KIA New Grand Carnival SXL พลังแห่งการเปลี่ยนแปลง
เกีย มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง และก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์ 2 ของค่ายรถเกาหลีใต้ มียอดการผลิตมาในแต่ละปี เฉลี่ยประมาณ 3 ล้านคัน การแข่งขันในตลาดโลกนั้นไม่ง่าย โดยเฉพาะตลาดสหรัฐและยุโรป ซึ่งมีค่ายรถดังเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว เกียจึงจำเป็นที่จะต้องมีศูนย์วิจัยและพัฒนาในต่างแดน เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ให้เข้ากับความต้องการในแต่ละพื้นที่ นอกจาก Namyang Design Center ในเกาหลีใต้แล้ว ยังมีอีก 3 แห่ง คือ แฟรงก์เฟิร์ตในเยอรมัน ลอสแองเจลิสในสหรัฐ และโตเกียวในญี่ปุ่น และที่ขาดไม่ได้ คือทีมงาน ดังนั้น เกียจึงซื้อตัว Tom Kearns นักออกแบบจาก Cadillac ในปี 2005 และ Peter Schreyer นักออกแบบจากค่ายออดี้และโฟล์ค ในปี 2006 มาคุมโครงการออกแบบ โดยเฉพาะกระจังหน้าใหม่ ภายใต้นิยาม “Tiger Nose” ผลงานการออกแบบของเขาสามารถสร้างผลงานให้เกีย จนมียอดขายเพิ่มขึ้นตลอด นับจากนั้น KIA ให้ความสำคัญกับ Tiger Nose ให้เป็นตราสัญลักษณ์บนกระจังหน้ารถทุกรุ่นที่ผลิตออกจำหน่ายในปัจจุบัน
จึงไม่น่าแปลกใจที่รถรุ่นใหม่ๆ ของ KIA มีพัฒนาการที่ล้ำยุคไม่เหมือนเมื่อก่อน ผลจากการดึงทีมดีไซเนอร์ชั้นนำ จากค่ายรถชั้นนำมาทำงานต่อยอด ทำให้ผลิตภัณฑ์ของเกียสามารถแข่งขันกับคู่แข่งฟากฝั่งตะวันตกได้อย่างสบาย
KIA New Grand Carnival ที่ทางกรังด์ปรีซ์นำมาทดสอบในเล่มนี้ เป็นรุ่น SXL ท็อปสุดของ Carnival ซึ่งเป็นรถประเภท MPV หรือ Minivan รถรุ่นนี้เริ่มผลิตเมื่อปี 1998 ปรับเปลี่ยนเป็นเจเนอเรชันที่ 2 ปี 2006 ส่วนรุ่นปัจจุบันนี้เป็นเจเนอเรชันที่ 3 ที่ออกจำหน่ายตั้งแต่ปี 2014 สำหรับคันที่นำมาลองขับนี้เป็น Model Year 2018 ที่ผ่านการไมเนอร์เชนจ์
รูปลักษณ์ภายนอกที่ปรับโฉมครั้งนี้แตกต่างไปจากโฉมที่แล้วไม่มาก แต่สวยงามยิ่งขึ้น มีความสง่างาม และภูมิฐานกว่า เริ่มจากกระจังหน้าลายใหม่ ในคอนเซปต์เดิม คือ “Tiger Nose” ตราสัญลักษณ์ของ KIA ที่สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับเกีย ไฟหน้า และไฟตัดหมอกแบบ LED ที่ผ่านการดีไซน์ใหม่ให้เข้ากับกระจังหน้า แนวด้านข้างยังคงเดิมทุกสัดส่วน กระจกหน้าต่างขนาดใหญ่ โปร่งโล่ง ให้ทัศนวิสัยที่กว้างไกล ด้านหลังฝาประตูท้ายด้านบนมีสปอยเลอร์พร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 ไฟท้ายทุกดวงใช้แบบ LED ประตูคู่หน้าขนาดใหญ่ เปิดได้กว้าง ประตูคู่หลังเป็นแบบสไลด์ไปด้านหลัง เพิ่มความสะดวกในการเข้า-ออก ในที่จอดแคบๆ ได้ดี ล้ออัลลอยลายใหม่ขนาด 18 นิ้ว พร้อมยางขนาด 235/60R18
เมื่อเข้ามาภายในห้องโดยสาร ให้ความรู้สึกที่อบอุ่น จากงานการออกแบบที่มีความหรูหรา วัสดุอุปกรณ์ การเก็บงาน ดูเหมือนรถยุโรปไม่ผิดเพี้ยน เล่นโทนสีดำตัดกับสีเบจ หรือสีครีม แผงหน้าปัด แผงประตูด้านข้างตกแต่งด้วยวัสดุที่นุ่ม ไม่แข็งเป็นพลาสติก เบาะนั่งคู่หน้าปรับด้วยไฟฟ้าได้ทุกทิศทาง สูง ต่ำ เลื่อนหน้า ถอยหลัง พร้อมหน่วยความจำด้านคนขับ เบาะหนานุ่ม แน่นกำลังดี แต่หมอนพิงศีรษะมีความโค้งด้านหน้ามากเกินไป ทำให้เกิดปัญหาดันศีรษะ เบาะนั่งแถวที่ 2 แบบแยก มีที่วางแขน และเว้นช่องตรงกลางให้เดินทะลุกันได้ แต่มีเบาะขนาดย่อมเสริมมาให้ตรงกลาง สามารถพับลงมาเป็นที่วางของ และแก้วน้ำได้ สำหรับเบาะแถวที่ 3 ก็เหมือนกับแถว 2 แต่ไม่มีที่วางแขน ส่วนเบาะแถวที่ 4 จะพับซ่อนอยู่ใต้พื้นรถ สำรองไว้เผื่อในกรณีที่มีผู้โดยสารมากกว่า 8 ที่นั่ง ซึ่งอาจจะทำให้พื้นที่ภายในคับแคบ ในกรณีนั่ง 11 ที่นั่ง หน้าต่างประตูหลังมีม่านบังแดดแบบดึงขึ้นมาเกี่ยวกับตะขอด้านบน
แผงหน้าปัดท่อนบนเป็นสีดำ ท่อนล่างเป็นสีเบจ มีการตกแต่งด้วยขอบโครเมียม และวัสดุที่เรียกว่า Piano Black เสริมให้หรูขึ้น มาตรวัดทรงกลม 2 อัน ขนาดใหญ่ตรงกลางเป็นจอแสดงผลข้อมูลการเดินทาง บอกอัตราความสิ้นเปลืองในขณะขับ หรือแบบเฉลี่ยรวม บอกความเร็วเป็นตัวเลข และปรับฟังก์ชันการใช้งานของอุปกรณ์ เป็นต้น จอขนาด 8 นิ้ว ตรงกลางมีหลายฟังก์ชันการใช้งาน ทั้งเครื่องเสียง Bluetooth และระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์ไร้สาย น่าเสียดายที่ไม่มีระบบนำทางมาให้ ถัดลงมาเป็นชุดควบคุมระบบปรับอากาศ คอนโซลเกียร์ มีแป้นวางมือถือพร้อมระบบชาร์จไฟไร้สาย ปลายคอนโซลเกียร์มีปุ่มหลายปุ่มไว้ เพื่ออุ่นเบาะคู่หน้าให้ร้อนในหน้าหนาว หรือเป่าลมเย็นในหน้าร้อน ทั้งยังมีปุ่มอุ่นพวงมาลัยอีกด้วย
บนเพดานมีชุดควบคุมไฟส่องสว่างในรถ มีสวิตซ์เปิด-ปิด ประตูบานเลื่อนไฟฟ้าทั้ง 2 ฝั่ง สวิตช์เปิดฝาท้าย แถมด้วยซันรูฟอีก 2 บานใหญ่ ในขณะที่รุ่น EX จะมีจอ LCD ขนาด 15 นิ้ว บนเพดาน ส่วนรุ่น SXL ที่นำมาทดสอบ จะมีจอ LCD ติดตั้งหลังพนักพิงของเบาะคู่หน้ามาให้ 2 จอ เพื่อความบันเทิงของผู้โดยสารแถว 2 ในแบบส่วนตัว
Grand Carnival ที่นำเข้ามาจำหน่ายในไทยจะมีขุมพลังเพียงแบบเดียว คือ เครื่องยนต์ดีเซล คอมมอนเรล เทอร์โบ รหัส R2.2 CRDI VGT แถวเรียง 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว มีปริมาตรความจุ 2,199 ซี.ซี. ให้กำลังสูงถึง 197 แรงม้า ที่ 3,800 รอบ/นาที มีแรงบิดสูงสุด 45.0 กก-ม. หรือ 441 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,750 รอบ/นาที อัตราส่วนกำลังอัด 16.0:1 ระบบควบคุมมลพิษผ่าน EURO 4 ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ พร้อมโหมดสปอร์ตต่างจากรุ่นเดิม ซึ่งมีแค่ 6 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหน้า ระบบกันสะเทือนคู่หน้าเป็นแบบแมคเฟอร์สันสตรัท ในขณะที่คู่หลังเป็นแบบมัลติลิงก์ ทำงานร่วมกับโช้คอัพแก๊ส พร้อมเหล็กกันโคลงทั้งหน้าและหลัง
คราวนี้มาว่าด้วยเรื่องสมรรถนะของรถคันนี้ ซึ่งมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ตัวรถยาวถึง 5,115 มม. ความกว้าง 1,985 มม. เกือบจะ 2 เมตร และสูง 1,740 มม. โดยมีฐานล้อยาว 3,060 มม. การนั่งขับเหมือนอยู่ในรถเก๋งขนาดใหญ่ แต่ขับง่ายเหมือนรถขนาดเล็ก ช่วงออกตัวอาจจะดูอืดไปสัดนิด แต่เมื่อลงคันเร่งต่อไปจะรู้สึกได้ถึงพละกำลังของรถคันนี้อย่างไม่น่าเชื่อ การไต่ระดับความเร็วค่อนข้างไว แม้ว่ารถคันนี้จะมีน้ำหนักถึง 2,085 กก. พร้อมผู้โดยสารอีก 4 คน ที่ความเร็ว 100 กม./ชม. รอบความเร็วอยู่ที่ 1,550 รอบ/นาที ที่เกียร์ 8 ต้องบอกว่าการตอบสนองเหลือเฟือต่อการใช้งาน หากเทียบกับคู่แข่งอื่นในระดับเดียวกันบอกได้ว่ามีความเหนือกว่า โดยเฉพาะช่วงล่างเป็นจุดเด่นที่ได้เปรียบในกลุ่มรถ MPV ในบ้านเรา ติดตั้งมาได้อย่างเหมาะสมกับการใช้งานที่ให้ความมั่นใจในการใช้งาน ไม่มีอาการโคลง หรือโยนตัว ช่วงล่างเหมือนรถยุโรปชั้นดี ซับแรงสะเทือนได้ดี การเก็บเสียงก็เป็นอีกหัวข้อเด่นของรถคันนี้ ที่ภายในเงียบราวกับนั่งอยู่ในรถที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน ในขณะที่ภายนอก เสียงเครื่องดีเซลก็ดังเหมือนรถดีเซลทั่วๆ ไป แต่เวลาวิ่ง เสียงลมและเสียงช่วงล่างแทรกเข้ามาในตัวรถได้น้อย
การบังคับเลี้ยวให้ความแม่นยำ น้ำหนักพวงมาลัยก็พอเหมาะ อาจจะเบาไปหน่อยในช่วงความเร็วสูง แต่ยังสามารถใช้ควบคุมรถได้อย่างมั่นใจ ในขณะเดียวกันรถคันนี้ได้ใช้ดิสก์เบรก 4 ล้อ ที่มาพร้อมระบบป้องกันความปลอดภัยอื่นเหมือนรถทั่วๆ ไป ช่วงแรกที่ยังไม่คุ้นชิน การคุมน้ำหนักบนแป้นเบรกต้องให้น้ำหนักที่พอเหมาะ ถ้าเติมมากไปหน่อย อาจเกิดอาการหัวทิ่มหัวตำขึ้นได้
พื้นที่ภายในถ้านั่งปกติเต็มที่ 8 คนก็ยังพอใช้ แต่ถ้าเกินจากนี้ พื้นที่จะกลายเป็นค่อนข้างคับแคบ ที่วางเท้าในแต่ละแถวจะหดหายไปอย่างมาก แต่โดยรวมแล้วผู้ใช้น่าจะรู้ ในส่วนของเฮดรูม ย่อมสู้รถตู้ไม่ได้ เพราะมาในแบบ MPV สไตล์เก๋ง การก้าวลงจากรถก็เป็นอีกจุดที่ไม่สะดวก ต้องเสริมบันไดให้เหยียบก็จะลดปัญหานี้ลงไป อีกจุดที่เป็นสิ่งอำนวยความสะดวกได้ดีในกรณีหิ้วของจำนวนมาก แต่พกกุญแจแล้วเดินไปด้านท้ายรถ สักพักจะมีเสียงเตือนพร้อมไฟกะพริบขึ้น จากนั้นฝาท้ายก็จะเปิดออกโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องพะวงในการเปิดฝาท้าย
และที่น่าประหลาดใจ คืออัตราความสิ้นเปลืองที่ประหยัดมาก โดยเฉลี่ยของการใช้งานทั้งในสภาพถนนที่แออัด และถนนโล่งว่างคละกันไป รถคันนี้บริโภคเชื้อเพลิงประมาณ 10-11.5 กม./ลิตร และใช้ในเมืองในสภาพการจราจรที่ติดบนเส้นทางที่มีการก่อสร้างทางรถไฟฟ้า ค่าเฉลี่ยจะอยู่ที่ 7.5-8.7 กม./ลิตร และเมื่อลองใช้ทางไกลในช่วงความเร็ว 80-120 กม./ชม. ความสิ้นเปลืองประมาณ 13-15 กม./ลิตร ถัง 80 ลิตร รับรองว่าไปเชียงใหม่ ยังมีน้ำมันเหลือให้วิ่งต่ออย่างสบายๆ
นอกจากรูปลักษณ์ รูปทรงของรถที่ดูดี ดูภูมิฐานแล้ว ยังมีความประทับใจในคุณภาพของรถ ตั้งแต่เครื่องยนต์ที่ให้สมรรถนะมาเกินความคาดหมาย เพราะให้ทั้งอัตราเร่งแซงที่ดี ในขณะเดียวกันก็ประหยัดด้วย บริโภคน้ำมันพอๆ กับรถขนาดกลาง เครื่องเบนซิน 1,600 ซี.ซี. ลำดับถัดมาคือ ระบบการควบคุมการขับขี่ ตลอดจนถึงระบบช่วงล่างที่นั่งนุ่มสบาย แต่ไม่มีอาการโคลงเลย ราคารถที่ 2,292,000 บาท ซึ่งถือว่าไม่แรงมาก ในขณะเดียวกันก็มีข้อด้อยบ้าง เช่น ถ้าเทียบพื้นที่ใช้งานกับคู่แข่งที่เป็นแนวรถตู้จะเสียเปรียบในเรื่องเฮดรูม และจำนวนที่นั่ง ถ้านั่งเต็มอัตราจะคับแคบกว่า และที่สำคัญ เรื่องบริการ KIA ยังมีศูนย์บริการน้อยกว่า เมื่อเทียบกับคู่แข่ง นอกนั้นก็อุปกรณ์บางตัวที่ไม่ติดตั้งมาให้ เช่น ไฟ Daytime Running Light และเนวิเกเตอร์ เพราะฉะนั้น ถ้าคิดจะซื้อรถ MPV ณ เวลานี้ KIA Grand Carnival คุ้มค่าที่สุด แม้ว่าจะขาดโน่นนิด ขาดนี่หน่อย ก็ถือว่ายังมีให้ครบๆ
ข้อมูลทางเทคนิค
KIA Grand Carnival SXL
ประเทศผลิต และรุ่นปี เกาหลีใต้ รุ่นปี 2018
แบบเครื่องยนต์ 4 สูบแถวเรียง 16 วาล์ว DOHC
รหัสเครื่องยนต์ R 2.2 CRDI VGT
ปริมาตรความจุ (ซี.ซี.) 2,199
ความกว้างกระบอกสูบ x ช่วงชัก (มม.) 85.4×96.0
กำลังสูงสุด (แรงม้า/รอบ/นาที) 197/3,800
แรงบิดสูงสุด (กก.-ม./รอบ/นาที) 45.0/1,750-2,750
(นิวตันเมตร/รอบ/นาที) 441/1,750-2,750
อัตราส่วนกำลังอัด 16.0:1
ระบบจ่ายเชื้อเพลิง หัวฉีด CRDI
ความจุถังน้ำมันเชื้อเพลิง (ลิตร) 80
ระบบขับเคลื่อน ขับล้อหน้า
ระบบเกียร์ เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ พร้อมโหมดสปอร์ต
ระบบกันสะเทือนหน้า แมคเฟอร์สันสตรัท โช้คแก๊ส เหล็กกันโคลง
ระบบกันสะเทือนหลัง มัลติลิงก์/โช้คแก๊ส เหล็กกันโคลง
รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด (ม.) 5.6
ระบบเบรก หน้า/หลัง ดิสก์ 4 ล้อ
มิติรถ (กว้าง x ยาว x สูง) มม. 1,985 x 5,115 x 1,740
ฐานล้อยาว (มม.) 3,060
ระยะต่ำสุดจากพื้น (มม.) 171
ขนาดยาง 235/60R18
ราคาจำหน่าย (บาท) 2,292,000
เรื่อง: ภิญโญ ศิลปศาสตร์ดำรง
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX MAGAZINE ISSUE 584
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th