CEO TOYOTA เผย 8 ปีข้างหน้า ยานยนต์ไฟฟ้าต้องครบ 30 รุ่น
มร. โนริอากิ ยามาชิตะ CEO TOYOTA เผยกลยุทธ์ยานยนต์ไฟฟ้า ตอกย้ำการเป็นผู้นำความเป็นกลางทางคาร์บอน คาดแผนระยะสั้น 8 ปีข้างหน้า ต้องครบ 30 รุ่น
แม้ว่าสถาการณ์โควิด-19 ในประเทศไทยจะยังคงต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง แต่ทางบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ยังคงเดินหน้าตามความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ ในการปูกลยุทธ์ในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน เพื่อให้ผลการดำเนินการเป็นไปตามแผน ทั้งแผนระยะสั้น และระยะยาว
หลังจากที่โตโยต้าได้แถลงสถิติการจำหน่ายรถยนต์ปี 2564 พร้อมคาดการณ์ตลาดรถยนต์ไทยปี 2565 เมื่อช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดย มร. โนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เผยถึงกลยุทธ์ระยะสั้นเกี่ยวกับความเป็นกลางทางคาร์บอน ในอีก 8 ปีข้างหน้าไว้ว่า
“โตโยต้าจะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ครบทั้ง 30 รุ่น ภายในปี 2573 หรือในอีก 8 ปีข้างหน้าโดยรวมไปถึงรถซีรีส์ bZ จำนวน 5 โมเดล ซึ่งมาพร้อมกับแพลตฟอร์มที่พัฒนาขึ้นมาสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่โดยเฉพาะ โตโยต้ามุ่งมั่นที่จะขายรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ให้ได้ทั้งสิ้น 3.5 ล้านคัน ภายในปี 2573 ทั้งนี้ โตโยต้าทุ่มเงินลงทุน 1.2 ล้านล้านบาทเพื่อพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ โดยที่เงิน 0.6 ล้านล้านบาทนั้นเป็นการลงทุนด้านแบตเตอรี่ และยังลงทุนอีก 1.2 ล้านล้านบาท สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแบบไฮบริด รถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริด และรถยนต์ไฟฟ้าแบบเซลล์เชื้อเพลิง ภายในปี 2573”
ส่วนแผนระยะยาว ในอีก 28 ปีข้างหน้า มร. ยามาชิตะ เผยว่า
“โตโยต้ามุ่งมั่นที่จะสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอนให้สำเร็จภายในปี 2593 หรือในอีก 28 ปีข้างหน้า เพราะเรายังเชื่อมั่นว่าหากเราสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอนได้สำเร็จ ก็แปลว่าเราได้สร้างโลกใบที่ทุกคนที่อาศัยอยู่นั้นสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างมีความสุข เราอยากมีส่วนช่วยสร้างโลกแบบนั้นให้เกิดขึ้นจริง อย่างไรก็ตาม เราอาศัยอยู่บนโลกที่มีความแตกต่างหลากหลาย อีกทั้งยังอยู่ในยุคสมัยที่คาดเดาอนาคตได้ยาก
ดังนั้นการตอบโจทย์ความต้องการของทุกคนให้ได้อย่างครบถ้วนด้วยตัวเลือกที่มีเพียงหนึ่งเดียวนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่าย โตโยต้าจึงมุ่งเตรียมความพร้อมเพื่อนำเสนอตัวเลือกให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั่วโลก ด้วยแนวทางนี้ทำให้โตโยต้าสามารถบรรลุเป้าหมายของเราในการสร้าง ‘รถยนต์ที่มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนและลดการปล่อยคาร์บอน’ และสอดคล้องกับจุดยืนในการสร้างสรรค์ ‘การขับเคลื่อนสำหรับทุกคน’ และ ‘ไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง’”
ย้อนไปเมื่อ 13 ปีก่อน โตโยต้า คือผู้ริเริ่มยานยนต์ไฟฟ้า
“ในประเทศไทยนั้น โตโยต้าเป็นผู้ริเริ่มแนะนำเทคโนโลยีด้านยานยนต์ไฟฟ้ามาตั้งแต่ปี 2552 โดยครองส่วนแบ่งการตลาดอยู่ถึง 80% และมีการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าของโตโยต้ามากที่สุดในภูมิภาคอาเซียน เราสามารถลดคาร์บอนไดออกไซด์ลงไปได้ 148,000 ตัน ซึ่งเท่ากับการปลูกต้นไม้ 2 ล้านต้น
อีกทั้งในปีที่แล้ว ยังได้ทำการแนะนำ เลกซัส UX300e ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ และ เลกซัส NX450h+ ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริดออกมาให้สาธารณชนได้สัมผัสอีกด้วย” มร. ยามาชิตะ กล่าว
bZ4X กับหน้าที่รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของซีรีส์ bZ ถือเป็นการตอกย้ำกลยุทธ์ความเป็นกลางทางคาร์บอนของโตโยต้าอย่างแท้จริง
“เรามีแผนที่จะทำการแนะนำ bZ4X ซึ่งถือเป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของซีรีส์ bZ ออกสู่ตลาดภายในปีนี้ ยิ่งไปกว่านั้น เราจะพยายามส่งเสริมให้มีการใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศให้มากยิ่งขึ้น เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตหลักสำหรับการประกอบรถยนต์ไฟฟ้าอีกหลากหลายรุ่นต่อไปในอนาคต ซึ่งความมุ่งมั่นดังกล่าวสอดคล้องกับแนวทางของภาครัฐที่มุ่งเดินหน้าส่งเสริมการใช้พลังงานไฟฟ้า การพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว ตลอดจนการบรรลุเป้าหมายการลดคาร์บอนให้เป็นศูนย์
นอกจากนี้ เรายังได้มีการประสานความร่วมมือกับองค์กรพันธมิตรที่มีเป้าหมายเดียวกัน เพื่อพยายามผลักดันการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนโดยครอบคลุม ‘ตลอดทั้งวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์’ ยกตัวอย่างเช่น ‘โครงการพัฒนาเมืองต้นแบบที่ยั่งยืนโดยปราศจากมลภาวะ’ ซึ่งเราจะสาธิตให้เห็นถึงการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าหลากหลายประเภทในการเดินทางคมนาคม ภายในเมืองพัทยา และเราได้เริ่มต้นศึกษาความเป็นไปได้ในการริเริ่มใช้โครงสร้างพื้นฐานพลังงานสะอาด เช่น ไฮโดรเจน พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานชีวภาพ ใน ‘นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด’ อีกด้วย” มร. ยามาชิตะ กล่าวทิ้งท้าย
เรื่อง : กองบรรณาธิการ
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสารยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ได้ที่ www.grandprix.co.th