บอม – ภพต์ คงพิชญานนท์ คนเล่นของที่เปลี่ยนรถมาแล้วกว่า 60 คัน
คนเล่นของ ที่ลองรถมาแล้วทุกรูปแบบ แต่แปลกที่สุดท้ายต้องมาตกหลุมรัก 4WD จนถอนตัวไม่ขึ้น สำหรับผู้ชายมาดยากุซ่า “บอม – ภพต์ คงพิชญานนท์” เจ้าของฉายา “คนเล่นของ” ที่เราตั้งให้เมื่อได้ฟังเรื่องราวของเขาจบลง ในวันนี้
เราพบพี่บอมครั้งแรกในงานมอเตอร์โชว์เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ด้วยการแนะนำของน้องช่างภาพที่สนิทกันคนหนึ่งที่ชวนเราไปจิบกาแฟที่บูธ JEEP ซึ่งพี่บอมก็เป็นคนดูแลเรื่องการขายอยู่ที่บูธในปีนี้พอดี ที่สำคัญยอดขายในปีนี้ทะลุเป้าไปมากมายเหลือเกิน จนน้องช่างภาพส่งรูปหนึ่งมาให้ดู เป็นรูปพี่บอมกับรถ JEEP สีเขียวมะนาว ซึ่งสวมทะเบียน 999 และนั่นจึงเป็นที่มาในการนัดพูดคุยกับพี่บอมในวันนี้
ด้วยคาแรกเตอร์ที่ดูกวนๆ กับการแต่งตัวสไตล์ยากุซ่าย่านพระราม9 ในวันนี้ ยิ่งทำให้เราสนใจ และตั้งใจฟังเรื่องราวของผู้ชายคนนี้มากยิ่งขึ้น สถานที่ที่เรานัดกันคือร้านกาแฟของพี่บอมที่เปิดกับพี่ชาย ภายใต้ชื่อ “Bubble Cafe” ร้านกาแฟที่เปิดขึ้นมาเพื่อต้องการให้คนรักกาแฟจริงๆ ได้มีโอกาสเข้ามาชิมเมล็ดกาแฟที่พี่น้องตระกูลนี้ได้สรรหา และลงมือคั่วเอง มากกว่าการที่จะเข้ามานั่งเสพบรรยากาศเหมือน Cafe hopper ทั่วไป
ความน่าสนใจของพี่บอมคือ รถทุกคันในปัจจุบันของเขาทั้งหมด คือรถ 4WD ทั้งที่เมื่อก่อน ตั้งแต่เด็กจนเป็นผู้ใหญ่ เขามีแต่รถซิ่งมาโดยตลอด และเปลี่ยนมาแล้วกว่า 60 คัน แต่ปัจจุบันกลับหันมาลงใจให้กับ 4WD จนถอนตัวไม่ขึ้น
จัดจ้านในด้านธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจกาแฟ
ผมทำธุรกิจอยู่หลายอย่าง เป็นหุ้นส่วนอยู่หลายธุรกิจ ทั้งทำร้านล้างรถครบวงจร รับเหมาก่อสร้าง แต่หลักๆ คือธุรกิจกาแฟ ซึ่งมีทั้งร้านกาแฟ บริษัทที่ขายอุปกรณ์เกี่ยวกับกาแฟ ทำเมล็ดกาแฟ และมีร้านกาแฟอยู่ที่ลาวด้วย ที่นั่นขายทั้งอาหาร อุปกรณ์ทำกาแฟ ขายเมล็ดกาแฟ ซึ่งเป็นเมล็ดจากทั่วโลกที่นำเข้ามา ส่วน Bubble Café เป็นร้านที่ 3 คนพี่น้องช่วยกันทำ เพราะตอนแรกพี่ชายผมกลับมาจากอเมริกา และตั้งใจทำโรงคั่วกาแฟ ขายเมล็ดทุกรูปแบบ ซึ่งจริงๆ ร้านนี้เปิดเป็นหน้าร้านเพื่อให้คนเข้ามาชิมมากกว่า ชอบก็ค่อยสั่งเมล็ดกลับบ้านไป
ส่วนงานด้านอื่นๆ ที่เห็นเข้าไปทำกับ JEEP ต้องท้าวความไปเมื่อประมาณ 20 ปีก่อน ผมเป็นผู้จัดการ BMW Motorrad และทำได้ค่อนข้างดี แต่แค่รู้สึกว่าด้วยความที่เราเป็นคนแบบนี้ มันไม่เหมาะกับงานประจำที่นั่งออฟฟิศ ก็เลยทำอยู่ได้ไม่นานนัก แล้วออกมาทำอะไรของตัวเอง หยุดงาน BMW Motorrad มาได้ 20 ปี พอเข้ามาเป็นลูกค้า JEEP แล้วสนิทกับเจ้าของ ได้คุยกัน แล้วเขาก็ชวนมาทำ เลยได้เข้ามาช่วยทีมขายทั้งหมดในมอเตอร์โชว์ฯ เขาอยากให้เข้าไปร่วมงานจริงจัง แต่ผมบอกไปเลยว่าไม่ถนัดในการทำงาน 100% เพราะรู้สึกว่าจะไม่มีเวลาทำงานของตัวเอง แล้วเดี๋ยวงานตัวเองจะด้อยลง ก็เลยช่วยงานเขาได้อยู่เดือนเดียว แล้วก็ออกมาอยู่ในที่เดิมของผม แต่ก็บอกเขาไปว่าถ้าเขาต้องการความช่วยเหลืออะไรแล้วผมมีเวลา ก็ยังเข้าไปช่วยได้
เปลี่ยนรถมาทั้งหมดกี่คัน
เริ่มต้นมาจาก Honda Civic 3 ประตู ที่เปลี่ยนมาทั้งหมด 6 คันได้ คันแรกทิ้งเพราะชน ก็ไปทำใหม่ บางครั้งไปเจอรถคอมพลีท เพื่อนซื้อมา เราก็ขอซื้อต่อเพื่อน แล้วผมไม่ได้ทำอาชีพขายรถนะ บางคันขายไปได้กำไร บางคันขาดทุน บางคันแค่สนุก หรือบางคันแค่ผ่านมือ แต่เป็นการซื้อขายที่เกิดจากการคุยกัน แทบจะไม่เคยซื้อสด พอได้คุยกัน ตกลงผ่อนกันเอง ส่วนมากเป็นเพื่อนกันเลยคุยกันง่าย เวลาเบื่อก็เปลี่ยนรถ บางครั้งยังไม่ทันได้เบื่อ แต่เป็นจังหวะที่คนอยากได้รถเรา หรือบางครั้งจำเป็นต้องขายด้วยสภาวะบางอย่างของตัวเราเอง หรือบางครั้งอยากไปเล่นรถอีกประเภทหนึ่ง เลยต้องเปลี่ยน
ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว
ผมเป็นคนเล่นรถ เล่นมอเตอร์ไซค์ เป็นคนบ้าของมากๆ แต่จะไม่เกี่ยวกับเทรนด์ เพราะอย่าง Surf Skate ผมไม่เล่น แต่เคยเล่นก่อนที่เขาจะฮิตกันด้วยซ้ำ และผมเป็นคนชอบเดินทางท่องเที่ยวมาก เที่ยวจนหลายคนบอกว่าให้กลับมาเที่ยวกรุงเทพฯ บ้างด้วยซ้ำ เดี๋ยวไปต่างประเทศ ไปต่างจังหวัด ไปแคมป์ปิ้งบ้าง เน้นเดินทางด้วยรถสไตล์ Road Trip ถึงจะเดินทางไปไกลที่ต้องนั่งเครื่องบินไป แต่พอลงก็ต้องไปเช่ารถขับเพื่อเดินทางต่ออยู่ดี
การเดินทางสไตล์ Road Trip ให้อะไรกับชีวิต
รู้สึกว่าการอยู่กรุงเทพฯ อย่างเดียวมันเครียดเกินไป การได้ออกไปเห็นเส้นทางใหม่ๆ มันรู้สึกดี ทุกครั้งที่เดินทางจะพยายามวางแผนเส้นทางใหม่ๆ เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งเอา BMW X1 ไป แล้วเขาให้ตัดเข้าเส้นทางลัด ซึ่งพอเข้าไปแล้วมันแทบจะไปไม่ได้ ไม่ควรขับเข้ามาด้วยซ้ำ แต่เรามาถึงที่แล้ว แค่คิดว่าถ้าไปแล้วไม่รอดก็แค่เรียกรถแทร็กเตอร์มาลาก เพราะการเดินทางในเมืองไทย คิดว่าคนไทยมีน้ำใจพร้อมช่วยเหลือกันอยู่แล้ว เวลาออกเดินทาง เราได้เห็นผู้คน ได้กินอาหารแปลกๆ แค่ได้ถ่ายรูปในที่แปลกๆ ก็รู้สึกคุ้มแล้วล่ะ
เป็นคนเล่นของตั้งแต่เด็ก
ผมเริ่มเล่นรถตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัย เป็นรถคันแรกที่คุณพ่อคุณแม่ซื้อให้เป็นกองกลางไว้ใช้กับพี่ชาย ย้อนกลับไปผมขับรถไปเรียนกันเอง 3 คนพี่น้องตั้งแต่ ม.1 จากแถวประชาชื่นไปเรียนอโศก จนพอเข้ามหาวิทยาลัยก็ใช้บ้างไม่ได้ใช้บ้าง
แล้ววันหนึ่ง Honda Civic 3 ประตูออก พี่ชายผมไปจอง เราเดินเจอกันในซอยเข้าบ้าน พี่ชายบอกว่าไปจอง Civic 3 ประตูมา เขาก็มาชวนผมผุ้น จะได้ผ่อนเบาหน่อย พอถึงบ้านผมก็ไปคุยกับคุณพ่อว่า พี่ชายไปจองรถมา อยากได้นะพ่อ ขอได้ไหม คุณพ่อก็บอกให้ไปคุยกับคุณแม่ พอคุยแล้วคุณแม่โอเค แต่มีข้อแม้ว่าให้แบ่งกันใช้ ไม่ได้ให้เป็นของใครคนใดคนหนึ่ง ก็เริ่มขับมาเรื่อยๆ จนได้เริ่มแข่งรถจริงจังในสมัยนั้น แล้วตัวเราเองก็เละเทะตามประสาวัยรุ่น ไม่ทำงานบริษัท แข่งรถเป็นอาชีพเลย หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย
สมัยนั้นจริงๆ พอใครเรียนจบแล้วก็คิดว่าจะต้องไปหางานทำ แต่ผมกลับคิดว่าการแข่งรถ เดือนหนึ่งเราหาเงินได้เป็นแสน ก็เลยกลายมาเป็นงานอดิเรกที่เด็กคนหนึ่งไม่ต้องไปทำงาน ทำอย่างนั้นอยู่เป็นปี แข่งรถทุกสนาม จนรถเกิดอุบัติเหตุ มีรถข้ามเกาะมาชน พังทั้งคัน แต่คนไม่เป็นอะไรนะ พอหลังจากวันที่ชน ไปสนาม พวกเพื่อนรู้ข่าวกันก็มาบอกว่าให้ไปขับรถเขา ซึ่งเขาก็ไปจ่ายค่าสมัครให้เรียบร้อยเลย ผมก็บอกว่ากลัวพัง เขาก็ยังยืนยันอีกว่าถ้าพังเขาซ่อมเอง ให้มาขับอย่างเดียว เขาขออย่างเดียว ขอถ้วยรางวัล เงินรางวัลอะไรเขาให้ผมหมดเลย สนามนั้นผมได้เงินมาแสนกว่าบาท ซึ่งก็มีเงินกลับมาซ่อมรถที่พัง จนแข่งไปสักพัก จำเป็นต้องย้ายไปเรียนต่อที่อเมริกาตามที่คุณพ่อคุณแม่ต้องการ ไปเรียนอยู่ประมาณปีกว่าได้
ไม่ได้เล่นแค่สี่ล้อ รถสองล้อก็เล่น
ผมเล่น Harley Davidson มาตั้งแต่มหาวิทยาลัย เก็บเงินซื้อเอง แลกรถกันไปมา รถ Volkswagen ก็เล่น เคยเจอประมาณว่าไปนั่งกินข้าว จอดรถไว้หน้าร้าน มีคนเดินมาขอซื้อต่อ แล้วเอาไปเลย วันนั้นผมต้องนั่งแท็กซี่กลับบ้าน เพราะพอคุยกับเขาแล้วเรารู้ว่าเขาอยากได้จริงๆ ขายไปก็เปลี่ยนคันใหม่ ซึ่งพี่ชายผมจะพูดเสมอว่า อะไรที่เคยเล่นแล้ว ไม่ต้องไปซ้ำ เพราะเราเล่นแล้ว แปลว่าเราเข้าใจแล้ว เพราะรถมีอีกเยอะให้เราลอง ตอนนี้มอเตอร์ไซค์ก็มีเยอะ มีทั้ง Harley, triumph, Ducati แล้วก็รถรุ่นเล็ก ซึ่งรู้สึกว่าได้ใช้งานจริง แฮปปี้มากที่สุด
จุดเริ่มต้นของ 4WD ในชีวิต
ซึ่งจุดเริ่มต้นของรถสไตล์ 4WD มาจาก Jeep คันเขียว ที่ไม่ได้มาจากความตั้งใจจะซื้อด้วยซ้ำ บังเอิญได้ทะเบียน 999 มาจากรุ่นน้อง เพื่อหักหนี้กัน เลยอยากหารถที่ราคาประมาณ 500,000 มาใส่ทะเบียน พอคุยกับแฟนแล้วว่า ณ ตอนนั้นมี Mini มีโฟล์คเต่าเปิดประทุน ฉะนั้นเลยคิดว่าขาด Fiat500 ก็ไปดู แต่คันนั้นยังไม่เรียบร้อยนัก มีโอกาสไปคุย แล้วรู้สึกว่าเจ้าของอู่เขาดูอีโก้เยอะ แฟนเลยบอกว่าไม่ต้องเอาดีกว่า
วันนั้นเลยเลี้ยวไปหารุ่นพี่ที่ 25G ไปเห็น JEEP คันเขียว แฟนผมบอกเลยว่าจะเอาคันนี้ ผมเลยถามว่า เดี๋ยวนะ ตั้งใจจะซื้อรถ 500,000 แต่อยู่ๆ จะมาเอารถ 4,000,000 มันคนละสเกลแล้วนะ เขาเลยหันมาบอกว่า แต่มันเหมาะสมกับทะเบียน999 นะ ผมก็เลยตกลง ซึ่งรถประเภทนี้ผมมองว่ามันไม่ตก เวลาผ่านไป ราคาอาจจะสูงขึ้นกว่าตอนที่เราซื้อก็ได้
พอได้มา แฟนผมก็ยึด JEEP ไปใช้ ทำให้ผมมีรถอีก 2 คัน รวมถึงมอเตอร์ไซค์ด้วยที่ต้องใช้คนเดียว ซึ่งรู้สึกว่ามันต้องดูเลเยอะไป จนมีวันหนึ่ง ไปซื้อมอเตอร์ไซค์ กำลังขี่กลับบ้าน ก็แวะเข้าไปที่ศูนย์ JEEP ไปหาพี่ที่รู้จักกัน ไปให้เขาทำกุญแจให้ คุยไปคุยมา เขาบอกว่าดีเซลจะหมดแล้วนะ กลายเป็นว่าผมได้จอง JEEP เพิ่มอีกหนึ่งคันเฉยเลย
เรื่องของเรื่องเข้าไป เขาก็บอกให้ผมช่วยไปลองรถรุ่นใหม่หน่อย เชื่อไหมว่าไม่น่าไปลอง มันดีมากจริงๆ ผมจองรถไว้ตั้งแต่ พฤษภาคมปีที่แล้ว รถเพิ่งได้รับเมื่อมกราคมที่ผ่านมา คันนั้นเป็นสีเหลือง หลังคาผ้าใบ คิดว่ามันน่าจะจบที่ 2 คันนี้ล่ะ
“รถแทบทุกคัน ได้มาด้วยความบังเอิญ ถามว่าเงินพร้อมตลอดเวลาไหม ก็ไม่นะ แต่ถ้าใจเราพร้อม เราก็จะหาเงินมาได้เอง”
4WD คันจบ ไม่มีอยู่จริง
ต้องบอกว่าโดยปรกติ ชีวิตผม กับพี่ชายเราจะมีรถสำรองเผื่อไว้หนึ่งคัน ก็เลยไปคุยกับแฟนว่าเดี๋ยวจะมีรถอีกคัน แต่ยังไม่รู้ว่าจะเป็นอะไรดี จนวันหนึ่งมีน้องคนหนึ่งโทรมาหาผมว่าจะขอพี่ไมค์ถ่ายรูปใน 25G พี่โทรประสานงานให้ผมหน่อย เขาก็ถ่ายงานกันเสร็จสรรพจนหนังสือออก นัดกันเข้าไปหาพี่ไมค์เพื่อเอาหนังสือไปให้
เข้าไปถึง ผมไม่สนใจอะไรเลย เพราะเห็น Defender คันนี้จอดอยู่ ก็ถามถึงที่มาที่ไป แล้วขอซื้อพี่เขาเลย บอกพี่เขาไปว่าอยากได้ ซึ่งพี่เขาก็ขอคิดก่อน เพราะพี่เขาก็หวงเหมือนกัน แล้วคันนี้คือรถปีสุดท้ายของโลก ปี 2016 อนาคตมันดีมาก เดินเล่นไปสักพัก แกเดินมาตบไหล่แล้วบอกว่าถ้ามึงจะเอา กูเอาเท่านี้ หลังจากนั้นพี่กลับไปขายรถสองคันเลย ทั้งโฟล์คเต่า และ Mini Clubman เพื่อมาเอา Land Rover ไม่งั้นผมไม่มีเงินพอ เพราะไม่ได้วางแผนมาก่อนที่จะซื้อ แล้วบังเอิญพี่ชายอยู่ด้วยวันนั้น เลยคุยกันว่า เอาคันนี้เป็นกองกลางดีไหม หุ้นกัน เลยช่วยกันซื้อ ช่วยกันผ่อน เพราะทุกคนต้องอยากได้อยู่แล้วทรงนี้ ก็เลยได้มาเป็นรถที่ใช้กับพี่ชายคันนี้ครับ
เปลี่ยนใจจากรถซิ่ง กว่า 60 คัน มาปักหลักหลงรัก 4WD
แค่รู้สึกว่ารถสไตล์ 4WD มันไปได้ทุกที่ ทุกเส้นทาง อย่างที่บอกว่า เส้นทางในเมืองไทยมีหลายๆ สถานที่ที่สวยมาก แต่รถธรรมดาเข้าไปไม่ได้ ผมไม่ได้ไปในสถานที่ที่ต้องใช้ 4WD จ๋าๆ หรือต้องใช้ทักษะสูงๆ ผมไม่ได้เก่งขนาดนั้น แต่ขอว่าเป็นเส้นทางที่รถธรรมดาไปไม่ได้ แต่รถคันนี้ไปได้ เพราะทั้ง JEEP ทั้ง Land Rover เก่งคนละเรื่อง แต่สามารถไปได้ทุกที่เหมือนกัน แค่เราได้ไปในสถานที่ที่เข้าถึงยาก ก็คุ้มแล้วนะ ส่วน Defender คันนี้ ตั้งใจจะขับเขาน้อยๆ เพราะเป็น 1 ใน signature ของ Land Rover ด้วย
รถในฝันของคนที่สัมผัสรถมาแล้วทุกรูปแบบ
อยากได้ Toyota FJ Cruiser ตัวเก่า กับ Mercedes-Benz G-Class แต่ตอนนี้คิดว่าคันนี้ยังไกลตัว แต่ทั้งสองคันเป็น 4WD เหมือนกัน ไม่รู้ทำไมถึงไปหลงเสน่ห์เขานะ อย่างกลุ่มรถสปอร์ตผมว่าเราไปวางไว้ท้ายๆ เลย ไม่ได้อยากได้ขนาดนั้น เพราะเคยได้สัมผัส และทดลองขับมา แล้วรู้สึกว่าไม่มีก็ได้ ซึ่งก่อนจะซื้อ Land Rover ว่าจะซื้อ Porsche แต่ไปๆ มาๆ ได้ JEEP คันที่สอง แล้วมาเจอ Land Rover เชื่อไหมว่าวันนั้นมี Land Rover กับ Porsche จอดคู่กัน ผมไม่สนใจแล้วนะ ไม่มีก็ได้ แต่ถ้ามีโอกาสที่จะได้ Porsche จริงๆ คงเป็นรุ่น 997 มันดูไม่ใหม่ และไม่เก่าเกินไป แค่นั้นพอ
เปรียบรถเป็นอะไรในชีวิต
รถเป็นความสุข เป็นสิ่งที่นำพาเราไปหาความสุข บางครั้งไปเจอเพื่อน หรือเวลาที่มีความทุกข์ ผมขับรถออกไป มีสมาธิอยู่กับการขับรถ กลับมาผมหายเครียดนะ เมื่อสมัยวัยรุ่นเวลาไม่สบายใจ เครียดๆ ก็ขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปถึงอยุธยานะ แล้วขี่กลับ มันทำให้รู้สึกดีขึ้น ใจเย็นลง ทำให้เราลืมกับปัญหาที่เครียดอยู่ ฉะนั้นเวลาเครียดเมื่อไหร่ ให้ออกเดินทาง เหมือนตอนที่คุณเหนื่อยๆ แต่คุณขับรถออกไปเชียงใหม่เพื่ออะไร เหนื่อยกว่าเดิมอีก แต่มันได้ความสุขนะ
ฝากถึงคนใช้รถใช้ถนน
ขอให้มีสติครับ ถ้ามีสติ ใจเย็น เชี่ยวชนกันก็จะไม่เกิดเรื่องราวมากมาย ถ้าเอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง มันก็จะกลายเป็นเรื่องร้ายได้ ใช้ชีวิตให้ดี ให้สนุกดีกว่า อย่าเข้าไปอยู่ในคุกเลย
เรื่อง : กองบรรณาธิการ
ภาพ : Fluke TakeSnap
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRAND PRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th