Kia Tasman รถปิกอัพรุ่นใหม่มาพร้อมทั้งการใช้งานหนักและลุยออฟโรด
Kia เปิดตัว Tasman รถปิกอัพขนาดกลางรุ่นใหม่ออกมาเพื่อเน้นทำตลาดทั้งในเกาหลีใต้ ออสเตรเลีย แอฟริกา และตะวันออกมากลาง โดยระบุว่ารถของตนมีความสามารถทั้งการใช้งานหนักและการลุยออฟโรด ซึ่งจะมีรถออกมาสู่ตลาดโลกในปี 2025
ในด้านการออกแบบภายนอกของ Kia Tasman ที่สามารถสร้างความรู้สึกทั้งด้านบวกและด้านลบต่อรถ ทางหัวหน้า Global Design ของบริษัทรถยนต์เกาหลีใต้ระบุว่า การออกแบบรถเริ่มต้นจากรูปแบบที่มีความจริงใจ ใช้ส่วนต่างๆ ที่เรียบง่ายและแกร่งเพื่อแสดงถึงจิตวิญญาณของการใช้งานได้จริง จึงทำให้รถมาในรูปทรงกล่องมีเหลี่ยมสันที่ชัดเจน โดยด้านหน้าของรถที่ตั้งตรงมีไฟหน้า LED แนวตั้งที่ไฟถูกวางเรียงซ้อนกัน กันชนขนาดใหญ่ พร้อมการแต่ง Horn-shaped บนฝากระโปรงหน้า
ด้านข้างของรถยังคงเน้นสไตล์แกร่งด้วยคิ้วแต่งซุ้มล้อขนาดใหญ่สีดำซึ่งที่ซุ้มล้อหน้ามีไฟหน้ารวมอยู่ด้วย ส่วนด้านหลังรถมีไฟท้ายรูปทรง 8 เหลี่ยมที่มีกราฟฟิกไฟรูปตัวซีภายใน และฝาท้ายกระบะขนาดใหญ่ ส่วนกันชนหลังถูกออกแบบให้เป็นบันไดในตัว ในขณะที่ความยาวของรถอยู่ที่ 5,410 มม. ส่วนความสูงของใต้ท้องรถจากพื้นอยู่ระหว่าง 224-252 มม. ขึ้นอยู่กับเกรดรถ
ห้องโดยสารของรถเน้นความทันสมัยโดยมีถึง 3 หน้าจอ ทั้งจอแสดงข้อมูลการขับขนาด 12.3 นิ้ว และจอทัชสกรีนขนาด 12.3 นิ้วที่ยาวต่อเนื่องกัน รวมทั้งจอขนาด 5 นิ้วสำหรับควบคุมระบบปรับอากาศ ขณะที่วัสดุในห้องโดยสารเน้นความยั่งยืนใช้ทั้งผ้าที่มาจากการรีไซเคิลขวดพลาสติกและหนังเทียม Bio-PU นอกจากนี้ยังมีระบบเสียงพรีเมียมลำโพง 8 ตำแหน่งจาก Harman Kardon เป็นออปชันให้เลือก
ห้องโดยสารยังเน้นความอเนกประสงค์ในการใช้งานด้วยการมีโต๊ะพับที่คอนโซลกลาง พื้นที่เก็บสัมภาระใต้เบาะหลังความจุ 33 ลิตร และปรับเอนเบาะหลังได้ นอกจากนี้ทางผู้ผลิตรถยนต์จากเกาหลีใต้ยังระบุว่าทั้งพื้นที่ Headroom, Shoulder Room และ Legroom ในเบาะแถวที่ 2 ดีที่สุดในรถระดับเดียวกัน
ในด้านการใช้งานถูกระบุว่ารถรองรับน้ำหนักบรรทุกตั้งแต่ 1,017 ถึง 1,195 กิโลกรัม มีความสามารถในการลากจูงถึง 3,500 กิโลกรัม ขณะที่กระบะของรถรองรับการบรรทุกถึง 1,173 กิโลกรัม พร้อมมีฟังก์ชันต่างๆ อย่างไฟส่องสว่าง ช่องจ่ายไฟ โต๊ะขนาดเล็ก รวมทั้งพื้นที่บรรทุกเลื่อนได้เพื่อความสะดวกในการบรรทุกสิ่งของขนาดใหญ่ นอกจากนี้ยังสามารถเลือกรูปแบบการใช้งานเบาะหลังได้ 4 แบบตามความต้องการของเจ้าของรถ
ระบบขับเคลื่อนของรถมี 2 ทางเลือกของเครื่องยนต์ 4 สูบระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร เทอร์โบ 281 แรงม้า แรงบิด 421 นิวตัน-เมตร หรือเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 2.2 ลิตร 210 แรงม้า แรงบิด 441 นิวตัน-เมตร โดยมีระบบส่งกำลังอัตโนมัติ 8 สปีดเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรถทั้ง 2 เครื่องยนต์ แต่รถที่มากับเครื่องยนต์ดีเซลจะมีระบบส่งกำลังแมนนวล 6 สปีดให้เลือกด้วย
รถเกรดสูงจะขับเคลื่อนด้วยทุกล้อ นอกจากนี้ยังมี 4 โหมดสำหรับการลุยให้เลือก โดยเกรดเน้นความแกร่งสำหรับการลุยจะมี Electronic Locking Differential และโหมด X-Trek สำหรับลุยเส้นทางวิบากมากขึ้น ในส่วนช่วงล่างของรถด้านหน้าเป็นแบบดับเบิลวิชโบน ส่วนด้านหลังเป็นแบบคานแข็ง
รถจะออกมาสู่ตลาดในปี 2025 โดยเริ่มตั้งแต่เกาหลีใต้ ตามด้วยออสเตรเลีย แอฟริกา และตะวันออกกลาง ซึ่งมีการคาดการว่าที่ซาอุดิอาระเบียจะเป็นตลาดสำคัญ
เรื่อง : กองบรรณาธิการ
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th