iPhone 14 เพิ่มฟีเจอร์ Crash Detection ตรวจจับอุบัติเหตุรถชน
iPhone 14 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมแนะนำฟีเจอร์ใหม่ล่าสุด Crash Detection การตรวจจับอุบัติเหตุรถชนรุนแรง โดยสามารถวัดแรง G-force ได้สูงสุดถึง 256 G และมีระบบโทรติดต่อบริการฉุกเฉินอัตโนมัติเมื่อผู้ใช้หมดสติหรือไม่สามารถหยิบ iPhone หรือ Apple Watch ขึ้นมาโทรแจ้งขอความช่วยเหลือ โดยมี ราคา เริ่มต้น 32,900 บาท
Apple บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลก เปิดตัว iPhone 14 สมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดที่อัพเกรดมาอย่างสุดๆ ไม่ว่าจะเป็นชิพใหม่ A16 Bionic (รุ่น Pro), ความคมชัดของกล้องระดับ 48 MP (รุ่น Pro) และฟีเจอร์ล้ำๆ โดยรวมถึง Crash Detection ระบบความปลอดภัยล่าสุดที่สามารถตรวจจับว่าเจ้าของ ไอโฟน 14 กำลังประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์รุนแรง และจะโทรแจ้งหน่วยฉุกเฉินอัตโนมัติ
Next-Gen Apple CarPlay 14 ค่ายรถพร้อมอัพเกรด เปิดใช้งานปลายปี 2023
ตามข้อมูลอย่างเป็นทางการของ Apple ระบุว่า กลุ่มผลิตภัณฑ์ iPhone 14 ทั้งหมดมาพร้อมคุณสมบัติด้านความปลอดภัยสุดล้ำที่สามารถให้ความช่วยเหลือฉุกเฉินในเวลาที่สำคัญที่สุด ด้วยอุปกรณ์ตรวจจับการเคลื่อนไหวแบบ Dual-core ใหม่ที่สามารถตรวจวัดแรง g ได้สูงสุดถึง 256 พร้อมด้วยไจโรสโคปที่มีช่วงไดนามิกสูง
ทำให้ตอนนี้คุณสมบัติการตรวจจับการชนกันใน iPhone สามารถตรวจจับเหตุรถชนรุนแรง และโทรติดต่อบริการฉุกเฉินได้โดยอัตโนมัติเมื่อผู้ใช้หมดสติหรือไม่สามารถหยิบ iPhone ขึ้นมาเพื่อโทรขอความช่วยเหลือ คุณสมบัติเหล่านี้พัฒนาขึ้นโดยอาศัยส่วนประกอบที่มีอยู่เดิมอย่างบารอมิเตอร์ ซึ่งตอนนี้สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของแรงดันในห้องโดยสาร, GPS ที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงความเร็ว, ไมโครโฟน ซึ่งสามารถตรวจจับเสียงดังที่มักเกิดขึ้นจากรถชนรุนแรงได้ด้วย และยังมีอัลกอริทึมการเคลื่อนไหวสุดล้ำที่ออกแบบโดย Apple ซึ่งพัฒนาขึ้นจากข้อมูลการขับขี่ และการชนกันที่เกิดขึ้นจริงกว่า 1 ล้านชั่วโมง เพื่อให้มีความแม่นยำมากขึ้น
นอกจากนี้เมื่อใช้งานร่วมกับ Apple Watch ที่มีการเปิดตัวใหม่ 3 รุ่นคือ Series 8, SE และ Ultra คุณสมบัติการตรวจจับการชนกันก็สามารถเลือกใช้ประโยชน์จากจุดเด่นเฉพาะตัวของอุปกรณ์ทั้งสองได้อย่างราบรื่นไร้รอยต่อ เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที เช่น เมื่อตรวจพบเหตุรถชนรุนแรง อินเทอร์เฟซการโทรติดต่อบริการฉุกเฉินจะปรากฏบน Apple Watch เพราะมักเป็นอุปกรณ์ที่อยู่ใกล้ตัวผู้ใช้มากที่สุด ขณะเดียวกันก็จะใช้ iPhone ที่อาจอยู่ในระยะใกล้เคียงในการโทรออกเพื่อการเชื่อมต่อสัญญาณที่ดีที่สุด
ข้อมูลเพิ่มเติมของฟีเจอร์ Crash Detection ของ Apple Watch คุณสมบัติการตรวจจับการชนกันเกิดจากการที่ Apple ได้พัฒนาอัลกอริทึมแบบรวมเซ็นเซอร์ขั้นสูงที่ใช้ประโยชน์จากไจโรสโคป และอุปกรณ์ตรวจจับการเคลื่อนไหวใหม่ที่ทรงพลังยิ่งขึ้นบน Apple Watch ซึ่งวันนี้มาพร้อมอุปกรณ์ตรวจจับการเคลื่อนไหวที่มีช่วงไดนามิกสูงที่สุดในบรรดาสมาร์ทวอทช์
อัลกอริทึมนี้สร้างขึ้นจากข้อมูลที่เก็บรวบรวมจากเซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวใหม่เหล่านี้ในห้องปฏิบัติการทดสอบการชนกันของรถยนต์โดยสารทั่วไปโดยบุคลากรผู้เชี่ยวชาญซึ่งมีการจำลองอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจริงๆ อย่างเช่นการชนด้านหน้า การชนท้าย การชนด้านข้าง และการพลิกคว่ำ
นอกจากข้อมูลการเคลื่อนไหวแล้ว คุณสมบัติการตรวจจับการชนกันยังใช้บารอมิเตอร์, GPS และไมโครโฟนบน iPhone มีส่วนในการตรวจจับรูปแบบเฉพาะที่ช่วยให้ระบุได้ว่าเกิดเหตุชนกันอย่างรุนแรงหรือไม่ เมื่อ Apple Watch ตรวจจับได้ว่าเกิดเหตุรถชนอย่างรุนแรง อุปกรณ์จะตรวจสอบกับผู้ใช้ และโทรหาบริการฉุกเฉินหากพวกเขาไม่ตอบสนองหลังจากนับถอยหลังเป็นเวลา 10 วินาที ผู้ปฏิบัติการฉุกเฉินจะได้รับตำแหน่งอุปกรณ์ของผู้ใช้ ซึ่งจะแชร์กับรายชื่อติดต่อฉุกเฉินของผู้ใช้ด้วย
ทั้งหมดนี้ช่วยให้คุณสมบัติการตรวจจับการชนกันบน Apple Watch และ iPhone ทำงานร่วมกันอย่างราบรื่นเพื่อมอบความช่วยเหลือได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อตรวจจับได้ว่าเกิดเหตุรถชนอย่างรุนแรง อินเทอร์เฟซการโทรของบริการฉุกเฉินจะปรากฏบน Apple Watch เนื่องจากเป็นอุปกรณ์ที่มักจะอยู่ใกล้ตัวผู้ใช้มากที่สุด และการโทรจะเกิดขึ้นบน iPhone หากอยู่ในระยะการเชื่อมต่อที่ดีที่สุดที่เป็นไปได้
การตรวจจับการชนกันและ SOS ฉุกเฉินผ่านดาวเทียม
กลุ่มผลิตภัณฑ์ iPhone 14 ยังมาพร้อมคุณสมบัติ SOS ฉุกเฉินผ่านดาวเทียมที่ผสานส่วนประกอบแบบเฉพาะเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับซอฟต์แวร์ เพื่อให้สายอากาศสามารถเชื่อมต่อกับดาวเทียมได้โดยตรง และรองรับการรับส่งข้อความผ่านบริการฉุกเฉินเมื่ออยู่นอกพื้นที่ให้บริการเซลลูลาร์หรือ Wi-Fi
แม้ว่าดาวเทียมเป็นอุปกรณ์ที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา และมีแบนด์วิดท์ต่ำ ดังนั้นอาจใช้เวลาหลายนาทีในการส่งข้อความ แต่เนื่องจากทุกวินาทีมีความสำคัญ คุณสมบัติ SOS ฉุกเฉินผ่านดาวเทียมจึงได้เตรียมคำถามสำคัญบางส่วนเอาไว้ใน iPhone ล่วงหน้าเพื่อประเมินสถานการณ์ของผู้ใช้ และแสดงวิธีหัน iPhone ไปในทิศทางที่สามารถเชื่อมต่อกับดาวเทียม
จากนั้นก็จะส่งต่อแบบสอบถามเบื้องต้นและข้อความติดตามผลไปยังศูนย์บริการที่มีผู้เชี่ยวชาญซึ่งผ่านการฝึกอบรมจาก Apple ที่สามารถโทรติดต่อขอความช่วยเหลือแทนผู้ใช้ เทคโนโลยีอันสุดล้ำดังกล่าวยังอนุญาตให้ผู้ใช้แชร์ตำแหน่งที่ตั้งได้เองผ่านดาวเทียมด้วยแอปค้นหาของฉันเมื่อไม่สามารถเชื่อมต่อเซลลูลาร์หรือ Wi-Fi โดยมอบความอุ่นใจให้ในยามที่ออกเดินป่าหรือตั้งแคมป์ในพื้นที่อับสัญญาณ ทั้งนี้คุณสมบัติ SOS ฉุกเฉินผ่านดาวเทียมจะพร้อมให้บริการแก่ผู้ใช้ในประเทศสหรัฐอเมริกา และแคนาดา ในเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยจะให้บริการฟรีเป็นเวลา 2 ปี
สำหรับรายละเอียด ราคา ของ iPhone 14 ในเว็บไซต์ https://www.apple.com/th ระบุว่ารุ่นเริ่มต้น: 32,900 บาท, iPhone 14 Plus เริ่มต้น 37,900 บาท, iPhone 14 Pro เริ่มต้น 41,900 บาท และ iPhone 14 Pro Max เริ่มต้น 44,900 บาท ผ่านทางที่ apple.com/th/store, ในแอป Apple Store และที่ร้าน Apple Store รวมทั้งตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับอนุญาตของ Apple และผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์อีกหลายราย
เรื่อง: พูนทวี สุวัตถิกุล
ขอบคุณข้อมูล: Apple Newsroom
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th