หลังการเปิดตัว Huracan EVO ซึ่งเป็นเหมือนการปรับโฉมในซูเปอร์คาร์รุ่นนี้ไปเมื่อกลางเดือนมกราคม 2019 กับตัวถังเปิดประทุน ตอนนี้ถึงคราวที่ผู้ผลิตซูเปอร์คาร์จากอิตาลีรายนี้จะเพิ่มทางเลือกในแบบเปิดประทุนด้วย Huracan EVO Spyder โดยที่ยังคงลักษณะที่สำคัญของรุ่นคูเป้เอาไว้ครบถ้วน แต่เพิ่มเติมด้วยหลังคาอ่อนควบคุมการเปิด-ปิดด้วยอีเล็กทรอไฮดรอลิกผ่านปุ่มที่คอนโซลกลางซึ่งใช้เวลาในการทำงาน 17 วินาทีและทำงานได้ที่ความเร็วของรถไม่เกิน 50 กม./ชม. โดยเมื่อเปิดหลังคาจะมีส่วนที่ทาง Lamborghini เรียกว่า Fin ถูกยกตัวขึ้นบริเวณด้านหลังเบาะอัตโนมัติเพื่อลดการรบกวนของลมในส่วนศรีษะขณะขับ และนอกจากนี้ทางผู้ผลิตรถจากอิตาลีรายนี้ยังมีการระบุว่าได้ปรับด้านข้างของเล็กให้แตกต่างจากรุ่นคูเป้เล็กน้อยเพื่อมีพลังทั้งในขณะเปิดและปิดหลังคา

อย่างไรก็ตามเพื่อแลกกับการเปิดหลังคารับอากาศกลางแจ้ง แม้ Huracan EVO Spyder จะใช้เครื่องยนต์ V10 5,200 ซีซี ไม่มีระบบอัดอากาศช่วย ซึ่งมีกำลัง 640 แรงม้าที่ 8,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 600 นิวตัน-เมตรที่ 6,500 รอบ/นาที และเกียร์ LDF 7 สปีดส่งกำลังเหมือนกับรุ่นคูเป้ที่ออกมาก่อนหน้าเดือนกว่า แต่จะมีอัตราเร่งที่ด้อยกว่าเล็กน้อยโดยใช้เวลา 3.1 วินาทีเพื่อเร่งจาก 0-100 กม./ชม. และ 9.3 วินาทีเพื่อเร่งจาก 0-200 กม./ชม. จากที่ Huracan EVO คูเป้ทำได้ที่ 2.9 และ 9.0 วินาทีตามลำดับ โดยเหตุผลมาจากทั้งชุดหลังคาอ่อนควบคุมด้วยไฟฟ้าและการเสริมความแข็งแกร่งให้กับตัวรถเพื่อชดเชยการหายไปของหลังคาแข็ง จนทำให้รถมีน้ำหนัก 1,542 กิโลกรัม ซึ่งมากกว่ารุ่นคูเป้ถึง 120 กิโลกรัม ขณะที่ความเร็วสูงสุดของรุ่นเปิดหลังคาได้อยู่ที่ 325 กม./ชม.

เพื่อควบคุมสมรรถนะของรถ Lamborghi ยังคงใช้ Lamborghini Dinamica Veicolo Intregata หรือ LDVI ซึ่งเป็นชุดหน่วยประมวลผลกลางเพื่อควบคุมทุกส่วนที่เกี่ยวกับลักษณะของรถโดยมีการประมวลผลข้อมูลเรียลไทม์ตามผ่านการทำงานของระบบช่วงล่างและระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ พร้อมกับใช้ Lamborghini Piattaforma Inerziale เวอร์ชั่น 2.0 ซึ่งใช้ครั้งแรกใน Huracan EVO คูเป้เพื่อตรวจจับการโคลงของรถและปรับช่วงล่างต่อเนื่องตามข้อมูลที่ได้ ส่วนโหมดการขับยังมีให้เลือก 3 คือ Strada สำหรับการขับทั่วไป Sport ซึ่งจะให้ความสนุก ร้าใจขึ้น และ Corsa เพื่อผู้ที่ต้องการสมรรถนะในแบบสนามแข่ง

Lamborghini จะนำ Huracan EVO Spyder ไปจัดแสดงที่เจนีวามอเตอร์โชว์ 2019 และเริ่มจำหน่ายตั้งแต่ช่วงฤดูใบไม้ผลิซึ่งสภาพอากาศเหมาะสำหรับการเปิดหลังคาพอดี โดยตั้งราคาไว้ที่ 202,437 ยูโรในยุโรป

เรื่อง: กองบรรณาธิการ

เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE

ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานต์ยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th