Hummer…ยังจำได้ไหม
สำหรับคอออฟโรดทั่วโลกชื่อของฮัมเมอร์ช่างน่าหลงใหลและมีศักดิ์ศรีในโลกของออฟโรดเทียบเท่ากับชื่อของเฟอร์รารี่ หรือไม่ก็ลัมบอร์กินีสำหรับคนที่ชอบซิ่งบนทางเรียบ…แต่สำหรับตอนนี้ ฮัมเมอร์กลายเป็นตำนานไปแล้ว และเหลือเพียงแค่ชื่อประดับวงการเท่านั้น โดยมีอายุตลาดเพียงแค่ 18 ปีเท่านั้น นับจากเริ่มขายในปี 1992 จนถึงวินาทีสุดท้ายเมื่อสิ้นสุดเดือนเมษายน 2010
ถึงตรงนี้หลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมฮัมเมอร์มีอายุตลาดแค่ 18 ปีเท่านั้น ทั้งที่หลายคนเคยได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว และเพราะอะไรฮัมเมอร์จึงกลายเป็นตำนานที่มีแค่ชื่อ…ลองมาติดตามกัน
เริ่มต้นที่ทหารแต่ชาวบ้านก็อยากจะใช้
เอสยูวีคันโตหน้าตาดุๆ ที่บรรดาทหารของกองทัพบกสหรัฐอเมริกานำออกมาใช้และโด่งดังไปทั่วโลก โดยเฉพาะเมื่อยุทธการพายุทะเลทราย หรือ Desert Storm ถูกถ่ายทอดสดผ่านจอไปทั่วโลก ตรงนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ตัวลุยรุ่นนี้กลายเป็นรถในฝันของบรรดาคนพันธุ์ลุยทั่วโลก
ที่ต้องใช้คำว่า ‘เอสยูวีรุ่นนี้’ หรือ ‘ตัวลุยรุ่นนี้’ แทนที่จะมีการระบุชื่ออย่างชัดเจนก็เพราะเวอร์ชันที่เราเห็นกันในโทรทัศน์ที่บรรดาทหารอเมริกันขับลุยทะเลทรายมีชื่อเรียกว่า HMMWV หรือเรียกกันว่า Humvee ซึ่งย่อมาจาก High Mobility Multipurpose Wheeled Vehicle โดยเป็นผลผลิตที่ทางเอเอ็ม เจนเนอรัลได้รับอนุญาตจากทางกองทัพบกสหรัฐอเมริกาในการผลิตขึ้นมาเพื่อสำหรับใช้งานในราชการทหารเมื่อปี 1984 และออกสู่สายตาชาวโลกเป็นครั้งแรกในปฏิบัติการ Just Cause ที่สหรัฐอเมริกาบุกเข้าสู่ประเทศปานามาเมื่อปี 1989 แต่เป็นที่รู้จักในวงกว้างเมื่อครั้งสงครามอ่าวเปอร์เซีย หรือ Gulf War ในอีก 1 ปีต่อมา
จากเสียงเรียกร้องจากแฟนๆ เอสยูวีในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะเสียงใหญ่อย่างอาร์โนลด์ ชวาร์ซเชเน็กเกอร์ เชื่อว่าเป็นแรงผลักดันที่ทำให้เอเอ็ม เจนเนอรัลผลักดันโครงการผลิตเวอร์ชันสำหรับพลเรือน หรือ Civilian Version ที่ตัวเองให้ความสนใจมาตั้งแต่ปลายทศวรรษที่ 1980 ให้กลายมาเป็นความจริง
ตัวรถอิงรายละเอียดทางวิศวกรรมและรูปลักษณ์จาก Humvee รุ่น M998 แต่ปรับให้เหมาะสมกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน และถอดเทคโนโลยีที่เป็นความลับทางราชการออก ก่อนเปลี่ยนมาใช้ชื่อทางการค้าว่า Hummer ส่วนรุ่นรถก็ใช้ชื่อว่า H1 และเริ่มทำตลาดมาตั้งแต่ปี 1992 เป็นต้นมา
สู่ยุคใหม่ในร่มเงาของจีเอ็ม
ในช่วงทศวรรษที่ 1990 ฮัมเมอร์ได้รับความนิยมและการตอบรับที่ดีจากลูกค้าในสหรัฐอเมริกา จนกระทั่งเมื่อถึงปี 1998 จีเอ็ม หรือเจนเนอรัล มอเตอร์ส ยักษ์ใหญ่ของอุตสาหกรรมรถยนต์เมืองลุงแซมตัดสินใจซื้อแบรนด์ฮัมเมอร์จากเอเอ็ม เจนเนอรัลมาอยู่ในเครือ โดยทางเอเอ็ม เจนเนอรัลยังรับหน้าที่ผลิตรุ่น H1 ส่งให้กับจีเอ็มต่อไปด้วยเหตุผลที่ว่าตัวรถมีส่วนเกี่ยวข้องกับความลับทางราชการทหาร ขณะที่ตัวเอเอ็ม เจนเนอรัลเองก็ผลิต Humvee ส่งให้กับทางกองทัพควบคู่กันไปด้วย
จนกระทั่งเมื่อถึงปี 2002 ทางจีเอ็มจึงเพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์ให้กับฮัมเมอร์เป็นครั้งแรก ด้วยการผลิตตัวลุยรุ่นที่เล็กกว่า H1 และใช้รหัส H2 ซึ่งรายละเอียดทางวิศวกรรมของตัวรถถูกพัฒนาบนพื้นฐานของเอสยูวีร่วมกับเชฟโรเลต ทาโฮและจีเอ็มซี ยูคอนของทางจีเอ็ม โดยภายใต้สัญญาที่ทำกับทางเอเอ็ม เจนเนอรัล บริษัทแห่งนี้จะรับหน้าที่ประกอบ H2 ที่ไลน์ผลิตในเมือง Mishawaga มลรัฐอินเดียนา ก่อนที่ในปี 2004 จะมีการประกอบที่โรงงานในเมือง Kaliningrad ของ Avtotor เพื่อขายในตลาดรัสเซียซึ่งทางฮัมเมอร์มีดีลเลอร์อยู่ 5 ราย และมีการผลิตในปริมาณที่ไม่มาก แค่ไม่กี่ร้อยคันต่อปีเท่านั้น
H2 ทำตลาดในช่วงแรกด้วยตัวถังแบบแวกอน 5 ประตู พร้อมกับคว้ารางวัลปิกอัพยอดเยี่ยมแห่งอเมริกาเหนือมาครองได้ทันทีในปี 2003 จากนั้นเมื่อถึงปี 2005 จึงได้เพิ่มทางเลือกใหม่ด้วยตัวถังแบบ 4 ประตูปิกอัพหรือที่เรียกว่า SUT-Sport Utilities Truck รวมถึงยังเป็นหนึ่งในตัวละครเรื่อง Transformers ภาคแรก โดยเป็นหุ่นของฝ่าย Autobot ที่ชื่อ Ratchet
เมื่อเข้าสู่ปี 2005 จีเอ็มก็เปิดตัวทางเลือกที่ 3 ของฮัมเมอร์ออกมาในชื่อ H3 ซึ่งเป็นน้องเล็กสุดของแบรนด์ ที่พัฒนาบนพื้นฐานเดียวกับปิกอัพขนาดกลางอย่างเชฟโรเลต โคโรลาโด และจีเอ็มซี แคนยอน รวมถึงอีซูซุ i-Series หรือ D-Max ปิกอัพที่ขายในบ้านเราด้วย โดยรุ่นนี้ทางจีเอ็มรับหน้าที่ในการผลิตเอง และไม่ต้องพึ่งพาโรงงานของเอเอ็ม เจนเนอรัลเหมือนกับ 2 รุ่นที่ผ่านมา
อีกทั้งในปี 2007 H3 ยังมีการผลิตรุ่นพวงมาลัยขวาเพื่อส่งขายในออสเตรเลีย แอฟริกาใต้ และประเทศในแถบเอเชีย-ยุโรปที่ใช้รถยนต์พวงมาลัยขวา โดยทางจีเอ็มไปตั้งโรงงานที่เมือง Port Elizabeth ประเทศแอฟริกาใต้ และเมื่อถึงปี 2009 ทางจีเอ็มก็แตกไลน์ทางเลือกในตลาดให้กับ H3 ด้วยเวอร์ชัน T หรือรุ่นปิกอัพแบบ 4 ประตู
ไปไม่รอดเพราะความเปลี่ยนแปลง
3 มิถุนายน 2008 คือ วันที่บรรดาแฟนๆ ฮัมเมอร์ต้องจดจำ เพราะริค แวโกเนอร์ ซีอีโอของจีเอ็มได้ประกาศทบทวนถึงอนาคตของแบรนด์นี้ พร้อมการสั่งปิดโรงงานปิกอัพในสหรัฐอเมริการวม 4 แห่งและในที่สุดก็นำไปสู่การตัดสินใจขายออกไปในเวลาต่อมา
ปัจจัยที่ทำให้ฮัมเมอร์โดนลอยแพออกจากเครือจีเอ็มก็เป็นเพราะในช่วงนั้นราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในสหรัฐอเมริกาถีบตัวสูงขึ้นอย่างมากเช่นเดียวกับตลาดทั่วโลก ส่งผลให้รถยนต์ใหญ่เครื่องยนต์ซีซีเยอะยอดขายร่วงกันระนาว และในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ยอดขายของฮัมเมอร์ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึง 40% เลยทีเดียว
อีกเหตุผลที่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่กว่านั้น คือ สภาพคล่องทางการเงินของจีเอ็มเริ่มมีปัญหาและการขาดทุนสะสมเริ่มส่งสัญญาณออกมาแล้ว และตรงนี้นำไปสู่การประกาศล้มละลายเพื่อเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการตามมาตรา 11 เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2009 หลังจากที่รัฐบาลของประธานาธิบดีบารัก โอบามาเทงบฯ ก้อนโตเพื่อประคองกิจการของจีเอ็มมาตลอดช่วงปลายปี 2008 จนถึงต้นปี 2009
ก่อนการล่มสลายของจีเอ็มเก่า ทางผู้ผลิตรถยนต์หมายเลข 1 ของโลกตัดสินใจเลือกเก็บแบรนด์รถยนต์ที่เป็นกิจการหลัก หรือ Core Brand เอาไว้เพียง 4 รายเท่านั้น คือ เชฟโรเลต, แคดิลแล็ก, บูอิก และจีเอ็มซี ส่วนที่เหลือขายทิ้งหมด (ถ้าขายได้) หรือไม่ก็ต้องปิดกิจการไป (ถ้าขายไม่ได้)
ในตอนแรก ฮัมเมอร์ได้รับความสนใจจากผู้ผลิตรถยนต์หลายรายทั้งจากรัสเซีย, กลุ่มมหินธราแอนด์มหินธรา ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ในอินเดีย และกลุ่มธุรกิจจากจีน ก่อนที่จะเหลือเพียงแค่ Sichuan Tengzhong Heavy Industrial Machinery Company ซึ่งเป็นบริษัทในจีนเท่านั้น ที่สนใจอย่างจริงจังและมีการเจรจากับทางจีเอ็มอยู่ตลอดเวลาโดยจะเทคโอเวอร์กิจการของฮัมเมอร์ด้วยวงเงิน 150 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 5,250 ล้านบาท จนนำไปสู่การตกลงในขั้นสุดท้าย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับการอนุมัติของทางกระทรวงพาณิชย์ของรัฐบาลจีน
เพียงแค่ 9 วันหลังจากที่ได้รับข่าวดีที่กิจการของซาบสามารถขายให้กับทางสปายเกอร์ไปได้ จีเอ็มก็ต้องเจอข่าวร้ายเมื่อการเจรจาที่ทำท่าว่าจะดีในตอนแรกกลับมาถึงทางตัน โดยเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2010 ทางกระทรวงพาณิชย์ของจีนตัดสินใจไม่อนุมัติการซื้อกิจการครั้งนี้ และทำให้ทางจีเอ็มตัดสินใจที่จะปิดกิจการของฮัมเมอร์ถ้ายังไม่สามารถหาผู้ซื้อรายใหม่ได้ทันในเดือนมีนาคม 2010
วันที่ 7 เมษายน 2010 จีเอ็มประกาศอย่างเป็นทางการที่จะปิดแบรนด์ฮัมเมอร์ พร้อมกับระบายรถยนต์ที่ค้างสต็อกจำนวน 2,200 คันในราคาที่ลดกระหน่ำ
เท่ากับเป็นการปิดฉากอย่างเป็นทางการของฮัมเมอร์หลังจากโลดแล่นอยู่ในตลาดรถยนต์โลกมานาน 18 ปี
เรื่อง : กองบรรณาธิการ
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th