HYUNDAI IONIQ 5 แฟชั่นคาร์วิ่งฟฟ้าล้วน มาพร้อมลูกเล่นเพียบ
HYUNDAI IONIQ 5 รถยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียมรุ่นแรกของฮุนได ที่ได้รับรางวัลมาแล้วมากมายทั่วโลก ภายหลังจากเปิดตัวเมื่อปี 2021 ได้เวลาทำตลาดที่ไทยจนได้ ที่บอกแบบนี้ เพราะกว่าจะขายไทย ฮุนไดเลือกไปเปิดตลาดแถบอาเซียนมาหมดแล้ว เราน่าจะเป็นเจ้าสุดท้ายเมื่อสิ้นปี 2023 ในงานมอเตอร์ เอ็กซ์โป ซึ่งถึงตอนนี้แผนการส่งมอบล็อตแรกน่าจะอดใจรอกันอีกไม่นาน ช่วงหน้าร้อนปีนี้
ไม่บ่อยครั้งที่จะได้สัมผัสกลุ่มรถทดสอบที่เยอะที่สุดในไทย กับทริปการเดินทางไป-กลับ อยุธยา กับ ฮุนได ไอโอนิค 5 รถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติเกาหลี ที่เข้ามาแจ้งเกิดเมื่อปีที่ผ่านมา ร่วม 30 คัน
“เรียกว่า ฮุนได โมบิลิตี้ ประเทศไทย เล่นใหญ่ เปิดโอกาสให้ทีมงานกรังด์ปรีซ์ ออนไลน์ ได้ร่วมเดินทางสัมผัสสมรรถนะ และความสะดวกสบาย มาร่วมค้นหาว่ารถไฟฟ้าคันนี้มันมีดีอะไร”
ราคาจำหน่าย (ประเทศไทย)
First Edition 2,399,000 บาท
Exclusive 1,899,000 บาท
Premium 1,699,000 บาท
ด้านสเปกขายไทยมีเพียงรุ่นมอเตอร์เดียวเท่านั้น เปิดขาย 3 รุ่นย่อย เริ่มต้นที่ 1.69-2.39 ล้านบาท ซึ่งรุ่นท็อป ราคาทิ้งห่างรุ่นรองกว่า 5 แสน ชูจุดเด่นมาพร้อมระบบชาร์จเร็วพิเศษจาก 10-80% ภายใน 18 นาที ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ขับได้ไกลสูงสุด 481 กิโลเมตร/การชาร์จ แต่ในต่างประเทศยังมีรุ่น 2 มอเตอร์ให้เลือกเล่น และมีออปชันที่มากกว่า มาพร้อมแบตเตอรี่ที่ใหญ่กว่า พัฒนาบนโครงสร้าง Electric Global Modular Platform แบบใหม่ของฮุนได ที่คุยว่าจัดการพื้นที่ได้ดีมากจนทำให้มีห้องโดยสารที่กว้างสบาย แล้วจะขับดีไหม มาดูกัน
ภาพรวมดีไซน์ภายนอก ลองขับ First Edition
งานนี้คงต้องชื่นชมทีมออกแบบ เห็นครั้งแรกเหมือนหลุดออกมาจากหนังไซไฟ มันมีกลิ่นอายของรถในหนัง “เจาะเวลาหาอดีต” รู้สึกได้ว่าผู้ออกแบบพยายามทำให้รถรุ่นนี้ล้ำอนาคต แต่มีความคลาสสิกในยุคเรโทร 80s เข้ามาผสม ซึ่งทางฮุนไดเอง ก็นำคอนเซปต์รถคันนี้มาจากยุคอดีตในรถรุ่น “ฮุนได โพนี่”
โดยนำเสนอในรูปแบบรถ 5 ประตู ทรงแบบเอสยูวี หรือชอบใช้คำเท่ๆ ว่าฉันคือครอสโอเวอร์ ที่นิยามได้ว่า “เอาไปใช้เถอะ มีประโยชน์กว่าซีดานแน่นอน…ประมาณนั้น” จากฝีมือการสร้างสรรค์ของ จิออเกตโต จูเจียโร่ นักออกแบบชื่อดังชาวอิตาลี
จำได้ในสมัยรถไฮบริดเข้ามาเด่นดัง ยุคนั้นผ่านไปแล้ว อะไรๆ ก็ต้องใส่สีฟ้าเข้าไปในโคมไฟหน้าบ้าง กระจังหน้าบ้าง หรือโลโก้ เพื่อสร้างการรับรู้ตามกระแสยุคบุกเบิก “รักษ์โลก” พอถึงยุครถยนต์ไฟฟ้า กระจังหน้า คือสิ่งเดียวที่ช่วยแยกประเภทรถสันดาปกับรถไฟฟ้าล้วน แต่ปีนี้ก็ได้เห็นแล้วว่า รถสันดาปไฮบริดลูกผสมเริ่มใช้กระจังหน้าแบบไม่ค่อยมีที่รับลมมาใช้ แต่สำหรับฮุนไดรุ่นนี้เอง กลับฉีกภาพจำรถยนต์ไฟฟ้าในท้องตลาด มันยังออกแบบให้ดูดีได้และไม่น่าเบื่อ ไม่จำเป็นต้องซ้ำทางใคร เรียกว่าหาเอกลักษณ์ของตัวเองจนเจอ ทั้งด้านหน้าจรดท้าย น่าจะถูกใจทุกเพศทุกวัยพอสมควร
โดดเด่นด้วยเส้นสายเอกลักษณ์ที่เชื่อมต่อกันเป็นหนึ่งเดียว ตั้งแต่ฝากระโปรงแบบ Clamshell ที่ดูหล่อเป็นล่ำเป็นสัน เชื่อมต่อลากมาถึงกันชนแต่ละด้าน พร้อมเพิ่มความล้ำอนาคตด้วยไฟ Parametric Pixel ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง สำหรับคนชอบพวกสินค้าเทคโนโลยีรู้กันดี จะแพ้ทางอะไรแบบนี้ ดูเด่นมีเอกลักษณ์
รู้ได้ว่านี่คือ ฮุนได ไอโอนิค 5 เพียงแค่มองผ่านๆ ออกแบบให้ไฟหน้าดูมีลูกเล่นแพรวพราว กันชนหน้ารูปตัววีที่สวยสะดุดตา มีแถบสีดำแนวตั้งใต้กระจังหน้าไว้บอกสถานการณ์ชาร์จติดตั้งไว้ให้ ด้านล่างกันชนมีเซ็นเซอร์ 4 จุด มีการตกแต่งกันชนให้ดูสปอร์ต แต่คุมดีไซน์ และเอกลักษณ์ไว้รอบคัน
ด้านข้างยังคงเส้นสายที่ต่อเนื่อง ลากผ่านประตูหน้าไปถึงประตูหลัง มีการตกแต่งชายล่างขอบประตูเลือกใช้วัสดุปกป้องกันริ้วรอยขีดข่วน เช่นเดียวกับซุ้มล้อสีเทา กระจกมองข้างมาพร้อมไฟเลี้ยวและกล้องตรวจสอบมุมอับ แต่ถ้าเป็นเวอร์ชันเต็มในต่างประเทศ มาพร้อมกับตัวเลือก Digital Side Mirror (DSM) ซึ่งแทนที่กระจกมองข้างแบบเดิมๆ ด้วยกล้องและหน้าจอ OLED ส่วนมือจับประตูแบบพับเก็บได้ ช่วยให้รถดูสวยงามเกลี้ยงเกลา (บ้านเราเมืองร้อนหมดปัญหาหิมะเกาะ เปิดไม่ออก) กรอบหน้าต่างด้านข้างใช้วัสดุแบบกลอสซี่แบล็คดำเงา เสริมความพรีเมียม
ความสูงจากใต้ท้องรถ 160 มม. ไม่เตี้ย…แต่ก็ไม่สูง กำลังพอดี ผ่านอุปสรรคบนท้องถนนได้สบาย เสาซีที่ดูค่อนข้างใหญ่โต ช่วยให้โครงสร้างรถดูแข็งแกร่ง หล่อไม่เบากับล้อขนาด 20 นิ้ว ในรุ่นท็อป รุ่นรองเป็นล้อขอบ 19 นิ้ว ส่วนหลังคาดีไซน์เอกลักษณ์แบบ Vision Roof เพิ่มความโปร่งสบายด้วยแผงกระจกขนาดใหญ่แผ่นเดียว ไม่มีสิ่งใดปิดกั้น แถมเปิด-ปิด ด้วยไฟฟ้า มีม่านบังแดดที่ออกแบบให้เปิด-ปิด ได้รวดเร็วดี
มุมมอง 45 องศา ด้านหลังน่าจะสวยสุด จะเห็นเส้นซุ้มล้อที่ชัดเจนขึ้น รวมทั้งการตัดเส้นแบบไดมอนด์คัทรอบคัน มีเสารับส่งสัญญาณวิทยุแบบครีบฉลามสีดำ สปอยเลอร์หลังขนาดใหญ่แนบเนียนไปกับตัวรถพร้อมไฟเบรกดวงที่สาม กระจกหลังบริเวณฝาท้ายไม่มีใบปัดน้ำฝนให้ ไฟท้ายแนวยาวลากจากซ้ายไปขวา เน้นงานดีไซน์พิกเซลเป็นช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่แปลกตาคือกันชนหลัง ดีไซน์ให้มีเลเยอร์เยอะไปหมด เช่นกันชายล่างกันชนใช้สีเทา ให้ดูเหมือนว่ามีหลายชิ้น มาพร้อมเซ็นเซอร์ถอย 4 จุด ลองยืนดูภาพรวมไกลๆ ไม่เห็นแบตเตอรี่โผล่ออกมาทักทายใต้ท้องรถ ค่อยโล่งใจเวลาขับขึ้นเยอะ
ภายนอกมี 3 สีให้เลือก ซึ่งจะได้สีภายในแตกต่างกันไป เช่น สีทอง Gravity Gold Matte ได้ภายในสี Dark Pebble Grey, ส่วนสีขาว Atlas White ได้ภายในสี Obsidian Black และสีดำ Phantom Black Pearl ภายในสี Obsidian Black
ภายในเน้นฟังก์ชันใช้งานได้จริง
มิติรถมีขนาด 4,635 x 1,890 x 1,605 มม. ตัวเลขชุดนี้ดูภายนอกแทบไม่น่าเชื่อ เพราะมันดูคล่องตัวพอสมควร ด้วยโครงสร้างรถที่สร้างใหม่เพื่อใช้กับรถยนต์ไฟฟ้าของฮุนได เน้นเรื่องพื้นที่การเก็บแบตเตอรี่ และยังมีผลกับฐานล้อที่ยาวพอสมควร 3,000 มม. ซึ่งตัวเลขแทบจะแข่งกับรถขนาดใหญ่ๆ ได้เลย ส่งผลให้มีพื้นที่ห้องโดยสารที่กว้างขวาง สะดวกสบาย และมีพื้นที่เก็บสัมภาระจุใจสายแบก
เข้ามาในห้องโดยสาร เบาะนั่งสบายมาก หัวเบาะไม่ดัน ขับทางไกลเพลิดเพลินเลย แถมรู้สึกได้ว่าพื้นที่ระยะทางระหว่างคนขับและคนนั่งข้างมีเยอะพอสมควร รถคันนี้ใช้วัสดุบุนุ่มเยอะพอตัว จัดว่าพรีเมียมระดับหนึ่ง แต่ดันชูคอนเซปต์รักษ์สิ่งแวดล้อม เลือกใช้วัสดุธรรมชาติบางจุด เช่น พรม ปุ่มแตร หรือฝาบุเพดาน บางคนไม่ชอบรถราคาสองล้านกว่า อยากได้ของหรูหรามากกว่า
พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชัน ทรงตัดหรือ D จับถนัดมือแบบสองก้อน ตรงปุ่มแตรไม่ใช้โลโก้แบรนด์มานำเสนอ แต่ใช้จุด 4 จุดแทน ซึ่งต้องมานั่งตีความอีกยาว ปุ่มด้านซ้ายสำหรับควบคุมเครื่องเสียง ด้านล่างกลมๆ ไว้ปรับโหมดการขับขี่ ส่วนปุ่มด้านขวาไว้ควบคุมฟังก์ชันการขับขี่ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cuise Control with Stop and Go)
ส่วนด้านหลังพวงมาลัยมีแป้นใช้สำหรับเปลี่ยนระดับการเก็บพลังงานไฟฟ้า (Regenerative Paddle Shifters) มีให้เลือก 4 ระดับ น้อยสุดคือ 1 หรือไม่ดึงเลย ส่วนระดับมากสุด 4 คันเร่งจะเปลี่ยนเป็นแบบ One Paddle ได้ด้วย ใช้เวลาขับคนเดียวเหมาะกว่า รถดึงเยอะ คนนั่งไม่สบายตัว ส่วนถ้ามีผู้โดยสารปกติ ใช้ระดับสองน่าจะเหมาะ เพื่อความสบายในการโดยสาร ส่วนคันเกียร์มาอยู่บริเวณคอพวงมาลัยเป็นก้านเหมือนไฟเลี้ยว ใช้ปรับเดินหน้า ถอยหลัง และกดบริเวณหัวก้านเพื่อเข้าเกียร์สำหรับจอด
ส่วนที่ชอบคือยังมีปุ่ม Push Start Button กันสับสน เพราะรถไฟฟ้าบางรุ่นแค่พกกุญแจก้าวเข้ามา เหยียบคันเร่งก็ไปได้เลย หรือบางคันต้องคาดเข็มขัดถึงจะขับได้ แบบนี้ป้องกันอันตรายที่ไม่คาดคิดได้ดีกว่า และเข้าใจได้ง่ายกว่าสำหรับผู้ใหญ่ เช่นกันกับการที่ยังใช้แผงควบคุมระบบปรับอากาศอัตโนมัติ (แยกซ้าย-ขวา) ไม่เอาไปรวมไว้บนหน้าจอ ทำให้ใช้งานง่าย และไม่เสียสมาธิขณะขับขี่ เวลาต้องการปรับการทำงาน
หน้าจอมาตรวัดแสดงผลได้ชัดเจน ออกแบบได้อย่างสวยงาม เข้าใจง่าย อยู่ภายใต้กระจกแผ่นยาว รวมทั้งหน้าจอเครื่องเสียงแบบสัมผัส ขนาด 12.3 นิ้ว ระบบเสียงคุณภาพพรีเมียมจาก BOSE ใส่ลำโพง 8 จุด มีเฉพาะในรุ่น First Edition ซึ่งในทุกรุ่นมีเพลงติดตั้งในรถไว้สร้างบรรยากาศขณะขับขี่ให้มาด้วย ทั้งเสียงธรรมชาติ เสียงฝนตก ฯลฯ ส่วนสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ครบครัน อาทิ แท่นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย, ช่องเชื่อมต่อ USB เป็นแบบ Type A ทั้ง 4 จุด
ด้วยแนวคิดให้ความสบายสูงสุดเป็นที่ตั้ง IONIQ 5 จึงใช้เบาะนั่ง Zero Gravity Seat เพื่อมอบความผ่อนคลายระดับพรีเมียม โดยเบาะคู่หน้าสามารถปรับองศาได้อย่างเหมาะสม ปรับไฟฟ้าพร้อมที่ดันหลังคู่หน้า มีระบบอุ่นเบาะ และเป่าลมเย็น เพื่อมอบประสบการณ์ผ่อนคลายให้กับผู้โดยสาร
พร้อมคงภาพลักษณ์ที่สวยงาม หรูหรา สามารถปรับเบาะเอนนอน พร้อมปรับเบาะรองน่องฝั่งคนขับ (เหมือนโซฟาตามโรงหนัง) ไว้ใช้เวลานอนรอขณะชาร์จไฟฟ้าได้ โดยการกดปุ่มปรับเบาะค้างสองครั้ง ตัวเบาะจะปรับให้อัตโนมัติ และมีเมมโมรี่ซีทปรับตั้งได้ 2 ปุ่ม
ส่วนที่ชอบที่สุดภายใน คือคอนโซลกลางปรับเลื่อนถอยหลังได้ บริเวณที่วางแขน วางแก้วน้ำ ช่วยให้เราเดินเข้า-ออก จากฝั่งผู้โดยสารไปลงด้านผู้ขับขี่ได้ กรณีจอดเปิดประตูไม่ได้ หรือพื้นเปียกน้ำ ไม่อยากให้รองเท้าเลอะ เป็นต้น และที่สำคัญ เบาะหลังปรับพับได้แบบ 60:40 เกือบเรียบ และพับเลื่อนขึ้นด้านด้านหน้า เพิ่มความจุสัมภาระได้เยอะมาก
ระบบความปลอดภัยมาครบ ขาดแค่ระบบช่วยถอยจอดอัตโนมัติ
ด้านระบบความปลอดภัยพื้นฐาน ติดตั้งถุุงลมนิรภัย 6 ตําแหน่ง (ด้านหน้า x2, ด้านข้าง x2, ม่านถุงลม x2) ระบบเบรก ABS, ระบบควบคุมเสถียรภาพ ESC, ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC (Hill-start Assist Control), ระบบช่วยหยุดรถเมื่อเกิดอุบัติเหตุ Multi-Collision Brake (MCB), ระบบแจ้งเตือนแรงดันลมยาง TPMS, ระบบเซ็นเซอร์กะระยะการเข้าจอด (หน้า-หลัง), ระบบกุญแจ Immobilizer, ชุุดซ่อมยางชั่วคราว (TMK), ระบบ VESS จําลองเสียงเครื่องยนต์เพื่อความปลอดภัย
นอกจากนี้ ยังเพิ่ม Hyundai SmartSense ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Smart Cruise Control with Stop and Go), ระบบเตือนและเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ FCA, ระบบเตือนและเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติที่ทางแยก FCA-JT, ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่เลน LKA, ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่กลางเลน LFA, ระบบช่วยเตือนและเบรกอัตโนมัติขณะถอยรถ RCCA, ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตา BCA, ระบบป้องกันการเปิดประตูเมื่อมีรถวิ่งมาด้านข้าง SEA, ระบบกล้องมองภาพจุดอับสายตา BVM, กล้องมองรอบทิศทาง (Surround View Monitor), ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้า DAW, ถือได้ว่าให้มาครบ ปกป้องได้รอบคันอยู่นะ ทั้งหมดนี้มีให้ในทุกรุ่นย่อย!!!
แบตเตอรี่ 2 ความจุให้เลือก
รุ่น PREMIUM แบตเตอรี่ความจุ 58 kWh กำลังสูงสุด 170 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร มอบอัตราเร่งทันใจจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 8.5 วินาที ทำความเร็วสูงสุดที่ 185 กม./ชม. มีระยะการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าสูงสุด 384 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP
รุ่น First Edition และ Exclusive แบตเตอรี่ความจุ 72.6 kWh กำลังสูงสุด 217 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร มอบอัตราเร่งทันใจจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 7.4 วินาที ทำความเร็วสูงสุดที่ 185 กม./ชม. โดยมีระยะการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าสูงสุด 481 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP
ในส่วนของการชาร์จแบบ CC2 Combo / Type 2 (7-pin) ระยะเวลาในการชาร์จแบบ AC กระแสสลับจาก 0-100% ใช้เวลา 4.59 ชม. ในรุ่น First Edition ส่วนอีกสองรุ่นใช้เวลา 6.09 ชม. การชาร์จแบบกระแสตรง DC 10-80% ใช้เวลา 17.16 นาที รองรับกำลังไฟสูงถึง 350 kW โดยทางฮุนไดได้เรียกว่า Ultra Fast Charge
รถรุ่นนี้ยังรองรับ V2L มีพอร์ตสำหรับชาร์จให้พลังงานไฟฟ้ากับอุปกรณ์ภายนอกได้ 220V / 3.6 kW / 15A เวลาไปแคมปิ้ง ต่ออุปกรณ์ไฟฟ้าพกพา ไม่ว่าจะเป็น ไฟส่องสว่าง พัดลม หมอหุงข้าว เป็นต้น ซึ่งจะมีปลั๊กแถมมาให้ตอนซื้อรถ นอกเหนือจากปลั๊กชาร์จไฟฉุกเฉิน
และหน้าจอรถสามารถตั้งค่าได้ว่าจะปล่อยกระแสไฟจนเหลือลิมิตที่เท่าไร หมดกังวลว่าจะใช้ไฟจนแบตหมด อาทิ ตัดที่ 20% เป็นต้น
เฟิร์สอิมเพรสชัน HYUNDAI IONIQ 5
ช่วงลองขับ ได้สัมผัสถึงความสะดวกสบายในการใช้งาน เป็นรถที่ทำความคุ้นเคยได้ง่าย เพียงแค่มองผ่านๆ คุณจะรู้ได้เลยว่าปุ่มไหนไว้ทำอะไร จัดเลย์เอาต์ได้เข้าใจง่าย แถมงานภายในไม่จำเจ มีลูกเล่นเยอะ เข้าใจได้ถึงสิ่งที่ทีมงานฮุนไดตั้งใจทำออกมา ไม่เหมือนรถจีน ที่เหมือนกันหมด ภายในโล่งๆ มีแค่หน้าจอ…
โดยรวมเป็นรถที่ใช้งานง่ายสำหรับทุกคน หมดกังวลตามแบบฉบับรถไฟฟ้าสำหรับมือใหม่ มีความนุ่มนวลในการขับขี่ ไม่กระชากแบบดุดันอันตราย ที่สำคัญ คนนั่งในทุกตำแหน่งที่นั่งบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า นั่งสบาย ทัศนวิสัยต่างๆ ดีมาก มุมอับไม่มีให้เห็น ลองขับในโหมดเริ่มต้นที่ Eco รู้สึกถึงน้ำหนักพวงมาลัยที่ให้ความเบาสบาย เป็นโหมดที่เน้นความประหยัด รถจะช่วยควบคุมคันเร่ง เกียร์ โหมดนี้คนนั่งน่าจะสบายสุด แต่คนขับไม่สนุกเท่าไร
เปลี่ยนมาเป็น Normal หน้าจอเปลี่ยนสีตามโหมดที่ปรับ รู้สึกได้ถึงความทันใจจากอัตราเร่งที่ตามเท้ามากขึ้น ระหว่างนี้ลองกดปุ่ม “รีเจน” ที่แพดเดิลชิฟต์ ระดับเริ่มต้นขับสบายเหมือนรถน้ำมัน ดึงน้อยแต่เก็บไฟได้น้อย ลองมาระดับสาม แทบจะไม่ต้องเบรกกันเยอะ ตัวรถช่วยชะลอแบบเอ็นจิ้นเบรก เวลาถอนคันเร่งสะดวกดี แต่ผู้โดยสารเริ่มดมยาดมจากอาการดึงหน้าของรถ ส่วนระดับ 4 คนขับโคตรสนุก (เอาไว้ใช้คนเดียวเหมาะสุด)
เปลี่ยนมาโหมด Sport อัตราเร่งดีกว่าเดิมเยอะ แต่ยังไม่กระชากหลังติดเบาะเท่าไร เรียกว่ามีกำลังให้ใช้งานได้ทันใจละกัน พวงมาลัยสปอร์ตขึ้น แต่ช่วงล่างนุ่มๆ แม้ล้ออัลลอยขนาดใหญ่ที่คิดว่าจะกระด้าง แต่ไม่เป็นแบบนั้นเลย เวลาโยนเปลี่ยนเลนกะทันหัน ตัวรถมีอาการโคลงๆ ของบอดี้เล็กน้อย แต่เอาอยู่สบายๆ เฟิร์มดี โดยรวมออกไปทางนุ่มๆ สายขับชิวๆ เน้นกินลมชมวิวจะชอบมาก ยิ่งมีผู้โดยสารสูงอายุ นั่งได้เพลิดเพลินเลยละ
เวลาเปิดไฟเลี้ยวมีกล้องแสดงภาพบนมาตรวัดได้ แต่แปลกใจ เพราะมันใช้งานได้จริง เป็นมุมมองด้านข้างที่เชื่อใจได้ และตัดสินใจได้ในเสี้ยววินาทีว่าจะเปลี่ยนเลนหรือไม่ “ภาพชัด มุมดี” ตำแหน่งเกียร์ที่บอกอยู่ตรงก้านพวงมาลัย “ชอบนะ” เพราะสมัยนี้รถรุ่นใหม่อะไรๆ ก็เป็นปุ่มกดบนคอนโซลกลาง บางทีมีลูกหลานหรือเด็กเล็กเผลอไปกดเล่นโดยไม่ตั้งใจ อยู่มุมนี้ปลอดภัยกับการใช้งานดี แม้ตัวรถจะไม่มีเสียงอะไร แต่เห็นว่ามีเสียงสังเคราะห์ให้ฟังได้ด้วย เป็นรถที่เก็บเสียงได้ดี ทั้งช่วงล่าง เสียงล้อยางไม่ค่อยมีเล็ดลอดมาให้ได้ยิน ยิ่งเมื่อวิ่งด้วยความเร็วเกิน 120 เสียงลมปะทะแทบไม่มี
ส่วนตอนรับรถ สิ่งแรกคือตรวจเช็กสถานะแบตเตอรี่ก่อน พบว่าได้รถที่มีแบตเตอรี่ 79% กับระยะทางวิ่งได้ 370 กิโลเมตร (ถ้าจำไม่ผิด) พิจารณาแล้ว ขับไป-กลับ อยุธยา ได้สบาย ระยะทางร่วม 200 กิโลเมตร มีออกนอกเส้นทางบ้างตามภาษา
ซึ่งก็แอบลุ้น เพราะตอนอยู่อยุธยาขับเที่ยวไปมาจนเหลือแบต 34% หน้าจอขึ้นว่าวิ่งได้อีก 140 กม. จนถึงกรุงเทพฯแต่สิ่งที่พบคือการวิ่งด้วยความเร็วคงที่ มีถอนคันเร่งให้รีเจนบ้าง แบตไม่ค่อยลดลง เหมือนอาการ “ไมล์แข็ง” ทั้งๆ ที่ขับไปหลายสิบกิโลเมตร กว่าจะลดลงมาสักกิโลเมตรนานอยู่ ไม่ต้องลุ้นว่าจะกลับได้ไหม สุดท้ายถึงกรุงเทพฯ ยังเหลืออีก 50 กิโลเมตร เฉยเลย!!!!
บทสรุป HYUNDAI IONIQ 5 เลือกเล่นรุ่นไหน
จุดนี้คิดนาน ว่าถ้าซื้อจะเลือกเล่นรุ่นไหน จาก 3 รุ่นย่อย เพราะราคารุ่น First Edition 2.399 ล้าน มีส่วนต่างจากรุ่นรองเยอะมาก ส่วนใหญ่คนซื้อรถไฟฟ้าดูความจุแบตเตอรี่เป็นหลัก ฮุนไดเอง ตามสเปกที่ให้มา ไล่เรียงจากถูกสุดไปแพง คุณจะได้แบต รุ่น Premium วิ่งได้ 384 กม. รุ่น Exclusive วิ่งได้ 481 กม. และรุ่น First Edition วิ่งได้ 451 กม. ตามมาตรฐาน WLTP แบบนี้เข้าใจง่ายเลย ว่าเลือกเล่นรุ่น Exclusive คุ้มสุด แม้จะตัดออปชันอย่างกระจกหลังคา Vision Roof, ระบบปรับเบาะอุ่นเย็น, ระบบบันทึกตำแหน่งที่นั่งออกไป รวมทั้งล้ออัลลอยได้เป็น 19 นิ้วแทน พวกนี้ไม่ค่อยได้ใช้อะไรกันมาก ประหยัดไปได้เยอะนะ
เรื่อง : กองบรรณาธิการ
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th