The History of Success—ย้อนความสำเร็จ Isuzu D-max รถกระบะขวัญใจมหาชน
รถกระบะที่ครองความนิยมของผู้คนทั่วโลกมาเกือบ 2 ทศวรรษ Isuzu D-max จากจุดเริ่มต้นในเจเนอเรชั่นแรกก่อนจะเข้าสู่ยุคแห่ง ‘พลานุภาพ…พลิกโลก’ ในปัจจุบัน
ในปีพ.ศ. 2545 ไม่กี่เดือนก่อนที่ Isuzu จะฉลองการผลิต และจำหน่ายรถปิกอัพครบ 1,000,000 คันในประเทศไทย พวกเขาได้จัดงานแถลงข่าวสำคัญที่เป็นการพลิกโฉมตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ด้วยการเปิดตัวรถปิกอัพสมบูรณ์แบบระดับโลก Isuzu D-Max รอบเวิลด์พรีเมียร์ในวันที่ 16 พฤษภาคม 2545 เพื่อแทนที่รถกระบะ Faster ซึ่งทำตลาดมายาวนานร่วม 30 ปี
เจเนอเรชั่นแรกของ D-max เป็นการร่วมพัฒนากับ General Motors (GM) ผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่แห่งสหรัฐฯ ที่เป็นพันธมิตรกับ Isuzu มายาวนาน โดยมีเป้าหมายในการผลิตรถกระบะที่มีประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันที่ยอดเยี่ยม และความทนทานในการใช้งานหนัก รวมทั้งปรับสไตล์การออกแบบให้ร่วมสมัยดึงดูดใจมากขึ้น เช่นเดียวกับความสะดวกสบายภายในห้องโดยสาร โดยหัวใจสำคัญอย่างเครื่องยนต์จะมีพละกำลังมากขึ้น แต่ต้องปล่อยไอเสียน้อยลง
การเปิดตัวกระบะ D-Max เป็นครั้งแรกของโลกที่กรุงเทพมหานคร จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ท่ามกลางสื่อมวลชนหลายร้อยคนร่วมเป็นสักขีพยาน โดยประเดิมด้วย 3 รุ่นย่อย กระบะตอนเดียว Spark EX, 2 ประตู Spacecab และ 2 ประตูขับเคลื่อนสี่ล้อ Rodeo LS แบ่งตัวเลือกเครื่องยนต์เป็น 4JA1-T 2.5 ลิตร 79 แรงม้า แรงบิด 176 นิวตัน-เมตร (มีตัวเลือกเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะในรุ่นตัวเตี้ยทุกรุ่น) และขุมกำลัง 4JH1-T 3.0 ลิตร 120 แรงม้า แรงบิด 245 นิวตัน-เมตร มีตัวเลือกทั้งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ
กระแสตอบรับที่ยอดเยี่ยมในช่วงเปิดตัวทำให้ D-Max ทำยอดขายในประเทศไทย 83,610 คันในปี 2002 (รวมโมเดลรุ่นก่อน Faster) คิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 35.3 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ Isuzu ครองอันดับ 1 ตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ของบ้านเรา 7 สมัยติดต่อกันเลยทีเดียว
จากนั้นในวันที่ 6 สิงหาคม 2546 Isuzu D-Max ที่ใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตหลัก เริ่มต้นการส่งออกสู่ 3 ประเทศในยุโรป กรีซ, อิตาลี และอังกฤษ โดยงานเลี้ยงที่มีขึ้นในช่วงค่ำวันเดียวกันยังเป็นการฉลองยอดขายทะลุ 100,000 คัน ตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคม ถือเป็นสถิติที่เร็วที่สุดของวงการรถยนต์ไทยที่ไม่มีแม้กระทั่งรถยนต์นั่งเคยทำได้มาก่อน
หลังจากนั้นมีการส่งรุ่นขับเคลื่อนสองล้อยกสูง Hi-Lander ออกมาสานต่อความสำเร็จในเดือนกันยายนปีเดียวกัน โดยมีรุ่น Cab และ 4 ประตู ใช้เครื่องยนต์ 3.0 ลิตรเท่านั้น พร้อมเพิ่มออปชั่นใหม่ในรุ่นย่อยที่เปิดตัวมาก่อนหน้านี้ รวมถึงรุ่น Cab SX ที่ติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มความสะดวกสบายมากขึ้นอย่างกระจกไฟฟ้า, ระบบเซ็นทรัลล็อก และพวงมาลัยพาวเวอร์ปรับระดับได้
ในช่วงเวลาเกือบ 10 ปีของการทำตลาด D-Max 1st Gen มีการปรับโฉมย่อยหลายครั้งไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มรุ่นพิเศษ Gold Series (หรือที่คนไทยคุ้นเคยในชื่อรุ่นเลี่ยมทอง), Platinum, Super Platinum และ X-Series รวมทั้งเครื่องยนต์รหัส 4JJ1-TC 3.0 ลิตร (146 แรงม้า), 4JK1-TC 2.5 ลิตร (116 แรงม้า) และ 4JJ-TCX เทอร์โบแปรผัน (163 แรงม้า) รวมทั้งเป็นครั้งแรกในวงการรถกระบะที่ติดตั้งกล้องส่องภาพด้านหน้าปรับได้ 4 ระดับ พร้อมนำเสนอระบบเพื่อนนำทางอัจฉริยะ i-Genii แผนที่จำลองแบบ 3 มิติแสดงภาพเสมือนจริง
ภาพงานเปิดตัว Isuzu D-Max Super Titanium และ Isuzu MU-7 Super Titanium เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2553
หลังจากปล่อยให้ GM พันธมิตรของพวกเขาเผยโฉมรถกระบะต้นแบบ Colorado ในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 31 ล่วงหน้าไปก่อน Isuzu เลือกฤกษ์ดีในวันที่ 29 กันยายน 2011 จัดรอบเวิลด์พรีเมียร์ D-Max เจเนอเรชั่นที่ 2 อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยการปรับดีไซน์ให้มีความสปอร์ตทรงพลังโฉบเฉี่ยวด้วยเส้นสายที่แข็งแกร่งทั้งคัน ภายใต้ 3 แนวคิดสำคัญคือ: 1. ความสมดุลของรูปทรง—Perfect Proportion ทุกมุมมองสมส่วนทั้งมองระยะใกล้- ไกลพร้อมเส้นสายด้านข้างแบบดาบคาตะนะ (Katana Line), 2. รูปทรงดุดันทรงพลัง—Aggressive Form ตัวรถทรงลิ่มลู่ลมแบบ Wedge-Shape Design พร้อมทะยานไปข้างหน้าแม้หยุดนิ่ง ดุดันเหมือนกล้ามเนื้อของนักกีฬาด้วย Muscular Fender และสุดท้ายรูปลักษณ์ 3 มิติ—3 Dimensional Structure ด้านหน้าสามมิติ ดีไซน์ให้มีความชัดลึกในการมองเห็น ไฟหน้าขนาดใหญ่ Free-Form Projector โดยยังครั้งแรกที่มีการนำไฟท้ายแบบ LED มาใช้ในวงการรถกระบะ
D-Max 2nd Gen เพิ่มขุมกำลังใหม่ดีเซลเทอร์โบแปรผัน Ddi 2.5 VGS Turbo ที่มีกำลังสูงสุด 136 แรงม้าที่ 3,600 รอบ/นาที สามารถสร้างแรงบิดสูงแบบต่อเนื่อง (High Flat-torque) 320 นิวตัน-เมตรที่ 1,800-2,800 รอบ/นาที โดยจะมีเครื่องยนต์เดิมดีเซลเทอร์โบ 2.5 ลิตร รหัส 4JK1-TC 116 แรงม้า ทำตลาดควบคู่กันในช่วงแรก และอีกหนึ่งตัวเลือกจะเป็นเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบแปรผัน Ddi 3.0 VGS Turbo ที่มีพละกำลังเพิ่มเป็น 177 แรงม้าที่ 3,600 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 380 นิวตันเมตรที่ 1,800-2,800 รอบ/นาที โดยมีตัวเลือกทั้งเกียร์อัตโนมัติใหม่ 5 จังหวะพร้อมระบบ Rev-Tronic และเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะใหม่แบบ Sport-Shift
สำหรับเทคโนโลยี Ddi Super Comonrail ในกระบะรุ่นนี้จะเป็นเจนเนอเรชั่น 3.5 พัฒนาภายใต้แนวคิด ‘เครื่องยนต์ดีเซลแห่งอนาคต’ ประหยัดน้ำมัน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นในมาตรฐาน Euro 5 โดยระบบหัวฉีดจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงแรงดันสูง 180 MPa และหัวฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงใหม่แบบ 8 รู มีขนาดรูเล็กลงถึง 10 เปอร์เซ็นต์ให้ประสิทธิภาพในการเผาไหม้ดียิ่งขึ้น
ระบบเทอร์โบแปรผันใหม่ VGS Turbo ขนาดกะทัดรัด ตอบสนองได้แรง และเร็วกว่าในทุกรอบความเร็วเครื่องยนต์โดยเฉพาะรอบต่ำ ห้องเผาไหม้แบบ Hi-swirl เพิ่มอัตราส่วนของการหมุนวนอากาศให้มากขึ้น ทำให้น้ำมันผสมกับอากาศได้ดีขึ้น พร้อมติดตั้งเทคโนโลยีใหม่ Intelligent EGR Valve ชุดควบคุมที่มี IC ประมวลผลทำงานด้วยไฟฟ้า ควบคุมไอเสียจากเครื่องยนต์ เพื่อนำกลับไปยังห้องเผาไหม้อีกครั้งได้อย่างแม่นยำ สามารถคำนวณหาจุดสมดุลสูงสุดระหว่างความประหยัดน้ำมัน และลดมลพิษอย่างมีประสิทธิภาพ และอินเตอร์คูลเลอร์ใหม่ขนาดใหญ่ติดตั้งในตำแหน่งด้านหน้ารถช่วยระบายความร้อนได้ดีขึ้น
ในส่วนของการออกแบบห้องโดยสารมีความพิถีพิถันในทุกรายละเอียด ด้วยการใช้แนวคิด Universal Design โดยมองผู้ใช้รถเป็นศูนย์กลางเพื่อออกแบบให้ตอบสนองการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด แม้ว่าสรีระร่างกายจะแตกต่างกันก็ตาม รวมถึงการจัดวางตำแหน่งที่นั่ง และอุปกรณ์ต่างๆ ให้สามารถหยิบจับง่ายสะดวกสบาย โดยมีแนวทางได้แก่พัฒนาคือ:
- Raku Raku: Comfortable สบายๆ-เพิ่มพื้นที่ว่าง, กว้าง, สบาย ทำให้ผู้ใช้เคลื่อนไหวร่างกายขณะขึ้น-ลง และเข้า-ออกรถเป็นธรรมชาติ และผ่อนแรงมากที่สุด เช่น มือจับประตูขนาดใหญ่ ช่องเสียบกุญแจสตาร์ทมองเห็นได้ชัดเจน ไม่ต้องบิดข้อมือ และที่เท้าแขนรับกับสรีระอย่างสบายโดยไม่ต้องขยับตัว
- Kantan: Easy ง่ายๆ-อุปกรณ์ทุกสิ่งภายในรถใช้งานง่าย ด้วยตำแหน่งการจัดวางที่ลงตัว เข้าใจง่ายจากการมองหรือการสัมผัสเพียงครั้งแรกก็สามารถจดจำได้ เช่น การปรับตำแหน่งเครื่องเสียงให้สูงขึ้น พร้อมสัญลักษณ์ชัดเจน สวิตช์ควบคุมกระจกไฟฟ้าอยู่ใกล้พวงมาลัย ทำให้ไม่ต้องเอื้อมมือหรือละสายตาจากท้องถนน
- Anata Shidai: Up to you สไตล์ใคร สไตล์มัน-ออกแบบโดยยึดผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง เพิ่มมิติการใช้งานที่หลากหลาย และมีทางเลือกหลากรูปแบบที่สุด อยากใช้งานแบบไหน ทำได้ตามใจต้องการ เพื่อประโยชน์ในการใช้งานสูงสุด เช่น ช่องเก็บของอเนกประสงค์ พร้อมที่วางแก้วมากถึง 10 จุด พวงมาลัยปรับกระชับในทุกท่วงท่า ช่องเก็บของเหนือคอนโซลหน้า
ทำให้ห้องโดยสารที่ได้รับการดีไซน์ใหม่มีขนาดใหญ่ระดับ First-Class ด้วยการใช้รูปแบบ Deluxe Capsule ผสานความลงตัวแบบ Universal Design ออกแบบให้มีความสะดวกสบาย รองรับการใช้งานของทุกคนไม่ว่าจะรูปร่างเล็กหรือสูงใหญ่ แผงหน้าปัด Super Vision พร้อมด้วย Multi-Information Display ขนาดใหญ่ แสดงข้อมูลการขับขี่หลากหลายรูปแบบพร้อมโหมดภาษาไทยปรับความสว่างอัตโนมัติ
รวมทั้งลดเสียงรบกวนภายในห้องโดยสารเหลือเพียง 48.2 เดซิเบล ในรุ่น Z-Prestige 4 ประตู เบาะนั่งฝั่งคนขับเป็นแบบ Bolster Seat ปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง และเบาะนั่งหลังรุ่น 4 ประตู จะมีความกว้างขึ้นด้วยพนักพิงเอนรับกับทุกสรีระ ออกแบบให้มีที่วางแขนในตัวปรับพับได้แบบ 60:40 เก็บสัมภาระได้มากขึ้น ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ Automatic Air Cooler ดีไซน์ทันสมัยใช้งานง่าย รวมทุกฟังก์ชั่นไว้ที่จุดเดียว
ความเปลี่ยนแปลงสำคัญในช่วงอายุของโมเดลนี้เกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2558 กับการมาถึงของเครื่องยนต์ DDi Blue Power 1.9 ลิตร รหัส RZ4E-TC ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้าที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตรที่ 1,800-2,600 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับเกียร์ธรรมดา 6 สปีดพร้อม Genius Sport Shift และเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดติดตั้งโหมดขับขี่แบบสปอร์ต Rev Tronic
ขุมกำลัง Blue Power ใช้การจ่ายเชื้อเพลิงแบบ Multi-Injection พร้อมโปรแกรมการฉีดน้ำมันแบบใหม่ พัฒนาภายใต้แนวคิด The Power of Less ทำให้มีกำลังเพิ่มขึ้น 10 เปอร์เซ็นต์ และแรงบิดที่ดีกว่าเดิม 9 เปอร์เซ็นต์ โดยอัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จะเหลือเพียง 161 กรัม/กิโลเมตรถือว่าดีขึ้น 21 เปอร์เซ็นต์รองรับมาตรฐาน Euro6 รวมทั้งทำให้น้ำหนักรวมของ D-Max ลดลง 60 กิโลกรัมหรือประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์หากเทียบกับรุ่นเครื่องยนต์เดิม 2.5 Ddi VGS Turbo
ไม่กี่เดือนหลังจากนั้น Isuzu เปิดตัวเครื่องยนต์รุ่น Ddi Blue Power 3.0 ลิตร ออกมาเป็นทางเลือกสำหรับคนที่อยากได้อารมณ์การขับที่เน้นความเร้าใจด้วยกำลังที่เพิ่มขึ้นเป็น 177 แรงม้า และแรงบิด 380 นิวตันเมตร และเครื่องยนต์ตระกูล Blue Power ยังถูกนำไปใช้งานในรถเอสยูวีขนาดกลาง MU-X ของพวกเขาเช่นกัน
สำหรับเจเนอเรชั่น 2 มีการส่งรุ่นพิเศษออกมาอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น Super Daylight, D-Max รุ่นฉลองครบรอบดำเนินกิจการครบรอบ 99 ปี, รุ่นฉลองครบรอบ 60 ปีของการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย, V-Cross Limited, Hi-Lander Limited และ Stealth ก่อนจะเข้าสู่ยุค “พลานุภาพ…พลิกโลก!-Infinite Potential” กับ All-New Isuzu D-Max 3rd Gen ในเดือนตุลาคม 2562
เรื่อง: พูนทวี สุวัตถิกุล
ขอบคุณข้อมูล: นิตยสารกรังด์ปรีซ์/GPI Photobank
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th