Interview: ‘ฟรานเชสโก้ สคาร์ดาโอนี่’ ชายผู้กุมบังเหียนกระทิงพยศ Lamborghini ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
สถานการณ์โควิด-19 กระทบกับผู้ผลิตซูเปอร์คาร์ชั้นนำของโลกอย่าง Lamborghini หรือไม่? เมื่อคุณยอมจ่ายเงินเกือบๆ 90 ล้านบาท เพื่อเป็นเจ้าของรถไฮเปอร์คาร์ Essenza SCV12 ที่มีเพียง 40 คันในโลกจะได้รับความเอ็กซ์คลูซีฟขนาดไหน? และหลังจากการอำลาขุมกำลัง V12 ยุคใหม่ของ Lamborghini จะก้าวไปสู่ทิศทางใด?
ข้อสงสัยทั้งหมดจะได้รับคำตอบจากฟรานเชสโก้ สคาร์ดาโอนี่ ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บริษัทออโตโมบิลี ลัมโบร์กินี (Francesco Scardaoni, Region Director Automobili Lamborghini Asia Pacific at Automobili Lamborghini S.p.A.) หลังจากเขาเปิดโอกาสให้ Grand Prix Online ส่งคำถามข้ามประเทศเพื่อบอกเล่าถึงความสำเร็จ และอนาคตของ Lamborghini ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
Q: ในช่วงเวลากว่า 1 ปีที่ผ่านมา Lamborghini เผชิญผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอย่างไร?
สคาร์ดาโอนี่: “ซูเปอร์สปอร์ตคาร์ Lamborghini ดึงดูดลูกค้ากลุ่มที่มีรายได้ และกำลังซื้อสูง เราได้เห็นความสนใจ, ความหลงใหล และความต้องการของลูกค้ากลุ่มนี้อย่างต่อเนื่อง Lamborghini ยังคงได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าเจ้าของรถ Lamborghini รวมถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง”
“ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ตั้งแต่ปี 2020 Lamborghini ได้ปรับกลยุทธ์ทางการตลาดให้มีความยืดหยุ่น และคล่องตัวในการเข้าถึงลูกค้าผ่านช่องทางดิจิทัลมากขึ้น ซึ่งมีส่วนช่วยให้ตัวเลขยอดจองในปีที่แล้วมีความแข็งแกร่ง และทำให้เราส่งมอบรถยนต์ Lamborghini ในฝันให้กับลูกค้าของเราในปี 2021 ด้วยยอดขายที่ทำลายสถิติในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2021 เรามั่นใจว่า Lamborghini จะเริ่มต้นปี 2022 ด้วยแนวโน้มที่สดใสจากความต้องการของลูกค้ากลุ่มนี้มีความเชื่อมโยงกับปัจจัยทางด้านอารมณ์เป็นอย่างมาก ดังนั้นเรายังคงสร้างสรรค์นวัตกรรม และนำเสนอรถซูเปอร์สปอร์ตคาร์ที่มอบประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าอารมณ์อย่างเต็มเปี่ยม”
“ในขณะเดียวกันเมื่อสถานการณ์โควิด-19 เริ่มขึ้นในประเทศไทย Lamborghini Bangkok ได้ดำเนินมาตรการด้านความปลอดภัย และสุขอนามัยอย่างครบถ้วนอย่างรวดเร็ว เช่น การตั้งจุดคัดกรองพนักงาน และลูกค้าเพื่อวัดอุณหภูมิก่อนเข้าโชว์รูม การทำความสะอาดอุปกรณ์ต่างๆ ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อบ่อยครั้งเพิ่มขึ้น การตั้งจุดแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อทั่วทั้งโชว์รูม และพื้นที่เวิร์คช็อป การสวมใส่หน้ากากอนามัย”
“นอกจากนี้รถยนต์ที่เข้ารับบริการจะมีการพ่นสเปรย์ฆ่าเชื้อที่ไม่ทำอันตรายกับวัสดุภายในรถ ทั้งก่อนเข้ารับบริการ และก่อนส่งมอบ โดยพนักงานที่ดูแลรถลูกค้า และรถทดลองขับจะต้องใส่ถุงมือก่อนสัมผัสรถทุกครั้ง ตามนโยบายโครงการ Aftersales Customer Care ที่ดูแลรถ Lamborghini ทุกคันอย่างมืออาชีพ โดยรวมแล้วเราได้รับผลตอบรับเชิงบวกมากมายจากลูกค้าชาวไทยของเรา ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดของ Lamborghini ทั่วโลกเช่นกัน”
Q: เมื่อไม่นานนี้ Lamborghini Essenza SCV12 ถูกส่งมาจัดแสดงที่โชว์รูมลัมโบร์กินี กรุงเทพ ด้วยความเป็นรถไฮเปอร์คาร์รุ่นพิเศษที่ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 40 คันทั่วโลก อยากให้คุณช่วยเล่าถึงความพิเศษของเอ็กซ์คลูซีฟ คลับ และโปรแกรมพิเศษที่เจ้าของรถจะได้มีโอกาสขับ Essenza SCV12 ในสนามแข่งที่มีชื่อเสียงระดับโลก?
สคาร์ดาโอนี่: “ผู้ที่ครอบครองรถ Essenza SCV12 จะได้เป็นส่วนหนึ่งของคลับสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ซึ่งจะได้รับเอกสิทธิ์พิเศษในการเข้าร่วมโปรแกรมการขับขี่รถในสนามแข่งขันที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก รวมถึงได้รับบริการจัดเก็บรถในโรงเก็บรถที่สร้างขึ้นในซานตากาต้า โบโลญเนเซ่ ประเทศอิตาลี โดยรถแต่ละคันนั้นจะได้รับการดูแลพิเศษ และมีโรงจอดรถส่วนตัวโดยเฉพาะ ซึ่งมีเว็บแคมให้ท่านเจ้าของรถสามารถดูตัวรถผ่านแอพพลิเคชั่นได้ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังมี Lamborghini Squadra Corse Drivers Lab ซึ่งดูแลโดย Tecnobody เพื่อเทรนนิ่งการเตรียมความพร้อมร่างกายให้แก่ท่านเจ้าของรถเหมือนโปรแกรมสำหรับนักแข่ง”
“สำหรับโปรแกรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่จะจัดขึ้นในสนามแข่งขัน FIA Grade 1 Homologated เป็นครั้งแรกในปี 2021 ด้วยคอนเซ็ปต์ ‘Arrive and Drive’ ในหลายๆ สนาม โดยทีม Lamborghini Squadra Corse จะสนับสนุนทีมงานเทคนิคคัล สต๊าฟฟ์ โดยเอมานูเอเล่ ปีร์โร่ แชมป์ 5 สมัยของการแข่งขัน 24 Hours of Le Mans และผู้ดูแลการเรียนการสอนขับรถสำหรับลูกค้าที่ดีเยี่ยม นอกจากนี้มาร์โก มาเปลลี่ นักแข่งจากทีมโรงงาน ดูแลทางด้านเทคนิคเคิลอีกด้วย”
“นอกจากนี้เจ้าของรถ Essenza SCV12 จะได้เพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การขับขี่ในสนามที่ผ่าน FIA ตามความต้องการ โดย Squadra Corse จะนำเสนอโปรแกรมการขับขี่ที่ตรงตามความต้องการพร้อมการจัดการทั้งหมดตั้งแต่ด้านโลจิสติกส์, ทีมวิศวกรเต็มรูปแบบ และการดูแลต้อนรับจาก Lamborghini”
Q: คุณเพิ่งประกาศการผลิตโมเดลเครื่องยนต์ V12 รุ่นสุดท้าย หลังจากนี้ Lamborghini ยุคใหม่จะก้าวไปสู่ทิศทางใด?
สคาร์ดาโอนี่: “เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคมที่ผ่านมา เราได้เปิดตัวรถ Aventador LP 780-4 Ultimae ซึ่งจะเป็นรุ่นสุดท้ายของรถเครื่องยนต์ V12 ที่เป็นแบบไร้ระบบอัดอากาศ (Naturally-Aspirated) ที่มีชื่อเสียงของ Lamborghini ก่อนที่จะถูกพัฒนาไปสู่ระบบไฮบริดในปี 2023 สำหรับ Direzione Cor Tauri ซึ่งเป็นแผนงานสำหรับการใช้พลังงานไฟฟ้าของ Lamborghini เราจะมุ่งเน้นไปที่ระยะที่ 2–การพัฒนาไปสู่ระบบไฮบริด และระยะที่ 3 ในช่วงครึ่งหลังของทศวรรษ 2020”
“โดยระยะที่ 2 การพัฒนาไปสู่ระบบไฮบริด (ภายในสิ้นปี 2024) โดยในปี 2023 Lamborghini จะเปิดตัวรถไฮบริดรุ่นแรก และภายในสิ้นปี 2024 Lamborghini ทุกรุ่นจะมีการใช้พลังงานไฟฟ้าร่วมกับเครื่องยนต์น้ำมัน ในช่วงการเปลี่ยนแปลงพัฒนาสู่เทคโนโลยีใหม่นี้ เราจะยังคงมุ่งเน้นไปที่สมรรถนะ และประสบการณ์การขับขี่ของ Lamborghini อย่างแท้จริง โดยเป้าหมายภายในของบริษัทคือการลดการปล่อยก๊าซ CO2 จากรถยนต์ของ Lamborghini ลงมา 50 เปอร์เซ็นต์ภายในต้นปี 2025”
“การเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงพัฒนาสู่รถไฮบริดจะเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ โดยจะมีการจัดสรรงบประมาณมากกว่า 1.5 พันล้านยูโร (ราว 5.8 หมื่นล้านบาท) ตลอดระยะเวลา 4 ปี นับว่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Lamborghini โดยนโยบายนี้สะท้อนถึงความรับผิดชอบ และความทุ่มเทของแบรนด์ในการสร้างสรรค์นวัตกรรมในช่วงการเปลี่ยนแปลงนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลานี้ที่อุตสาหกรรมยานยนต์กำลังเผชิญกับช่วงการเปลี่ยนแปลงอันเนื่องมาจากการใช้พลังงานไฟฟ้า”
“ในระยะที่ 3 Lamborghini ไฟฟ้าเต็มรูปแบบรุ่นแรก ในช่วงครึ่งหลังของทศวรรษนี้ จะเป็นการทุ่มเทให้กับรถยนต์ Lamborghini ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ โดยหัวใจ และความสำคัญของโปรเจ็กต์ Cor Tauri คือดีเอ็นเอของแบรนด์ และความสามารถที่จะเปลี่ยนความท้าทายให้เป็นโอกาสผ่านนวัตกรรมทางเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาสมรรถนะ และขับเคลื่อนตอบสนองทางด้านอารมณ์ที่เหนือกว่า แต่อยู่ภายใต้ข้อกำหนดการปล่อยไอเสีย CO2 ที่เข้มงวดมากขึ้น ถือเป็นการก้าวสู่การเดินทางอันท้าทายของ Lamborghini ครั้งใหม่ โดยยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ตัวตนของแบรนด์เสมอ”
Q: คำถามสุดท้าย หลังจากความสำเร็จของ Urus เอสยูวีรุ่นแรกของ Lamborghini คุณมองว่าตลาดลักชัวรี่เอสยูวีในเอเชีย-แปซิฟิก มีศักยภาพในระดับใด?
สคาร์ดาโอนี่: “Urus ซูเปอร์เอสยูวีของเรา ครองตำแหน่งรถรุ่นที่มียอดขายสูงสุด (มกราคม-มิถุนายน 2021 : 2,796 คัน เพิ่มขึ้น 35%) ด้วยการผสมผสานระหว่างสมรรถนะขั้นสูงสุดเข้ากับความสามารถรอบด้านที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร หลังจากเปิดตัวสู่ตลาดต่างประเทศเพียง 3 ปี Lamborghini Urus มียอดการผลิตสูงถึง 15,000 คัน โดยทำลายสถิติการผลิตรถยนต์รุ่นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของบริษัทในระยะเวลาอันสั้นที่สุดนับตั้งแต่เปิดตัว”
“Urus มีส่วนเพิ่มสัดส่วนยอดขายโดยรวมของ Automobili Lamborghini เป็นอย่างมาก นับตั้งแต่เปิดตัวในเดือนธันวาคม 2017 ส่งผลให้ยอดขายรวมของ Lamborghini เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าในปี 2019 ซึ่งเป็นปีแรกที่เริ่มต้นขายอย่างเป็นทางการ โดยประสิทธิภาพที่เหนือชั้น และความสามารถรอบด้าน นับเป็นโมเดลที่ขายดีที่สุดของ Lamborghini ในปัจจุบัน รวมทั้งแสดงให้เห็นว่าความต้องการ และศักยภาพของตลาดรถลักชัวรี่เอสยูวียังคงแข็งแกร่ง ไม่ใช่เพียงแต่ในเอเชีย-แปซิฟิกเท่านั้นแต่หมายรวมทั่วโลกด้วย นอกจากนี้รถกลุ่มซูเปอร์เอสยูวียังคงเติบโตโดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ดังนั้นเราจึงเห็นศักยภาพอีกมากมาย”
เรื่อง: พูนทวี สุวัตถิกุล
ขอบคุณข้อมูล: เรนาสโซ มอเตอร์/Automobili Lamborghini Asia Pacific
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th