด้วยการทำงานของระบบที่จะช่วยส่งแรงเบรกไปยังล้อโดยอัตโนมัติ โดยให้สัมพันธ์กับความเร็ว และลักษณะของการเข้าโค้ง เพื่อช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการขับขี่ เสริมด้วยระบบ Vehicle Stability Assist (VSA) ช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง
ทั้งยังมีเทคโนโลยีสุดล้ำอย่าง ระบบ Walk Away Auto Lock ที่ช่วยล็อกรถโดยอัตโนมัติ เมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ, ระบบ Electric Parking Brake เบรกมือไฟฟ้า ที่เพียงแค่ดึงสวิตช์เมื่อต้องการใช้เบรกมือ และจะคลายเบรกโดยอัตโนมัติเมื่อเหยียบคันเร่ง (ในกรณีที่ผู้ขับขี่คาดเข็มขัดนิรภัยเท่านั้น) เช่นเดียวกับระบบ Auto Brake Hold ที่จะทำการหน่วงเบรกโดยอัตโนมัติหลังจากเหยียบเบรกให้รถหยุดนิ่ง โดยไม่จำเป็นต้องเหยียบเบรกค้างไว้
ตลอดจนระบบ Hill Start Assist (HSA) ช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน, ระบบ Emergency Stop Signal (ESS) สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน และระบบ Multi-angle Rearview Camera กล้องมองภาพด้านหลัง ปรับมุมมองได้ 3 ระดับ ทั้งแบบ 130 องศา 180 องศา และมุมมองจากด้านบน สำหรับช่วยเพิ่มความมั่นใจในการถอยจอด
เรื่อง: กองบรรณาธิการ
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th